หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 401 ความเพียรของเจ้าลาน้อย
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากเขตปกครองตนเองทั้งสามเขตแล้ว การก่อสร้างในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ที่เหลือก็เป็นไปตามปกติ ทว่าทุกคนต่างให้ความสนใจการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อกับสามเขตปกครองตนเองจนไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาในนครใหม่
แต่แน่นอนว่าต่อให้ไม่มีการห้ำหั่นกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็คงไม่มีใครสังเกตเห็นคนแปลกหน้าผู้นี้อยู่ดี เพราะแม้ตอนนี้จะยังไม่มีประชากรใหม่ล้นทะลักเข้ามา แต่ประชากรในตอนนี้ของนครใหม่ก็เกินสองร้อยล้านคนไปแล้ว
คนหนึ่งคนท่ามกลางนครกว้างใหญ่ก็ไม่ต่างอะไรกับเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในทะเลทรายกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
อีกทั้งคนผู้นี้ยังชำนาญด้านการจำแลงกายและพรางตัว ไม่แน่ว่า…ระดับการฝึกตนของเขาอาจจะสูงมากเสียจนผู้อื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้เมื่อเขาพรางตัว
ณ ตรอกแห่งหนึ่งในเขตนครใหม่ภายใต้การดูแลของจินตั้วหมิง มีผู้ฝึกตนหนุ่มสวมชุดคลุมสีฟ้าคนหนึ่งกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับใครบางคนที่เขาเพิ่งจะรู้จักแต่กลับสนิทสนมอย่างรวดเร็ว
“พี่เจียง คนที่พี่พูดถึงคือเจ้าเมืองหวังของเราใช่หรือไม่ ช่างเป็นคนยิ่งใหญ่และมีความสามารถเยี่ยมยอดเสียจริง!” ผู้ฝึกตนข้างๆ ชายหนุ่มชุดฟ้าเหมือนจะจิบสุราไปไม่น้อย ชายผู้นั้นพูดบางอย่างขึ้นมา เขาหัวเราะและตอบกลับ
“เจ้าเมืองหวังมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดสำนักเต๋า เขาไต่เต้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นคนที่แม้จะไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่โตแต่กลับพัฒนาตนจนปัจจุบันมีชื่อเสียงและอำนาจมากมาย!”
ชายชุดฟ้ายิ้มและพยักหน้ารับเมื่อได้ฟังที่อีกฝ่ายอธิบาย ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ทั้งสองเดินไปตามทางเรื่อยๆ ชายที่เดินอยู่เคียงข้างไม่รู้ตัวเลยว่ามีเปลวไฟลุกโชติช่วงอยู่ในดวงตาของชายชุดฟ้า ราวดั่งเปลวไฟสีดำที่ลุกโชนไร้วี่แววจะดับแสง
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายชุดฟ้าที่ตนเพิ่งสนิทสนมด้วยนั้นไม่ใช่คนในนครนี้ รูปลักษณ์ที่ปรากฏตรงหน้าก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
ร่างที่แท้จริงของชายชุดฟ้าคือตัวตนในชุดคลุมสีดำที่ปิดบังตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า…
พวกเขาเดินจากไปไกลแล้ว หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทันใดนั้น…ก็มีร่างเงาสีดำพุ่งมายังตรอกที่แสนเงียบสงบแห่งนี้ ร่างนั้นเริ่มเผยออกเมื่อเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มันคือเจ้าลานั่นเอง!
ผู้คนในเมืองไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของชายชุดฟ้า แต่กลิ่นอายจางๆ จากตัวเขาก็ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านจมูกของเจ้าลาที่กระหายอาหารอย่างหนักไปได้
ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเขตนครจนแปรเปลี่ยนมาเป็นนครในปัจจุบัน เจ้าลานั้นเหมือนจะเดินมั่วๆ ไปรอบนครโดยที่ทิ้งรอยเท้าทั่วซั่วดูไม่ออกเอาไว้ แต่แท้จริงแล้วมันคอยตามหาอาหารเลิศรสที่ได้กินเมื่อครั้งก่อน รสชาตินั้นยังฝังลึกอยู่ในหัว
แต่อาหารชิ้นนี้ก็ช่างหายากยิ่งนัก มันออกตามหาเป็นเวลานานแต่ก็หาไม่เจอเสียที มันไม่ยอมแพ้ คอยบากบั่นตามหามาโดยตลอด ในที่สุดมันก็จับกลิ่นที่คล้ายคลึงกับอาหารชิ้นนั้นได้ แม้จะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนมาจากแหล่งเดียวกัน!
เจ้าลารีบพุ่งไปตามกลิ่นด้วยความตื่นเต้น เริ่มดมฟุดฟิดไปรอบๆ ตรอก ราวกับสงสัยว่ากลิ่นนี้จะว่าเหมือนก็เหมือนจะว่าต่างก็ต่าง เจ้าลาไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากความ มันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จากนั้นก็เริ่มออกตามหาเป้าหมายต่อด้วยดวงตาเป็นประกาย…
เจ้าลาอยากครอบครองอาหารชิ้นนี้แต่เพียงผู้เดียว มันจึงตัดสินใจจะไม่รายงานสิ่งที่พบให้หวังเป่าเล่อทราบ ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามายุ่งวุ่นวายกับมันอยู่ดี
หวังเป่าเล่อมองว่าการที่เจ้าลาออกลาดตระเวนหาอาหารให้ตัวเองนั้นเป็นเรื่องดี เพราะหากมันตามตนติดตลอด กระเพาะหลุมดำที่ไม่มีวันอิ่มของมันคงจะทำให้ชายหนุ่มคิดเชือดมันเข้าสักวัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำเพียงตรวจสภาพของเจ้าลาดูวันละครั้งว่ามันอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า นอกจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมาก เสร็จจากนั้นเขาก็กลับที่พักไป
นานๆ ครั้งหวังเป่าเล่อจึงจะกลับที่พักใหม่ในนครแห่งใหม่ เพราะเขามีตึกสำนักงานของตนเอง ซึ่งมีทั้งพื้นที่เฉพาะสำหรับถือสันโดษและหลอมวัตถุเวท นอกจากเขาแล้วยังมีผู้ฝึกตนและเจ้าพนักงานมากมายจากหลายฝ่ายอยู่ในตึกนี้ด้วย มองดูแล้วก็สบายตาเนื่องจากมีผู้ฝึกตนหญิงมากกว่าผู้ฝึกตนชาย
แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็รู้สึกว่าคงไม่เหมาะเท่าไรที่จะใช้เวลาอยู่ในตึกสำนักงานนานเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเขากำลังศึกษาเรื่องอาวุธเวทและวัตถุดิบต่างๆ เพราะหากมีอะไรผิดพลาดจนทำให้ตึกถล่ม ก็คงจะสร้างปัญหาให้ผู้อื่นเป็นการใหญ่
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจศึกษาเรื่องอาวุธเวทในที่พักส่วนตัวของตน ที่พักของเขาอยู่ในพื้นที่ที่จัดสรรไว้รวมกับอาคารอื่นๆ ในนครใหม่ ไม่ไกลจากตึกสำนักงานของชายหนุ่มมากนัก โดยพื้นที่บริเวณนั้นแยกจากส่วนอื่นๆ และมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
เขาไม่ใช่ผู้อาศัยเพียงคนเดียวในบริเวณนั้น ทั้งพื้นที่มีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ สำหรับที่พำนักสิบตำหนัก
นอกจากชายหนุ่มแล้ว คนที่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ภายในพื้นที่นี้ก็มีเหล่านายกเทศมนตรี รวมถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เป็นรองเจ้าเมือง แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยพักอยู่บริเวณนี้เช่นกัน
หวังเป่าเล่อกลับมาถึงที่พัก เขาเปิดใช้วงแหวนปราณเพื่อป้องกันการรบกวนจากภายนอก ก่อนจะเริ่มฝึกวิชาประจำวัน การฝึกวิชาเป็นประจำและการเสริมพลังจากปราณมืดทำให้ระดับพลังปราณของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่นานก็รุดหน้ามาจนถึงจุดสูงสุดของขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นปลาย ห่างจากชั้นสมบูรณ์อีกไม่มาก
ชายหนุ่มสุขใจกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก คิดว่าการจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในภายในเวลาสามปีคงไม่ใช่เพียงแค่ฝัน เมื่อใดที่เขาได้บรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นใน แม้จะมีอะไรผิดพลาดกับการรับประกันทางการทหาร ชายหนุ่มก็ยังมีระดับการฝึกตนที่สูงพอจะปกป้องตัวเองพร้อมกับไต่เต้าขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นได้!
ทั้งผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท หากสามารถครอบครองทั้งสองตำแหน่งนี้…ข้าอาจจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นขุนนางระดับสองชั้นสูงได้! หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ รู้สึกว่าตนได้ก้าวเข้าใกล้เป้าหมายในการขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐขึ้นไปอีกขั้น หากเขามุ่งหน้าฝึกตนอย่างหนักก็คงจะเอื้อมถึงได้ในที่สุด
ผู้นำสหพันธรัฐ! ชายหนุ่มตื่นเต้นกับความคิดในหัว ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบใจลงได้ จากนั้นก็เริ่มฝึกตนต่อ ผ่านไปหลายวันเขาก็หยุดทำสมาธิและหันมาศึกษาเรื่องอาวุธเวท
เรื่องการหลอมรวมวิญญาณและทักษะการหลอมสวรรค์สร้างที่ต้องใช้ในการหลอมอาวุธเวทนั้น หวังเอ่าเล่อรู้สึกว่าอย่างแรงนั้นง่ายหว่า ขั้นตอนสำคัญคืออย่างหลังต่างหาก ทว่าแม้จะศึกษามาเป็นเวลานานชายหนุ่มก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่เขาก็ไม่ย่อท้อเนื่องจากรู้ดีว่าการจะหลอมอาวุธเวทนั้นต้องพบเจออุปสรรคมากมาย แค่ต้องคอยแก้ไปทีละเรื่องเท่านั้น
หวังเป่าเล่อเก็บตัวฝึกตนต่อไปเรื่อยๆ นอกจากเจ้าลาแล้ว สถานการณ์ในนครใหม่ก็เป็นเช่นเคยเหมือนทุกๆ วัน การก่อสร้างในเขตปกครองตนเองเป็นไปอย่างรวดเร็ว นครใหม่แห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เมื่อการก่อสร้างและการปรับแต่งดำเนินไป มันก็เริ่มเผยให้เห็นเค้าโครงความเป็นนครที่ยิ่งใหญ่
ระหว่างนั้น เจ้าลาก็ง่วนอยู่กับการตามหาอาหารไปทั่วทั้งนคร ความอยากอาหารทำให้มันลืมความเหนื่อยล้าไปหมด เจ้าลาถึงกับคอยเฝ้าสังเกตการณ์ในบางจุดอยู่หลายครั้ง แม้จะคลาดกับเป้าหมายไปอย่างเฉียดฉิวสองสามครั้ง ก็ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งมั่นของมันลดทอนลงเลย
มีชายหนึ่งคนในนครแห่งใหม่ที่เพิ่งสงบใจได้ แต่ไม่นานเขาก็เริ่มโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ก่อนจะกัดฟันแน่น
ชายผู้นั้นคือเวินไหว…หลิวต้าวปินเป็นคนที่ทำให้เขาต้องกัดฟันกรอดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อส่งหลิวต้าวปินมาจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาโดยที่เขาเองก็ทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ หลิวต้าวปินทำงานได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเข้ามาจัดการเรื่องวินัยในเขตได้อย่างช่ำชอง มากล้นไปด้วยประสบการณ์
เวินไหวเริ่มสงสัยว่าหลิวต้าวปินน่าจะเคยทำงานเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก และก็เป็นอย่างที่เขาคิด หลิวต้าวปินนั้นทำงานช่วยหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่เข้าสำนัก จนกระทั่งหวังเป่าเล่อออกจากสำนักไปชายหนุ่มก็ยังทำงานต่อจนเชี่ยวชาญในด้านนี้
ผู้คนในเขตใหม่ของเวินไหวต่างตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเมื่อมีสายตาแหลมคมของหลิวต้าวปินคอยจับตาดูอยู่ เวินไหวเองก็มีแววจะโดนเด้ง ชายหนุ่มหงุดหงิดใจจนแทบจะระเบิดอยู่หลายครั้งเพราะหาที่ลงไม่ได้
เขาไม่ใช่คนเดียวที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ฟางจิ้งและเฉินมู่เองก็ประสบปัญหาเดียวกันในเขตปกครองตนเองของตน แต่ก็ไม่ได้ตกที่นั่งลำบากเท่าเวินไหว เนื่องจากคนอื่นๆ ไม่ได้เก่งกาจเท่าหลิวต้าวปิน
เวินไหวและฟางฟางจิ้งตระหนักดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นรับมือยากเพียงใดจึงได้แต่กล้ำกลืนเก็บงำความขุ่นเคืองเอาไว้ ส่วนเฉินมู่นั้นปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้ เขาแค้นเคืองหวังเป่าเล่ออย่างหนัก นอกจากนี้ยังไม่พอใจหลี่หว่านเอ๋อร์ ที่เป็นคู่หมั้นตนเองอีกด้วย
เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกถึงบันทึกภาพน่าสงสัยอันเลื่องลือของทั้งคู่ หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะปล่อยเรื่องนี้ไป โดยไม่คิดอะไรมาก แต่ ณ ปัจจุบัน ด้วยความโกรธแค้นที่มีในใจทำให้เฉินมู่ยึดติดกับเรื่องนี้ ยิ่งคิดยิ่งอึดอัดใจจนต้องติดต่อไปหาจั่วอี้เซียนอีกครั้งเพื่อถามหาบันทึกภาพดังกล่าว
“จั่วอี้เซียน ข้ารู้ว่าเจ้ามีน้องชื่อจั่วอี้ฟาน เจ้านั่นเป็นองครักษ์สงครามที่ทางตระกูลปั้นมาให้เจ้า ได้ข่าวว่าเจ้ากำราบเขา เพราะได้ยินว่าช่วงนี้เจ้านั่นชักจะเหิมเกริมไปกันใหญ่…
“ข้าช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ ที่เจ้าต้องทำก็แค่เอาบันทึกภาพทั้งหมดมาให้ข้า!”