หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 395 เลือกความอัปยศแทนศักดิ์ศรี!
ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเพราะมีอำนาจหนุนหลังอยู่เช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หากเฉินมู่และพรรคพวกไม่ได้ส่งคนมาช่วยเหลือเลยแม้แต่คนเดียว เขาคงหาเหตุเอาเรื่องและสอบสวนได้ แต่ทั้งสามกลับส่งคนมาบ้าง แม้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในและตัวพวกเขาเองไม่ได้ปรากฏกายเลยก็ตาม แต่ก็ทำให้หวังเป่าเล่อเอาเรื่องได้ยาก แม้จะเห็นได้ชัดว่าจงใจทำเช่นนี้ก็ตามที เพราะอย่างไรเสีย แต่ยังถือว่าทำตามคำสั่งที่ได้รับ
น่าสนใจดี! แววเย็นเยียบวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาตั้งใจว่าจะพยายามหาข้อผิดพลาดเพื่อเอาเรื่องเฉินมู่และพรรคพวกหลังจากที่ทั้งสามสร้างนครในส่วนตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่บัดนี้ชายหนุ่มไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป
ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หากยังทำตัวเช่นนี้อยู่ก็อย่ามาโทษข้าว่าเกรี้ยวกราด เจ้าคิดว่าข้าไม่มีน้ำยาทำอะไรได้เพราะเขตของพวกเจ้าเป็นเขตปกครองตนเองเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อพ่นลมเยาะเย้ย ชายหนุ่มรีบส่งคำสั่งเรียกตัวเฉินมู่และพรรคพวกรวมถึงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของพวกเขาให้มาช่วยสะกดสุสานใต้ดิน
หลังจากที่ส่งคำสั่งออกไปเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลามาสนใจอีก เขารีบเดินหน้าปฏิบัติการทันที ด้วยความช่วยเหลือของจินตั้วหมิงและพรรคพวก ชายหนุ่มจึงสามารถสกัดกั้นอสูรร้ายที่เริ่มกระจายตัว และตีวงล้อมพวกมันให้หนีไปไหนไม่ได้
ตอนนั้นเองเสียงคำรามของอสูรร้ายก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ จินตั้วหมิง กงเต๋า และคนอื่นๆ ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์สุสานใต้ดินที่เกี่ยวข้องกับหลี่อี้ก่อนหน้านี้ รู้หน้าที่ดีว่าหลังจากที่ตีวงล้อมพวกมันให้กลับเข้าไปในสุสานเรียบร้อย พวกเขาต้องผนึกปากทางเข้าทันที ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการพยายามสกัดอสูรเอาไว้ แต่ก็ยังเห็นว่าเฉินมู่และพรรคพวกไม่ออกมาช่วยเหลือ อีกทั้งได้ยินหวังเป่าเล่อส่งคำสั่งเรียกตัวคนทั้งสามอีกรอบ ทุกคนหันมามองหน้ากัน และหันไปมองหลินเทียนหาวที่อยู่ไกลๆ เป็นครั้งคราว แต่ละคนล้วนมีประกายในแววตา
“ข้าสงสัยว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเฉินมู่และพรรคพวกอย่างไรในคราวนี้… จะว่าไปแล้วก็ดูเป็นการยากพอสมควร เฉินมู่ไม่ได้โง่ขนาดไม่ส่งคนมาเลย…”
“ที่สำคัญคือ พวกเขาเป็นเขตปกครองตนเอง แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นเจ้าเมือง แต่ก็ไม่มีอำนาจไปสั่งการ…”
“หน้าที่ของทั้งสามคนนั้นในฐานะนายกเทศมนตรีของเขตปกครองตนเองก็ระบุไว้ชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง ทั้งสามขึ้นตรงต่อท่านเจ้านครดาวอังคารและสหพันธรัฐ และไม่ถือว่าเกี่ยวข้องกับนครใหม่เลยแม้แต่น้อย” ขณะที่ทั้งสามเดินหน้าสกัดกั้นอสูรร้ายให้อยู่ในสุสาน พวกเขาก็ส่งข้อความเพื่อคุยกันเองไปด้วย หลินเทียนหาวมีท่าทีไม่พอใจในตัวเฉินมู่และพรรคพวกอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับจินตั้วหมิงและกงเต๋า
ทว่ากฎของเขตปกครองตนเองก็เป็นเสมือนเกราะป้องกันที่ทำให้ใครทำอะไรไม่ได้ หลินเทียนหาวจึงทำได้เพียงถอนใจ และคิดคนเดียวเงียบๆ ว่าหวังเป่าเล่อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ทั้งสามที่คิดเรื่องนี้ แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่รายรอบก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขาเข้าใจดีว่าสถานการณ์นี้ผิดปกติ และกำลังจับจ้องว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไรเช่นกัน
