หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 398 เด็ดเดี่ยวจนวินาทีสุดท้าย!
เวลาเดินหน้าผ่านไป จนล่วงเลยไปถึงสามวัน!
กำแพงสูงที่โอบล้อมเขตปกครองตนเองทั้งสามสร้างเสร็จเมื่อหนึ่งวันก่อน ภายใต้การนำภารกิจของหลินเทียนหาว ความสูงของกำแพงได้เพิ่มขึ้นมากจากที่คาดคิดไว้ในตอนแรก หากมองจากระยะไกลแล้ว กำแพงนี้ดูเหมือนขุนเขาที่สูงนำหน้าตึกระฟ้าภายในเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตไปไกล เห็นได้ชัดว่าการก่อสร้างนี้เป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่และใช้ทรัพยากรมากล้น
นครใหม่พรั่งพร้อมด้วยทรัพยากรและแรงงาน ไม่ว่ากำแพงจะสูงหรือหนาเพียงใด ก็สามารถสร้างให้เสร็จได้ภายในเวลาอันสั้น หลังจากที่สร้างกำแพงเสร็จเรียบร้อย หลินเทียนหาวก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยว่าเฉินมู่และคนอื่นๆ ที่อยู่ในเขตของตนจะรู้สึกอย่างไร แต่ก็พอเดาได้ว่าเมื่อมองออกมาเห็นกำแพงยักษ์สูงสามร้อยเมตร พวกเขาน่าจะตึงเครียดและกดดันไม่น้อย
หลินเทียนหาวคาดการณ์ถูกจริงๆ เสียด้วย…
เวินไหวกำลังแทบคลั่งอยู่หลังกำแพง เขามองกำแพงยักษ์ที่ตระหง่านอยู่นอกเขตของตนแล้วก็อดรู้สึกกดดันไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองและพรรคพวกกลายเป็นอาชญากร ที่ต้องถูกคุมขังปิดตายไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน
ฟางจิ้งก็รู้สึกเช่นเดียวกัน สีหน้าของนางมืดมน ความรู้สึกไม่พอใจของนางไม่เพียงพุ่งตรงไปที่ยังหวังเป่าเล่อนางยังรู้สึกขุ่นเคืองเฉินมู่อีกด้วย แรกเริ่มเดิมที หลังจากที่เดินทางมาถึงและเริ่มปกครองอาณาเขตของตนเอง ฟางจิ้งและเวินไหวไม่จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่เฉินมู่กลับโอหังเกินตัว และทั้งสองที่ยังรู้สึกลังเลไม่แน่ใจก็ไม่ได้โต้แย้งความคิดของเฉินมู่
ตอนนี้หวังเป่าเล่อเพียงแค่แสดงความโหดเหี้ยมให้พวกเขาเห็นเป็นน้ำจิ้มเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจเหลือเกินแล้ว แม้คนทั้งสามจะติดต่อสหพันธรัฐและนครดาวอังคารเป็นที่เรียบร้อย แต่พวกเขาไม่ได้รับคำตอบทันใจ และยิ่งทำให้ทุกคนปวดหัวมากขึ้นไปอีก
เฉินมู่เองก็ปวดหัวตุบเช่นกัน เขาร้องเรียนเรื่องหวังเป่าเล่อไปที่สหพันธรัฐ และทำแม้กระทั่งส่งข้อความไปหาเจ้านครดาวอังคารเพื่อขอร้องทุกข์ แต่ก็ได้รับกลับมาเพียงความเงียบ… และเฉินมู่ก็รู้สึกว่าการจี้เอาคำตอบไม่ใช่เรื่องฉลาด ชายหนุ่มมองสามวันเคลื่อนผ่านไป กำแพงสูงตระหง่านล้อมรอบอาณาเขตของเขาไว้เหมือนเทือกเขาสูงบดบังแสงสว่างไม่ให้ส่องเข้ามา ชายหนุ่มเริ่มกระวนกระวายนั่งไม่ติดเช่นกัน
หากเรื่องจบเพียงแค่นั้น… เขาก็คงพอทนไปก่อนจนกว่าจะได้รับคำตอบจากสหพันธรัฐและนครดาวอังคารได้ แต่เฉินมู่ไม่เข้าใจว่าหลินเทียนหาวคิดอะไรอยู่กันแน่ หลังจากที่สร้างกำแพงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเทียนหาวดูเหมือนจะคิดว่ากำแพงนั้นยังสูงไม่พอ จึงเข้าพบหวังเป่าเล่อเพื่อขออนุมัติสร้างกำแพงให้สูงขึ้นกว่าเดิม
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนไม่ควรหักหาญความตั้งใจทำงานของหลินเทียนหาว จึงพยักหน้าอนุมัติคำขอ หลินเทียนหาวรีบเดินหน้าสร้างกำแพงต่อทันที โดยกำชับให้สร้างกำแพงให้สูงขึ้นอีก!
