หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 402 ตอบโต้!
จั่วอี้เซียนที่พ่ายแพ้ในศึกบนดาวอังคารและต้องกลับตระกูลใคร่ครวญข้อเสนอของเฉินมู่อย่างจริงจัง ดวงตาของเขาฉายแสงวาบ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่ได้ปล่อยบันทึกภาพและพูดในสิ่งที่ต้องพูด ถึงเบื้องหน้าจะดูหวังดี แต่จริงๆ แล้วเขาตั้งใจจะกระตุ้นให้เฉินมู่และหวังเป่าเล่อทะเลาะกันใหญ่โตต่างหาก
ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้เขาก็ยินดี แม้ตนเองจะเกลียดหวังเป่าเล่อเข้ากระดูกดำ แต่ก็ละเลยความขัดแย้งระหว่างตระกูลจั่วและตระกูลเฉินไปไม่ได้ แม้ทั้งสองตระกูลจะมาจากตระกูลนภาห้าสมัยที่มีอุดมการณ์ร่วมกันเป็นหนึ่ง
หลายคนในตระกูลจั่วอยากปัดตระกูลเฉินให้พ้นทางและยึดครองตำแหน่งรวมทั้งอำนาจของพวกเขา
ด้วยเหตุนี้จั่วอี้เซียนจึงไม่ได้ทำตามที่ตนต้องการในทีแรกเพื่อให้เฉินมู่ลดความระวังตนลง เขารู้ว่าหากเฉินมู่ยังไม่ได้ดูบันทึกภาพนี้อีกฝ่ายก็จะยึดติดกับมันไปตลอด หลายต่อหลายครั้งที่ความแค้นไม่ได้จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาโต้งๆ แต่เกิดจากการยึดติดเหมือนดังถูกมารร้ายเข้าควบคุมจิตใจ ก่อให้เกิดความแค้นและตั้งอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจ
แต่จั่วอี้เซียนก็รู้ดีว่าเฉินมู่ไม่ได้โง่ขนาดนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าตนพยายามทำอะไร แต่ใช้เวลาไม่นานก็คงอ่านแผนการของเขาออก หากเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มก็จะตกที่นั่งลำบาก
เขาพอใจข้อเสนอที่เฉินมู่ยื่นให้ เรื่องเดียวที่ยังกังวลคือหวังเป่าเล่อจะคิดเช่นไร หากเป็นเมื่อก่อน ชายหนุ่มคงไม่สนว่าหวังเป่าเล่อจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร แต่ตอนนี้เขาเป็นถึงเจ้าเมือง มีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูง สถานะของอีกฝ่ายตอนนี้แตกต่างจากในอดีตมาก
แม้จะมีตำแหน่งในปัจจุบันอยู่ แต่เจ้านั่นก็ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น จะให้มาต่อกรกับตระกูลจั่วก็คงไม่ไหว ต่อให้แค้นเคืองเพียงใดก็เอาไปลงได้แค่กับเฉินมู่ แฃะข้าก็จะลอยตัว! จั่วอี้เซียนครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่นานก็ได้ข้อสรุป
“ตกลง!”
เฉินมู่ที่อยู่ในเขตปกครองตนเองในนครใหม่ของดาวอังคารหรี่ตาลงเล็กน้อยและเหยียดยิ้มเมื่อตกลงกับจั่วอี้เซียนได้
จั่วอี้เซียนเป็นคนทะเยอทะยานแต่ก็ขาดความสามารถ เจ้านั่นคิดจริงๆ หรือว่ากลยุทธ์โง่ๆ เช่นนี้จะหลอกข้าได้ ดวงตาของเฉินมู่ฉายแววเย็นชา เขามองทะลุแผนการล่อลวงสาดน้ำมันใส่เพลิงของจั่วอี้เซียนแต่ก็ไม่ได้สนใจ พลางคิดว่าไว้ค่อยหาทางเอาคืนในภายหลัง ที่สำคัญในตอนนี้คือต้องดูเนื้อหาในบันทึกภาพเพื่อตัดสินใจว่าจะปฏิบัติต่อหลี่หว่านเอ๋อร์เช่นไร
ส่วนหนึ่งก็มาจากศักดิ์ศรีความเป็นผู้ชาย อีกส่วนเขากลัวจะเกิดผลกระทบด้านลบหากหลี่หว่านเอ๋อร์เปลี่ยนข้างในช่วงวิกฤติ
เฉินมู่ครุ่นคิดถึงความกังวลต่างๆ ในใจอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ติดต่อไปยังผู้คนในตระกูลให้ออกตามล่าตัวจั่วอี้ฟานทันที!
