หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 399 หลักประกันทางการทหารของหวังเป่าเล่อ!
วงแหวนปราณประจำนครอาวุธเทพใหม่มีต้นกำเนิดมาจากอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ซึ่งเป็นวงแหวนปราณที่ทรงพลังมาก ก่อนที่จะสร้างเขตนครใหม่ เจ้านครดาวอังคารเป็นผู้เดียวในดาวอังคารที่มีอำนาจควบคุมวงแหวนปราณมากที่สุด ผู้อื่นไม่สามารถใช้พลังของวงแหวนปราณได้จนถึงขีดสุด ทำได้เพียงยืมพลังของมันมาใช้เป็นครั้งคราวเพื่อช่วยในการทำภารกิจเท่านั้น
แต่เมื่อเริ่มก่อสร้างเขตนครใหม่ ภาระในการผนึกสุสานอาวุธเทพใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นหนักหนาเกินไป เจ้านครดาวอังคารจึงมอบอำนาจให้หวังเป่าเล่อสามารถควบคุมพลังของวงแหวนปราณได้พอสมควร ทำให้ชายหนุ่มควบคุมวงแหวนปราณภายในเขตนครใหม่ได้
แม้ขอบเขตการเข้าถึงพลังวงแหวนปราณของหวังเป่าเล่อจะสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ จนกระทั่งหวังเป่าเล่อส่งคำขอเปลี่ยนเขตนครให้เป็นนครอย่างเป็นทางการ จึงทำให้เกิดนครแห่งที่สองบนดาวอังคารขึ้น หลังจากนั้นจึงมีการปรับปรุงโครงสร้างของวงแหวนปราณ ผลก็คือวงแหวนปราณที่เจ้าเยี่ยเหมิงออกแบบกลายมาเป็นวงแหวนปราณหลักที่ผสานเข้ากับอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร
หวังเป่าเล่อมีสิทธิ์เข้าถึงและควบคุมวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเจ้าเยี่ยเหมิงออกแบบได้อย่างเบ็ดเสร็จ เขาสามารถใช้วงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงปลุกพลังของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้ นอกจากนี้ เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง เขายังได้สิทธิ์ควบคุมอภิมหาวงแปวนปราณดาวอังคารอีกด้วย ผลก็คือ แม้พลังปราณของหวังเป่าเล่อจะยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย แต่เขาก็สามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งผ่านวงแหวนปราณภายในนครแห่งที่สองของดาวอังคารแห่งนี้!
นี่คืออำนาจที่เจ้าเมืองของนครใหม่ และขุนนางระดับสามชั้นสูงมีอยู่ในมือ ไม่เช่นนั้นหากเขามีปราณเพียงขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย เขาจะสร้างความน่าเกรงขามและยำเกรงจากผู้คน หรือแบกรับภาระในการควบคุมสุสานที่เกิดใหม่ไว้ได้อย่างไร
แต่อำนาจการเข้าถึงพลังของวงแหวนปราณที่หวังเป่าเล่อมีก็จำกัดอยู่ภายในนครใหม่เท่านั้น เมื่อออกไปนอกนคร เขาแทบไม่สามารถควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้เลย ทันทีที่พลังของวงแหวนปราณระเบิดออกมา ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ก็หยุดหายใจไปชั่วขณะ เขารู้สึกได้ถึงรังสีรุนแรงที่กดทับลงมาบนศีรษะของเขา และมันมีพลังมากพอที่จะตัดสินความเป็นความตายของเขาได้
เฉินมู่และพรรคพวกก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเช่นกัน แม้แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ยังหันไปมองใบหน้าพร่ามัวของหวังเป่าเล่อบนฟ้าด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย นางเองก็เข้าถึงพลังของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้ระดับหนึ่งเช่นกัน แต่ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้หญิงสาวเข้าใจแจ่มแจ้งว่าระดับการเข้าถึงพลังวงแหวนปราณภายในนครใหม่นี้ของนางไม่ได้สูงเท่าของหวังเป่าเล่อ
เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งบริเวณ ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์เริ่มมีเหงื่อผุดบนหน้าผากอย่างควบคุมไม่ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึก ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องก้มหัวยกมือขึ้นคารวะใบหน้าหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฟากฟ้า
เขารู้ดีว่าตนเองสู้หวังเป่าเล่อไม่ได้ แม้ตนเองจะมีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ หรือที่เรียกกันว่าปราณขั้นกำเนิดแก่นในแบบครึ่งใบ แต่เขายังตามหลังหวังเป่าเล่ออยู่ไกลทั้งด้านความสามารถและบรรดาศักดิ์ หวังเป่าเล่อมีอนาคตที่สดใสทอดยาวอยู่เบื้องหน้า การที่เขาบรรลุขั้นปราณระดับสูงได้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มมีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเพียงใด นอกจากนี้เขายังมียศเป็นถึงขุนนางระดับสามชั้นสูงด้วย