ข้าเพียงแต่ตอบรับข้อกังวลของท่านเจ้าเมืองเท่านั้น และตั้งใจจะแก้ปัญหาเพื่อให้ท่านเจ้าเมืองสุขกายสบายใจ หากทำแบบนี้ ข้าก็จะได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างใคร และจะเป็นการสานสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก! หลินเทียนหาวพอใจกับการตัดสินใจของตนเองเป็นอันมาก ตั้งแต่กลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหวังเป่าเล่อ เขาก็เข้าใจดีว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหน และยังรู้ด้วยว่าตนเองไม่มีเหตุให้ต้องไปแข่งขันกับหลิวต้าวปิน
หลิวต้าวปินเป็นเพียงเลขานุการเท่านั้น ทำได้อย่างมากก็จัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย แต่ที่ข้าอยากเป็นคือ… ผู้ที่ทำภารกิจสำคัญต่างๆ ให้ลุล่วง อย่างที่หาใครมาแทนที่ไม่ได้!
หลินเทียนหาวเริ่มกระวีกระวาดทำงานอีกครั้ง ส่วนเฉินมู่และพรรคพวกก็กำลังจะใกล้คลั่ง เมื่อมองเห็นกำแพงสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเดินหน้าก่อสร้างกำแพงเมืองต่อไปทั้งวันทั้งคืน ความกดดันที่ถาโถมลงมาใส่คนทั้งสามเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งสามเริ่มกลัวใจหลินเทียนหาว ว่าจะสร้างฝามาครอบกำแพงเอาไว้ให้ปิดตายสมบูรณ์แบบ…
“หลินเทียนหาวมันสุนัขรับใช้ชัดๆ !”
“หวังเป่าเล่อบอกแค่ให้สร้างกำแพง แต่หลินเทียนหาวกลับทำเกินหน้าที่ นี่เขาคิดจะสร้างสุสานหินให้พวกเราเช่นนั้นหรือ พยายามจะปิดให้เราเน่าตายอยู่ในนี้หรืออย่างไร”
ไม่ได้มีเพียงเฉินมู่และพรรคพวกเท่านั้นที่กำลังคลั่งและหวาดกลัว ผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่ถูกจองจำอยู่เบื้องหลังกำแพงก็เช่นกัน ทุกคนล้วนตกใจกับการตัดสินใจสุดบ้าบิ่นของหลินเทียนหาว และเริ่มก่นด่าชายหนุ่มอยู่ในใจ เฉินมู่และพรรคพวกควบคุมโทสะของตนเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป พวกเขานำฝูงชนไปที่กำแพงเพื่อที่จะพังมันและปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ
ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงกำลังจะแหกกำแพงออกมา ผู้ฝึกตนที่เฝ้าเวรยามอยู่ก็รีบรุดมาถึง พวกเขาล้อมกำแพงเอาไว้ในทันที หลินเทียนหาวปรากฏตัวเหนือกำแพง มองลงมายังเฉินมู่และพรรคพวก ก่อนพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“นายกเทศมนตรีเฉิน จงหยุดเดี๋ยวนี้!”
“หลินเทียนหาว เจ้ากล้าสั่งให้ข้าหยุดเช่นนั้นหรือ!” เฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองหลินเทียนหาวตาไม่กะพริบ ประกายเย็นชาวาบเข้ามาในแววตา
“หยุดเจ้าเช่นนั้นหรือ” หลินเทียนหาวเลิกคิ้วหรี่ตา เสียงของเขาก้องกังวานในอากาศ
“ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งมา เนื่องจากยังมีอสูรร้ายเพ่นพ่านอยู่ภายนอกหลังจากที่เกิดปากทางเข้าสุสานใหม่ กองทัพจึงต้องควบคุมความปลอดภัยให้เขตปกครองตนเองทั้งสาม ห้ามใครเข้าออกแม้แต่คนเดียวหากไม่ได้รับอนุญาต!”