พลังอำนาจของเฉินมู่บนดาวอังคารนั้นมีจำกัด จึงไม่สามารถแสดงให้หวังเป่าเล่อเห็นได้ แต่บนโลกนั้น ในฐานะที่เป็นบุตรคนโตของตระกูลเฉิน แม้จะยังไม่แน่ว่าเขาจะได้เป็นทายาทผู้สืบสกุล แต่เส้นสายและอำนาจที่ชายหนุ่มมีถือว่ามากพอตัวเลยทีเดียว
ไม่นานเขาก็พบตัวจั่วอี้ฟานจากการใช้คนในเครือข่ายช่วยตามหา…
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป หวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในที่พักไปพร้อมๆ กับศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้างก็ได้รับข้อความเสียงจากประมุขสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์
ชายหนุ่มหันไปตอบข้อความเสียงที่ได้รับขณะกำลังพยายามควบคุมก้อนปราณวิญญาณที่สร้างขึ้น สิ่งนี้เป็นผลมาจากการควบคุมพลังของสวรรค์และพื้นพิภพโดยใช้ปราณวิญญาณของตนเป็นตัวกลาง กระบวนการนี้ได้มาจากการศึกษาอาวุธเวทของเขา
“มีอะไรหรือท่านประมุขสำนัก ข้ากำลังหลอมอาวุธเวทอยู่” หวังเป่าเล่อคุมก้อนปราณวิญญาณที่กำลังส่องแสงไปด้วยขณะคุยโม้ คิดว่าประมุขสำนักคงจะตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าตนกำลังทำอะไรอยู่
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ยินการตอบรับอย่างที่คาดไว้ ประมุขสำนักเหมือนจะไม่ได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูดว่ากำลังหลอมอาวุธเวทอยู่ น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูจริงจัง ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงในหูของหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ ข้ามีอะไรจะบอก…จั่วอี้ฟานควรจะกลับถึงสำนักเมื่อเย็นวานนี้ แต่เขาโดนซุ่มโจมตีจนบาดเจ็บหนัก บังเอิญว่ามีกลุ่มพ่อค้าจากตระกูลนภาห้าสมัยบังเอิญอยู่แถวนั้นพอดี ด้วยสถานะของจั่วอี้ฟาน กลุ่มพ่อค้าเลยช่วยเอาไว้…”
เมื่อได้ยินที่ประมุขสำนักพูด อารมณ์ของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไปในทันที ก้อนปราณวิญญาณตรงหน้าเริ่มสั่นคลอนก่อนจะระเบิดเสียงดังกลายเป็นคลื่นพลังงานกระจายไปกระทบผนัง เส้นผมของเขาปลิวไหวเมื่อคลื่นพลังงานเคลื่อนตัวผ่าน ดวงตาฉายแววเย็นชา
“แล้วเป็นอย่างไรต่อ” น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง
“กลุ่มพ่อค้าส่งตัวเขาไปยังตระกูลจั่วโดยตรง…หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรอีก พวกเราติดต่อตระกูลจั่วไปทันทีที่ทราบเรื่อง แต่จั่วอี้ฟานก็เป็นคนของตระกูลจั่ว ทางสำนักไม่ได้อยู่ในจุดที่จะพูดอะไรได้มาก ผู้อาวุโสสูงสุดก็เดินทางไปที่อื่นไม่ได้อยู่ในสำนัก ข้ารู้ว่าเจ้าสนิทกับจั่วอี้ฟานเลยติดต่อมาเพื่อบอกข่าว
“แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป จั่วอี้ฟานเป็นศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะหาทางทำให้ตระกูลจั่วรีบปล่อยตัวจั่วอี้ฟานออกมาโดยเร็ว…หากเจ้ามีใครที่พอจะช่วยได้ก็ลองถามไถ่ดูแล้วกัน อาจจะช่วยเร่งเรื่องให้เร็วขึ้นได้” ประมุขสำนักตัดสายไปหลังพูดจบ เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อคงไม่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่คิดทำอะไรหลังจากได้ยินเรื่องนี้
หากหวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ในตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นสูงและเป็นเจ้าเมือง มีชื่อเสียงและอำนาจมากมายเช่นนี้ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์คงไม่มาบอกเรื่องนี้กับชายหนุ่ม แต่ในสายตาประมุขสำนัก สถานะและตำแหน่งของหวังเป่าเล่อในตอนนี้เทียบเท่ากับเจ้าพนักงานระดับสูงสุดในเขตปกครองอิสระ หากชายหนุ่มเข้ามาจัดการเรื่องนี้ จะต้องสร้างผลกระทบอย่างมากทีเดียว
หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นเดียวกับประมุขสำนัก แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นอาจจะรุนแรงกว่ามาก หลังจากประมุขสำนักวางสายไป ชายหนุ่มก็หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย สายตาเย็นชาฉายแววอาฆาตแค้น เขาลุกยืนขึ้น พลังปราณในกายเริ่มปั่นป่วน ชั้นน้ำแข็งขึ้นเกาะผนังรอบๆ
จั่วอี้เซียน! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเป็นดังภูเขาไฟที่จวนจะปะทุ จั่วอี้ฟานเป็นเพื่อนรักของตน เป็นสมาชิกสมาคมคนหน้าตาดีขั้นเทพ อีกทั้งยังเป็นพี่น้องที่เสี่ยงตายมาด้วยกัน ใครๆ ก็ดูออกว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล
หวังเล่อรู้ว่าจั่วอี้ฟานเป็นองครักษ์สงครามที่ทางตระกูลปั้นมาให้จั่วอี้เซียน ทว่าตั้งแต่จั่วอี้ฟานเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และได้เป็นเพื่อนกับหวังเป่าเล่อ โชคชะตาของเขาก็เปลี่ยนไป ทำให้เกิดเรื่องมากมายที่อยู่เหนือการควบคุมของจั่วอี้เซียน
ตอนนี้จั่วอี้ฟานที่ถูกตระกูลจั่วกักตัวไว้คงกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง หวังเป่าเล่อรู้ว่าแม้ตนจะมีตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นสูงและเป็นเจ้าเมืองของนครใหม่บนดาวอังคาร แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน จึงเป็นเรื่องยากสำหรับชายหนุ่มที่จะทำให้ตระกูลจั่วยอมถอยได้…
ถึงแม้ว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจะแข็งแกร่ง แต่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่ผู้นำกลุ่ม ทำให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นอกจากนั้น แม้ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะเป็นคนจิตใจดีและเขาก็เคารพอีกฝ่ายอย่างมาก แต่ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าที่หลินโยวเคยประเมินประมุขสำนักไว้ดูจะเป็นเรื่องจริง เขามองว่าประมุขสำนักเป็นคนหัวอ่อนเกินไป…ไม่มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว!
ชายหนุ่มคิดเรื่องนี้ต่ออีกสักพัก จากนั้นก็สูดหายใจลึก นึกถึงใครคนหนึ่งที่จะสามารถต่อกรกับตระกูลจั่วได้ ชายหนุ่มหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมา จากนั้นก็ติดต่อไปบอกกงเต๋าให้มาพบเขา!
ไม่นานกงเต๋าก็มาปรากฏตัว ณ ที่พักของหวังเป่าเล่อ ทันทีที่เขาเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่าย ชายหนุ่มมองไปทางผนังรอบๆ เงียบๆ ด้วยสีหน้าพินิจพิเคราะห์ เขายืนรอให้หวังเป่าเล่อเปิดบทสนทนา
“พี่กง ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องใช้ภูมิหลังของพี่มาช่วย รวมไปถึงอำนาจของกองทัพทั้งบนดาวอังคารและบนโลก ถ้าพี่ไม่สะดวกใจจะช่วยก็บอกข้าได้” หวังเป่าเล่อมองไปทางกงเต๋าพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“บอกมา” กงเต๋าหรี่ตามองเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เขาตอบกลับด้วยความจริงจังไม่แพ้กัน ไม่ได้เลี่ยงประเด็นไปพูดเรื่องอื่น
“โปรดไปยังที่พำนักของตระกูลจั่ว ช่วยจั่วอี้ฟานออกมาและพาเขามายังดาวอังคาร!”
กงเต๋าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า ‘ตระกูลจั่ว’ เขานึกถึงเรื่องที่หวังเป่าเล่อเคยช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งยังช่วยให้ได้เลื่อนขั้น จึงพยักหน้าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
“วางใจได้! ข้าจะออกเดินทางไปยังโลกทันที ข้าจะช่วยเขาออกมาจากที่พำนักของตระกูลจั่วและพามาที่นี่เอง!”
“ขอบใจมากจริงๆ!” ช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ทำให้รู้ได้ว่าใครเป็นมิตรแท้ กงเต๋าไม่ลังเลใจที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อตื้นตันใจมาก เขากุมกำปั้นและก้มหัวให้
กงเต๋ากุมกำปั้นก้มหัวตอบ ก่อนจะหันกลับออกไป ชายหนุ่มรีบใช้สิทธิ์ของกองทัพในการควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารเพื่อเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปยังนครหลักแห่งดาวอังคาร จากนั้นก็ขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปยังโลก!
กงเต๋ามีสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่ก่อนขึ้นเรือบินแล้ว เขารู้ดีว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายมานั้นท้าทายเพียงใด แต่ก็นึกได้ว่าหวังเป่าเล่อไม่เคยขออะไรจากตนเลย จึงตัดสินใจว่าจะต้องทำภารกิจนี้ให้ดีที่สุด!
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กงเต๋าก็เปิดใช้งานแหวนสื่อสารเพื่อส่งข้อความเสียงไปยังสำนักผู้นำสหพันธรัฐที่บิดาบุญธรรมของตนประจำการอยู่…