วิธีการที่หวังเป่าเล่อเลือกจัดการเรื่องในครั้งนี้ จะทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าควรปฏิบัติตัวต่อเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลืออย่างไร ความเคารพนับถือในตัวของหวังเป่าเล่อจะอยู่หรือจะไปขึ้นอยู่กับเหตุการณ์นี้
หากเขาจัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ความเคารพในตัวเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น แต่หากเขาตัดสินใจพลาดตั้งแต่ครั้งแรกที่คิดปะทะ ความน่าเชื่อถือในตัวเขาก็จะลดลงไปมากเช่นกัน
หลี่หว่านเอ๋อร์กำลังมุ่นคิ้ว นี่คือสถานการณ์ที่นางไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด ตามแผนการของนางแล้ว ไม่มีประโยชน์เลยที่เฉินมู่และพรรคพวกจะท้าทายอำนาจของหวังเป่าเล่ออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นางพยายามพูดชักจูงแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล
แม้ฉากหน้าของการพยายามผนึกสุสานใต้ดินใหม่จะดูอึกทึกครึกโครม ทุกคนต่อสู้กับอสูรหลั่งไหลด้วยพลังทั้งหมดที่ตนเอง และการผนึกปากทางเข้าสุสานก็เป็นไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน แต่ความจริงแล้วทุกคนกำลังพุ่งความสนใจไปที่หวังเป่าเล่อ เพราะอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
หวังเป่าเล่อที่คุ้นเคยกับอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงเป็นอย่างดี เข้าใจความเป็นไปทั้งหมดราวกับเป็นหลังมือของตนเอง และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันมาก เขาดูสงบตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากการส่งคำสั่งไปสำทับเป็นครั้งที่สอง เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอีก และพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การพยายามผนึกสุสานใต้ดินเท่านั้น
แม้สุสานที่เกิดใหม่นี้จะไม่ใหญ่ แต่จำนวนอสูรที่ปรากฏกายก็ยังถือว่าล้นหลาม อสูรทั้งหมดถูกจำกัดไว้ในพื้นที่เล็กๆ ก่อนถูกสังหารด้วยน้ำมือของผู้ฝึกตนและวัตถุเวทมากมาย จำนวนอสูรที่หลั่งไหลออกจากปากทางเข้าลดจำนวนลง และการผนึกสุสานใหม่ก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ทว่าตอนนั้นเอง เสียงกรีดร้องดังสนั่นจนแทบหูดับก็ลอดออกมาจากปากทางเข้า หมอกหนาระเบิดจากภายในสุสาน ทำลายผนึกจนหายไปกว่าครึ่งก่อนลอยขึ้นไปในอากาศ หมอกนั้นเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นงูเหลือมยักษ์ที่กรีดร้องเสียงแหลมขณะปรากฏกาย
ทันทีที่หมอกทะมึนกลายร่างเป็นงูยักษ์ หมอกทะมึนอีกจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมาจากปากทางเข้าสุสาน มันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนน้ำทะเลไหลหลาก กระจายไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง งูเหลือมตัวเล็กจำนวนมากอัดแน่นอยู่ในหมอกนั้น ทุกตัวต่างกรีดร้องออกมาขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ประกายเย็นเยือกวาบขึ้นในตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดเรื่องเฉินมู่และพรรคพวกอีกต่อไป เขามีหน้าที่ให้ต้องทำ และรีบรุดออกไปจัดการทันที พลังปราณระดับรากฐานตั้งมั่นขั้นปลายของเขาระเบิดออกมาพร้อมกระบี่อาวุธเวทที่อยู่ในมือ ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปจัดการงูเหลือมยักษ์ที่กำลังคำรามก้องอยู่กลางอากาศ!
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าจัดการ องครักษ์เต๋าขั้นกำเนิดแก่นในสี่คนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่ถูกส่งมาคุ้มกันหวังเป่าเล่อก็พลันมีสีหน้าจริงจัง ทุกคนเข้าล้อมตัวของหวังเป่าเล่อเอาไว้ หน้าที่คุ้มครองหวังเป่าเล่อเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด ส่วนการผนึกสุสานเป็นเรื่องรอง ดังนั้นทั้งสี่จึงพุ่งเข้าคุ้มกันหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพุ่งออกไปต่อกรกับงูยักษ์
องครักษ์เต๋าขั้นกำเนิดแก่นในที่อยู่ข้างกายจินตั้วหมิงและกงเต๋าก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน หน้าที่หลักของพวกเขาคือการปกป้องคนของตนเองจากรับอันตราย และตอนนี้ที่นี่มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่มากกว่าสิบคน ดังนั้นเมื่อทุกคนทำหน้าที่พร้อมกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงน่าตกใจมาก แรงระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณ แสงสว่างจากพลังเวทของพวกเขากระจายออกเป็นสีต่างๆ งูเหลือมยักษ์ต้านทานแรงนั้นเอาไว้ไม่ไหว ไม่นานนักมันก็ระเบิดและตายลง
ลำแสงจากกระบี่ของหวังเป่าเล่อไม่ได้ส่งผลรุนแรงที่สุด แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นการโจมตีที่ทำให้ทุกคนปฏิบัติตาม
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็ร่วมมือร่วมใจกันผนึกสุสานใต้ดินใหม่ที่มีขนาดไม่ใหญ่ไว้ได้โดยสมบูรณ์ เมื่อหมอกทะมึนที่พวยพุ่งออกจากปากทางเข้าสลายหายไปและปากทางเข้าสุสานถูกผนึกเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าปากทางเข้าสุสาน มองสุสานที่ยังคงเรืองแสงอยู่ ก่อนส่งคำสั่งออกไปเพิ่มเติมด้วยความใจเย็น รวมถึงคำสั่งให้สร้างฐานที่มั่นที่ปากทางเข้านี้ เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนครใหม่ จะได้เป็นการผนึกสุสานใหม่แห่งนี้ต่อไป
บัดนี้มีกฎใหม่ในนครดาวอังคารที่เอาไว้จัดการสุสานอาวุธเทพใต้ดินเกิดใหม่ หลักการคือวงแหวนปราณของนครที่สองบนดาวอังคารนี้มีหน้าที่ทำลายกำแพงอาวุธเทพ และสร้างรากฐานการกำจัดอสูรหลั่งไหล หากมีสุสานใต้ดินแห่งใหม่เกิดขึ้น มันจะถูกผนึกและต้องสร้างฐานที่มั่นขึ้นที่นั่น
แม้วิธีนี้จะดูเหมือนวัวหายล้อมคอก แต่หากทำเช่นนี้ต่อไปจนกว่ากำแพงจะทลายลงอย่างสมบูรณ์ ก็จะช่วยกำจัดปัญหาเรื่องสุสานอาวุธเทพใต้ดินไปได้
หลังจากที่หวังเป่าเล่อจัดการเรื่องสุสานใหม่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็หันหน้าไปมองทางนครใหม่ ความเย็นชาในดวงตาของเขารุนแรงขึ้น ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเดินทางมาถึงจุดที่มีปากทางเข้าใหม่ จนถึงขั้นผนึกมันได้สำเร็จเวลาก็ล่วงเลยมาได้สองชั่วโมงแล้ว ทว่าเฉินมู่และพรรคพวกก็ไม่ได้ปรากฏกายแต่อย่างใด เป็นอันชัดเจนว่าทั้งสามเพิกเฉยต่อคำสั่งครั้งที่สองของเขา
“เลือกความอัปยศแทนศักดิ์ศรีเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเบาๆ จินตั้วหมิงและกงเต๋ามองหน้ากันโดยไม่ได้พูดอะไร พวกเขารู้สึกได้ถึงไอเย็นเยือกที่แผ่ออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ ซึ่งรุนแรงเสียจนสะกดเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป
คนอื่นๆ ที่ล้อมรอบอยู่ก็สัมผัสได้เช่นกัน ทุกคนคงความเงียบเอาไว้ ซึ่งยิ่งทำให้ภายนอกสุสานใต้ดินไร้สรรพเสียงเข้าไปอีก
หลี่หว่านเอ๋อร์ต้องการพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำลายความเงียบนี้ แต่ก็หยุดตนเองเอาไว้ หลินเทียนหาวเองก็เช่นกัน จากความคิดของเขา การที่เขตของเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลือเป็นเขตปกครองตนเองก็ถือว่าแก้ปัญหาได้ทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงอยากก้าวออกมาเพื่อหยุดหวังเป่าเล่อ เนื่องจากการพยายามหาข้อผิดของทั้งสามในตอนนี้อาจไม่เกิดผลดีตามมา หากเหตุการณ์ดำเนินไปในรูปนั้นแล้วละก็ ความน่าเชื่อถือของหวังเป่าเล่อในนครใหม่แห่งนี้จะได้รับผลกระทบแน่นอน
แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร หวังเป่าเล่อก็ชิงพูดออกมาก่อนด้วยเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ทุกคนโปรดตามข้าไปที่เขตปกครองตนเองทั้งสามเขต เพื่อดูว่ามีสุสานใต้ดินใหม่ปรากฏขึ้นเช่นกันหรือไม่” หวังเป่าเล่อพูดและเริ่มออกเดินทางไปยังนครใหม่ หลินเทียนหาวลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหายใจเข้าลึกและเดินตามไปข้างหลัง ผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าที่อยู่ฝั่งเดียวกับหวังเป่าเล่อก็ต่างเดินตามไปแต่โดยดี
จินตั้วหมิงและกงเต๋ามองหน้ากันก่อนตามไปเช่นกัน รวมถึงคนอื่นๆ ที่เหลือด้วย ทุกคนอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อต้องเผชิญหน้ากับสามคนนั้น
“ท่านเจ้าเมืองหวัง ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ ข้าจัดการได้ ท่าน…” หลี่หว่านเอ๋อร์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังเดินหน้าไปทางใด แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“หุบปากเสีย! หลี่หว่านเอ่อร์ เจ้าช่วยดูตนเองด้วย เจ้าเป็นเพียงรองเจ้าเมืองเท่านั้น!”
คำพูดนั้นดังแหวกอากาศมาพร้อมรังสีเย็นเยียบจากหวังเป่าเล่อที่ทวีความรุนแรงขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้ปลดปล่อยพลังของตนเองออกเต็มที่หรือถอยหลังกลับ แม้หลี่หว่านเอ๋อร์จะมีปราณอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ก็ตาม ชายหนุ่มหยิบเรือบินของตนเองออกมาและมุ่งหน้าไปทางนครใหม่ทันที จุดหมายปลายทางของเขาคือ เขตของเฉินมู่!
หลี่หว่านเอ่อร์หายใจเข้าด้วยความตกใจหลังจากโดนปราม นางตามไปอย่างเงียบๆ ในที่สุด
หลังจากที่คณะเดินทางออกไปเรียบร้อย ยังมีผู้ฝึกตนบางคนที่ยืนเฝ้าทางเข้าสุสานใหม่อยู่ และเดินหน้าจัดการศพของเหล่าอสูรต่อไป ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่งของอสูรร้ายที่สลายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดิน ก่อนจะหายวับไปจากสายตา