“หลินเทียนหาว เจ้าต้องการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลนภาห้าสมัยเช่นนั้นหรือ” เฉินมู่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไปขณะพูดคุยกับหลินเทียนหาว ความเย็นชาในแววตาของเขาทวีความรุนแรงขึ้นอีก พลังปราณในกายเริ่มกระจายออกมารอบตัว
เวินไหว ฟางจิ้ง และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ทุกคนดูพร้อมออกศึก
หลินเทียนหาวเพียงแต่หัวเราะเยาะเมื่อได้เห็นภาพนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตาพูดสิ่งที่ตนเองต้องการสื่อต่อ
“ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกประหาร!”
“เจ้ากล้าทำถึงเพียงนั้น!” เฉินมู่ตะโกนก้อง เขากำลังจะพุ่งตัวขึ้นในอากาศ แต่เมื่อหลินเทียนหาวโบกมือ เหล่าผู้ฝึกตนที่คุ้มกันกำแพงอยู่ก็ระเบิดพลังปราณออกมาทันที หลายคนยังหยิบวัตถุเวทออกมาด้วย หากเฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนกล้าเข้ามาโจมตี พวกเขาก็จะจัดการผู้ประท้วงเหล่านี้ได้โดยปราศจากข้อกังขา
ตอนนั้นเอง พลังปราณของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในจากกองทัพ ก็พุ่งตรงไปที่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในในเขตของเฉินมู่และพรรคพวก พลังปราณจากทั้งสองฝั่งพุ่งเข้าปะทะกัน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อยังต้องหยุดการถือสันโดษ ชายหนุ่มโบกมือปลุกพลังของวงแหวนปราณ เพื่อที่จะได้สังเกตการณ์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในนครของเขากันแน่ แววความคาดหวังลุกโชนอยู่ในดวงตา
บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด การต่อสู้ปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ สีหน้าของเฉินมู่นิ่งขึงและเต็มไปด้วยโทสะ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพุ่งเข้าโจมตี แต่ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากกำแพงที่อยู่ไกลๆ ร่างนั้นปรากฏโดยฉับพลัน หลี่หว่านเอ๋อร์นั่นเอง
“พอได้แล้ว!” หลี่หว่านเอ่อร์ปรากฏกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ นางตะโกนก้อง เสียงตะโกนนั้นไม่ได้หมายให้ไปถึงหลินเทียนหาวเท่านั้น แต่เป็นเฉินมู่และพรรคพวกด้วย
หลินเทียนหาวลังเลอยู่ในใจ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นถึงรองเจ้าเมือง ชายหนุ่มจึงก้มศีรษะและถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อเฉินมู่เห็นหลี่หว่านเอ๋อร์ปรากฎกาย ความกล้าของเขาก็พุ่งกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ชายหนุ่มกำลังจะกระโจนขึ้นไปในอากาศ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็หันหน้ากลับมาจ้องเขาเขม็ง
สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความโกรธเคือง ทำให้เฉินมู่ตัวแข็งอยู่กับที่ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงเช่นกัน
“นายกเทศมนตรีเฉินและทุกคน กรุณากลับไปที่ของท่านด้วย ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง!”