หากนี่เป็นอารยธรรมแบบเต๋าที่แท้จริง ผู้อาวุโสคนนี้อาจทำอะไรได้ง่ายกว่านี้ แต่โลกมนุษย์เต็มไปด้วยกฎระเบียบมากมาย รวมถึงมีลำดับขั้นของการปกครองและระบบอุปถัมภ์ ระบอบนี้มีมาช้านานหลายพันปี และไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขกันได้ภายในเวลาไม่กี่สิบปีของยุคกำเนิดวิญญาณ
“ข้าบันดาลโทสะจึงทำให้ไม่ระมัดระวังคำพูด โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิดขอรับท่านเจ้าเมือง… แต่ข้าได้รับมอบหมายให้ส่งทรัพยากรให้ถึงที่หมาย จึงใคร่ขอทราบเหตุผลของท่านในการยึดทรัพยากรที่พวกข้าต้องการนำมาส่งด้วย!” ผู้อาวุโสที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ก้มหัวลงพร้อมเอื้อนเอ่ย เขาตั้งใจเลือกคำพูดเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้ทรัพยากรของตระกูลนภาห้าสมัยถูกยึดไป เขาคงต้องถูกลงโทษเมื่อกลับไปเหยียบตระกูลเป็นแน่
ผู้อาวุโสใจเย็นลงแล้ว จึงทำให้น้ำเสียงของเขาอ่อนลงด้วย เขาเลือกใช้คำว่า “เหตุผล” แทน “คำอธิบาย” ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาต้องการจะสื่อสิ่งใด
“เหตุผลเช่นนั้นหรือ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฟากฟ้าซึ่งเกิดจากพลังอำนาจของวงแหวนปราณดูสงบนิ่ง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไร้ความรู้สึกใดๆ
“นายกเทศมนตรีกงเต๋าไม่ได้แจ้งให้ท่านทราบหรือ มีสุสานใต้ดินแห่งใหม่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ทั้งนครกำลังเฝ้าระวังภัยเป็นอย่างมาก เรื่องนี้อาจชี้เป็นชี้ตายว่านครจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงหรือไม่ เรือบินลำใดก็ตามที่เข้ามาในน่านฟ้าจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเรา ส่วนเรื่องทรัพยากรนั้น… จะถูกนำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยภายในนครใหม่!”
“นอกจากนี้… พวกเจ้ามีเวลาสองชั่วโมงที่จะออกไปจากที่นี่!” เสียงของหวังเป่าเล่อก้องกังวานในอากาศ ใบหน้าของเขาค่อยๆ สลายหายไปจากสายตา แม้ใบหน้าของชายหนุ่มจะหายไปแล้ว แต่พลังกดดันจากคำพูดของเขายังคงอยู่ และทำให้ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ได้สติในทันที
ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น กงเต๋ายังเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ค่อยๆ สลายหายไปด้วย เขารู้สึกได้ถึงความเด็ดขาดจากคำพูดของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อตัดสินใจแล้วว่าจะสั่งสอนเฉินมู่และพรรคพวกให้ถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้ กงเต๋าจึงจริงจังกับการปฏิบัติหน้าที่มาก
กงเต๋าไม่สนใจว่าตนเองจะไปทำให้ใครไม่พอใจเข้า หวังเป่าเล่อไม่เพียงช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ยังมีบุญคุณในการช่วยให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง ทั้งความรู้สึกและเหตุผลบอกกงเต๋าว่า เขาต้องช่วยเหลือหวังเป่าเล่อ
ผู้อาวุโสจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสละทรัพยากรทั้งหมด ท่ามกลางการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดของกงเต๋า ก่อนจะจากไป เขามีโอกาสได้มองกำแพงยักษ์ที่โอบล้อมเขตปกครองตนเองอย่างเต็มตา ผู้อาวุโสส่ายหน้าและถอนหายใจ ก่อนจะรีบรายงานเรื่องนี้ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
เฉินมู่และพรรคพวกเงียบลงเช่นกัน แม้จะไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นโดยละเอียด แต่ก็พอเดาได้จากระยะไกล พวกเขาเห็นทรัพยากรของตนถูกยึดไป ขณะที่ตัวเองถูกจองจำอยู่ในเขตของตน ความรู้สึกที่ว่าตนเองถูกตัดแข้งตัดขาทำให้ความโกรธเกลียดทวีขึ้นในใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องนี้มีทางออกอยู่ทางเดียวเท่านั้น แต่ก็เป็นทางออกที่เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้ง ไม่อยากยอมรับ ทางออกนั้นก็คือ… ยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าหวังเป่าเล่อ และยอมให้หวังเป่าเล่อเข้าควบคุมเขตของพวกเขา!
“ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ข้าต้องรายงานให้ตระกูลของข้าทราบ เวินไหว ฟางจิ้ง พวกเจ้าก็ควรรีบรายงานให้สำนักของตัวเองทราบเรื่องนี้เช่นกัน เราจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้หมอนั่นเป็นอันขาด!” ผ่านไปสักพัก เฉินมู่ก็กัดฟันแน่นและเงยหน้าขึ้นมองหลินเทียนหาวที่ยืนอยู่บนกำแพง ชายหนุ่มมองหน้าหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาสื่อความนัย ก่อนจะหันหลังกลับไปในเขตของตนและรีบติดต่อตระกูลในทันที
ตระกูลนภาห้าสมัยก็ได้รับรายงานจากผู้อาวุโสคนนั้นแล้วเช่นกัน เมื่อได้ยินเรื่องราวจากมุมของเฉินมู่ พวกเขาก็เดือดพล่านด้วยความโกรธ และก้าวเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
แต่ทุกคนประเมินความดื้อรั้นของหวังเป่าเล่อในการดัดนิสัยนายกเทศมนตรีใหม่ทั้งสามคนต่ำไป นอกจากตอนที่หวังเป่าเล่อจัดการปลดหลี่อี้กลางอากาศแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่เคยแสดงนิสัยดื้อหัวชนฝาเช่นนี้อีก หวังเป่าเล่อปักธงเรียบร้อยแล้วว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด และจะไม่ยอมอ่อนข้อเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม!
ต่อให้ใครพยายามเปลี่ยนใจข้าก็ไม่เป็นผลทั้งนั้น เปล่าประโยชน์ ข้าจะรอดูจนกว่าคนพวกนั้นจะยอมจำนนอยู่แทบเท้าข้า! หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของตนเพิ่งวางสายจากเจ้านครไป ตอนแรกเขาเถียงอีกฝ่ายว่า ตนเองดำเนินตามมาตรการ เพราะปากทางเจ้าสุสานใต้ดินใหม่เพิ่งผุดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาจำเป็นต้องทำเพื่อให้เขตทั้งสามอยู่รอดปลอดภัย จากนั้นชายหนุ่มยังบอกอีกว่าเขาถูกปรักปรำ สุดท้ายเขาก็ส่งเอกสารไปให้เจ้านคร หลังจากที่เจ้านครอ่านเอกสารเรียบร้อย หญิงสาวก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีกนอกจากยิ้ม นางไม่ประสงค์จะตามจี้เรื่องนี้อีกต่อไป
หลังจากวางสายจากเจ้านคร แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อก็สั่นไม่หยุดด้วยข้อความที่ถาโถม ชายหนุ่มมองแหวนสื่อสารของตนเองอย่างรำคาญใจ และตัดสินใจไม่ตอบแม้แต่ข้อความเดียว หนึ่งในคนที่พยายามติดต่อเขาคือหลี่หว่านเอ๋อร์ อาการนิ่งเงียบของหวังเป่าเล่อทำให้นางตัดสินใจมาหาเขาถึงห้องทำงาน
สีหน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์มืดหม่น ขณะบุกเข้ามาที่ห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ นางพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก
“ท่านเจ้าเมืองหวัง ทรัพยากรที่มาส่งรอบนี้มีความสำคัญมาก ท่านคิดจะคืนให้เขตปกครองตนเองได้เมื่อใด”
สีหน้าทะมึนและน้ำเสียงไม่เป็นมิตรของหลี่หว่านเอ๋อร์ หลังจากที่นางเห็นเขาดัดนิสัยเฉินมู่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่พอใจเป็นอันมาก ชายหนุ่มหยิบขนมถุงออกมาเคี้ยวกินก่อนอ้าปากหาว
“ทรัพยากรที่มาส่งรอบนี้ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อน อาจคืนได้หลังคำสั่งจำกัดการเข้าออกเมืองถูกยกเลิกกระมัง”