“ท่านรองเจ้าเมืองหลี่ การกระทำของเจ้าเมืองหวังทำให้ความคืบหน้าในการก่อสร้างเขตใหม่ต้องหยุดชะงัก!” เฉินมู่จิตใจปั่นป่วน เขารู้สึกว่าหากหลี่หว่านเอ๋อร์พยายามต่อต้านหวังเป่าเล่อมากกว่านี้ หวังเป่าเล่ออาจยอมอ่อนข้อให้ จากที่เขาสังเกตดูแล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์อาจต่อกรกับหวังเป่าเล่อได้ด้วยการสนับสนุนจากเขาและนายกเทศมนตรีอีกสองคน แม้โอกาสชนะอาจไม่เต็มร้อย แต่นางก็น่าจะสู้กับหวังเป่าเล่อได้พอสูสี
“เรื่องนี้…” หลี่หว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางกำลังจะเอ่ยปาก แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังวูบมาจากระยะไกล หลี่หว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง ไม่นานนักทุกคนก็เห็นเรือบินยักษ์สิบกว่าลำเคลื่อนตรงมายังเขตนครใหม่จากระยะไกล
เรือบินนับสิบลำมีสัญลักษณ์ของตระกูลนภาห้าสมัยสลักอยู่ และดูเหมือนจะมาเพื่อส่งทรัพยากรรอบสุดท้าย ก่อนที่จะมีกำแพง เรือบินส่งทรัพยากรเหล่านี้จะมาส่งของทุกสองสัปดาห์ และมักลงจอดเทียบท่าภายในเขตปกครองตนเองเสมอ นอกจากทรัพยากรเพื่อการสร้างเมืองแล้ว เรือบินเหล่านี้ยังขนวัสดุอุปกรณ์ในการฝึกปราณมาเต็มลำ
ในตอนนี้ เรือบินเหล่านี้ยังคงเดินหน้ามาที่เขตปกครองตนเองเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ แต่ก่อนที่จะเข้าถึงเขตปกครองตนเอง วงแหวนปราณขนาดยักษ์ก็เรืองแสงขึ้น และลดระดับลงมาจากท้องฟ้า ก่อนกระจายตัวออกจนปกคลุมเรือบินไว้ครบทุกลำ พลังจากวงแหวนปราณหยุดยั้งเรือบินเอาไว้ไม่ให้ไปต่อ กักเรือทุกลำเอาไว้ในวงแหวนปราณเรืองแสง เรือบินเหล่านั้นเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่ก็ถอยหลังกลับไม่ได้เช่นกัน
ภาพนี้ทำให้เฉินมู่และพรรคพวกตกใจมาก สมาชิกตระกูลนภาห้าสมัยที่อยู่ภายในเรือบินก็ตกใจเช่นกัน ก่อนที่ทุกคนจะได้ทำอะไร กงเต๋าซึ่งมีหน้าที่รักษาน่านฟ้าและควบคุมกองทัพของนครใหม่ก็ปรากฏกายพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนทะยานขึ้นไปในอากาศเพื่อเผชิญหน้ากับฝูงเรือบินเหล่านั้น
“ไม่นานมานี้ปากทางเข้าสุสานอาวุธเทพใต้ดินใหม่เพิ่งปรากฏออกมา ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งให้ใช้กฎทางทหารอย่างรัดกุม ห้ามเรือบินลำใดเดินทางเข้าออกเขตเมืองใหม่โดยเด็ดขาด ผู้ใดที่ขัดขืนจะถูกกำจัด!”
ทันทีที่พูดจบ กงเต๋าก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป เขาสั่งให้ยึดเรือบินทั้งหมดเอาไว้ทันที เรือบินเหล่านั้นถูกบังคับให้ลงจอดเทียบท่ายังจุดที่จัดเอาไว้ให้ ทั้งถูกกองทัพเข้าล้อม และยังถูกกักอยู่ในวงแหวนปราณอีกด้วย หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของตนปลุกพลังของวงแหวนปราณขึ้นอีกเพื่อป้องกันเรื่องไม่น่าพึงประสงค์ ผู้ที่อยู่ในเรือบินรู้สึกได้ถึงพลังคุกคามทันที หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะไม่ขัดขืน
ทันทีที่ทุกคนออกจากเรือบินเรียบร้อย พวกเขาก็ตระหนักว่ากงเต๋าและกองทัพกำลังจะยึดทรัพยากรที่ตนเองขนมาจากโลก ผู้อาวุโสที่มีขั้นปราณระดับรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ผู้หนึ่งบันดาลโทสะขึ้นมาทันที
“ผู้ใดกันที่บังอาจแตะทรัพยากรของตระกูลนภาห้าสมัย หรือจะเป็นหวังเป่าเล่อ บอกให้หมอนั่นมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
ทันทีที่ผู้อาวุโสคนนั้นพูดจบ วงแหวนปราณที่ปกคลุมทั้งนครเอาไว้ก็สั่นสะเทือน สายฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนพันเกี่ยวกันอยู่บนท้องฟ้า ก่อนก่อตัวเป็นใบหน้าหนึ่งจากระยะไกล ใบหน้าของหวังเป่าเล่อนั่นเอง
ใบหน้านั้นเกิดจากการรวมตัวกันของพลังวงแหวนปราณ ทั้งยังปล่อยพลังรุนแรงออกมา พลังดังกล่าวโถมลงมายังผู้อาวุโสที่กำลังโกรธเกรี้ยว ทำให้ชายผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยโทสะตื่นตกใจในทันที
ความรู้สึกมากมายวาบขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโส จากนั้นเสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังก้องไปทั่วฟ้า ผ่านวงแหวนปราณที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
“เจ้าอยากพบข้าหรือ”