“แล้วมันจะจบเมื่อไหร่เล่า” หลี่หว่านเอ๋อร์มองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าไม่น่ามาถามข้านะ เจ้าควรไปยืนถามสุสานอาวุธเทพใต้ดินมากกว่า มันเลิกผุดปากทางเข้าใหม่และเลิกก่อเหตุอสูรหลั่งไหลเมื่อใด ก็เมื่อนั้นอย่างไรเล่าที่ข้าจะยกเลิกคำสั่งจำกัดอาณาเขต” หวังเป่าเล่อกลอกตา เขาหยิบขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาดื่มอึกใหญ่ และรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตนดีขึ้นอย่างมาก
“ท่าน!” หลี่หว่านเอ๋อร์บันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อได้ยิน นางรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อตั้งใจจะบีบเฉินมู่และพรรคพวกให้ยอมจำนนให้จงได้ จึงหันหลังกลับและเดินจากไป ก่อนที่นางจะออกจากห้องไป หลี่หว่านเอ๋อร์ก็หายใจเข้าลึกและเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
“ท่านเจ้าเมืองหวัง ตอนที่ข้ามาถึงใหม่ๆ ท่านบอกเองว่าการก่อสร้างนครต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ หากเรื่องยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าไม่รับประกันว่าความคืบหน้าในการก่อสร้างจะเป็นไปโดยเรียบร้อย” เมื่อพูดจบนางก็เปิดประตูห้องและเดินจากไปทันที
หวังเป่าเล่อวางขวดน้ำลงทันทีที่หลี่หว่านเอ๋อร์ออกไป ชายหนุ่มหรี่ตา จับน้ำเสียงข่มขู่ของหลี่หว่านเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจน เขารู้ดีว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับกระบวนการก่อสร้างนครใหม่ แม้ทุกคนจะได้รับผลกระทบถ้วนหน้า แต่ก็เป็นตัวเขาเองในฐานะเจ้าเมืองที่จะต้องแบกความรับผิดชอบหนักสุด
แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย สิ่งที่สหพันธรัฐสนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องการสร้างนคร หากแต่เป็นกำแพงอาวุธเทพต่างหากเล่า… หวังเป่าเล่อยิ้มบาง หากเขาไม่ได้เริ่มเผด็จศึกแต่แรกก็คงไม่เป็นไร แต่ในเมื่อปฏิบัติการดัดนิสัยได้เริ่มขึ้นแล้ว หวังเป่าเล่อก็จะไม่ยอมถอยจนกว่าเฉินมู่และอีกสองคนที่เหลือจะยอมคุกเข่าลงต่อหน้า ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงปัดคำขู่ของหลี่หว่านเอ๋อร์ออกจากความคิดทันที
นั่นเพราะเอกสารที่เขาส่งไปให้เจ้านคร คือเอกสารที่ระบุรายละเอียดการสำรวจสุสานใต้ดินของกงเต๋า ว่าความคืบหน้าในการสลายกำแพงเป็นไปถึงไหนแล้ว
รายงานนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า วงแหวนปราณของนครใหม่ทำให้กำแพงกร่อนไปได้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มยังระบุลงไปด้วยว่า ภายในเวลาสามปี กำแพงอาวุธเทพนี้จะไม่มีอีกต่อไป!
นี่คือหลักประกันทางการทหาร เป็นเหตุผลที่ทำให้หวังเป่าเล่อกล้าแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลนภาห้าสมัย สำนักรุ่งสางจักรพิภพ และสำนักสหชุมนุมสกุณา!
การมองทะลุเปลือกนอกเข้าไปถึงแก่นของปัญหาที่แท้จริงนี่แหละ คือสิ่งที่ข้าเรียนรู้มาจากอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูง ดูก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่เข้าใจ! หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองอย่างปรีดา ชายหนุ่มหยิบขนมออกมาอีกถุง และเริ่มเปิดออกเคี้ยวกร้วมๆ ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในตนเอง