หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 403 ด้วยคำสั่งของเจ้าเมืองหวัง!
กงเต๋าเคารพต้วนมู่ฉี่ บิดาบุญธรรมของตนจากก้นบึ้งของหัวใจ สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาสัมผัสได้ว่าต้วนมู่ฉีนั้นรักและห่วงใยตนมากแม้จะมีท่าทีเข้มงวดอยู่ตลอด ชายหนุ่มเชื่อในสัญชาตญาณของตนแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยขออะไรออกไปง่ายๆ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกติดต่อไปยังสำนักผู้นำสหพันธรัฐแทนเพื่อแจ้งให้ทราบว่าตนจะเดินทางออกจากดาวอังคารและส่งคำร้องไปทางสำนักปกครองบนโลก คนที่รับสายเป็นหญิงสาวเสียงเสนาะหูนางหนึ่ง ชายหนุ่มจำเสียงนางได้รางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของใคร เขาไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากความ หลังจากตัดสายไปก็ติดต่อไปยังกองทัพบนดาวอังคาร
เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จ กงเต๋าก็ขึ้นเรือบินมุ่งหน้าไปยังโลกพร้อมผู้ฝึกตนกว่าสามร้อยคน พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนจากกองทัพ มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ฝีมือแกร่งกล้ากันทุกนาย นอกจากนี้กองทัพประจำดาวอังคารยังส่งนักพรตขั้นกำเนิดแก่นในไปช่วยคุ้มกันกงเต๋าด้วยอีกแรง
ที่กองทัพทำเช่นนี้เป็นเพราะกงเต๋ามีสถานะเป็นตัวแทนกองทัพในเขตนครใหม่ อีกทั้งยังมีภูมิหลังที่ไม่เหมือนใคร ประกอบกับที่ชายหนุ่มต้องเดินทางไปยังโลกเป็นเพราะหวังเป่าเล่อขอความช่วยเหลือมา ทางกองทัพจึงให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่
กงเต๋าติดต่อไปยังกองทัพบนโลกเผื่อไว้ด้วย และตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ เมื่อเรือบินลงจอดบนโลก ชายหนุ่มก็พบกลุ่มคนจำนวนสามร้อยคนที่ทางกองทัพบนโลกส่งมา พวกเขาอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเช่นกัน
ทุกคนได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือกงเต๋าปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วง!
มีสามคนในกลุ่มที่สะดุดตากงเต๋า ในสามคนนั้นมีหญิงสาวแต่งกายด้วยเครื่องแบบเรียบหรูนางหนึ่ง ความงดงามของนางทำให้ผู้คนรอบๆ ใจเต้นระส่ำ แต่สายตาและรัศมีใสซื่อบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากตัวนางทำให้ทุกคนรู้สึกละอายแก่ใจ ราวกับว่าความคิดผิดศีลธรรมต่างๆ ได้ปลิวหายไปหมดเมื่อได้มาอยู่เบื้องหน้านาง
หญิงสาวนางนั้นคือ…เจ้าเยี่ยเหมิง
นางเป็นผู้ช่วยประจำสำนักผู้นำสหพันธรัฐ การมาปรากฏตัวของนางบ่งบอกได้ว่าผู้นำสหพันธรัฐคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ด้านหลังของนางคือผู้อาวุโสสองคนที่มีระดับพลังปราณสูงและอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน
กงเต๋าไม่คุ้นหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง เขารู้ว่าในสหพันธรัฐมีสมาคมนักพรตที่มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมากมายในสังกัด ผู้ฝึกตนเหล่านี้ขึ้นตรงต่อผู้นำสหพันธรัฐ การที่ผู้อาวุโสทั้งสองคนมาร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ด้วยก็ทำให้เห็นได้ชัดว่าผู้นำสหพันธรัฐมีจุดยืนอย่างไร
กงเต๋าตื่นเต้นดีใจเมื่อได้เห็นการสนับสนุนจากทางกองทัพบนโลกและจากบิดาบุญธรรมของตน แต่ก็ยังเคลือบแคลงใจอยู่เล็กน้อย การสนับสนุนที่ได้รับนั้นเกินกว่าที่เขาคาดไว้มาก ชายหนุ่มคิดว่าบิดาบุญธรรมคงจะตอบอนุมัติเฉยๆ จึงเตรียมการเผื่อในส่วนนี้ไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว
ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นหกร้อยคนและขั้นกำเนิดแก่นในอีกสามคน ไม่ว่ากลุ่มอำนาจทางการเมืองใดก็คงไม่กล้าต่อกรกับกองกำลังนี้เป็นแน่ อีกทั้งกลุ่มอำนาจที่ให้การสนับสนุนกองกำลังนี้ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน
ตระกูลจั่วตื่นตกใจเมื่อได้เห็นกองกำลังที่ว่านี้ จั่วอี้เซียนเริ่มเป็นกังวลจนพูดไม่ออกเมื่อพบว่ากงเต๋าพากองกำลังมาถึงหน้าที่พำนัก เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหากันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้
“ข้าคือกงเต๋า พันเอกประจำกองทัพดาวอังคาร นายกเทศมนตรีแห่งนครอาวุธเทพใหม่ และมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสามชั้นรอง ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ เจ้าเมืองของนครอาวุธเทพใหม่ เพื่อรับตัวจั่วอี้ฟานกลับ ขอความร่วมมือจากตระกูลจั่วให้ปล่อยตัวเขาในทันทีด้วย!”
นายใหญ่ประจำตระกูลจั่วรวมถึงคนอื่นๆ อีกหลายคนไม่ได้ทราบเรื่องจั่วอี้ฟานมาก่อน พวกเขามารู้เรื่องข้อตกลงระหว่างเฉินมู่กับจั่วอี้เซียนตอนที่จั่วอี้เซียนนำตัวจั่วอี้ฟานมาคุมขังไว้ แต่เมื่อลงมือไปแล้วก็แก้ไขอะไรไม่ได้ พูดอะไรไปก็คงเปล่าประโยชน์ แม้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้น ตระกูลจั่วก็ถือเป็นตระกูลสูงศักดิ์มีชื่อเสียงต้องปกปักรักษา ไม่มีทางที่พวกเขาจะทำตามคำสั่งคนอื่นง่ายๆ ตามธรรมเนียมแล้วต้องมีการประชุมตกลงกันจนกว่าจะได้ข้อสรุปที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามวันถึงจะได้ข้อสรุป
ผลก็คือเมื่อเผชิญกับการบังคับขู่เข็ญจากพวกกงเต๋า ผู้อาวุโสที่เป็นตัวแทนของตระกูลจั่วจึงปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมทำตามคำสั่ง
ทันใดที่อีกฝ่ายบอกปฏิเสธ และก่อนที่กงเต๋าจะทันได้ทำอะไร เจ้าเยี่ยเหมิงที่โกรธเคืองอยู่ในใจก็เปิดฉากจู่โจม การโจมตีของนางไม่ได้รุนแรงมาก แต่นักพรตขั้นกำเนิดแก่นในด้านหลังนางก็ลงมือจู่โจมพร้อมกัน พลังปราณของพวกเขาประสานพวยพุ่งเพิ่มความตึงเครียดให้สถานการณ์ปัจจุบันโดยพลัน
ตระกูลจั่วที่ตั้งใจจะแข็งขืนเปลี่ยนท่าทีในทันที เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสของตระกูลจั่วระมัดระวังตัวต่อเจ้าเยี่ยหมิง กงเต๋ารู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก่อนลงมือเขาได้ติดต่อไปยังหวังเป่าเล่อเพื่อขออนุญาตก่อน
อย่างไรเสียสถานการณ์คงจะเปลี่ยนไปหากกงเต๋าเป็นคนสั่งโจมตี เขาอยากรู้ว่าหวังเป่าเล่อจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
หวังเป่าเล่อคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พอได้รับรายงานผ่านข้อความเสียงและเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น เขาก็ไม่ลังเลใจ ส่งคำสั่งผ่านแหวนสื่อสารด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โจมตีได้! ถ้ามีอะไร ข้าจะรับผิดชอบเองทั้งหมด!”
เมื่อได้รับคำสั่งอันเด็ดขาดจากหวังเป่าเล่อ รังสีสังหารก็ฉายวาบในดวงตาของกงเต๋า เขาสั่งการให้กองกำลังโจมตีทันที การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทุขึ้น ตระกูลจั่วไม่กลัวการรบ แต่พวกเขารู้ว่าตนต้องเป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน อีกฝ่ายมีทั้งกงเต๋า เจ้าเยี่ยเหมิง กองกำลังจากกองทัพ ทั้งยังมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกสามคนที่มีกลุ่มอำนาจทางการเมืองสนับสนุน ทำให้ตระกูลจั่วเสียเปรียบอย่างมาก
ผู้นำสหพันธรัฐ กองทัพของสหพันธรัฐ กองทัพของอาณานิคมดาวอังคาร และหวังเป่าเล่อ…บัดซบ เจ้าจั่วอี้เซียนตั้งใจจะฆ่าล้างบางตระกูลตนเองหรืออย่างไร ขณะที่สถานการณ์เริ่มคุกรุ่นและตึงเครียดมากขึ้น ผู้นำตระกูลจั่วก็สูดหายใจลึก ตัดสินใจที่จะหยุดทั้งสองฝ่ายไม่ให้สู้กันเพื่อไม่ให้เรื่องเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขาไม่ได้ออกมายุติความขัดแย้งด้วยตนเอง แต่ให้คนนำตัวจั่วอี้ฟานออกมาส่งแทน
ทว่าทีที่จั่วอี้ฟานปรากฏตัวด้านนอก ก็มีพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายผนวกกับพลังวิญญาณของอาวุธเวทระดับเก้าพวยพุ่งออกมาจากด้านหลังที่พำนักตระกูลจั่ว พลังที่ปะทุออกมาสั่นสะท้านฟ้าดิน อัสนีบาทส่งเสียงคำรามฉายสีบนท้องฟ้า ล้อมรอบเจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า และกองกำลังพลของพวกเขาเอาไว้
เหมือนว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในของตระกูลจั่วสามารถจัดการเหล่ากองกำลังได้อย่างง่ายดาย แต่กลับเลือกที่จะปลดปล่อยพลังให้ชิมลางก่อนก็จะหายวับไป ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทำให้อีกฝ่ายพรั่นพรึง และเป็นการส่งข้อความให้ทุกคนที่จับตาดูอยู่ได้รู้ว่าตระกูลจั่วไม่ได้ส่งตัวจั่วอี้ฟานให้เพราะพวกเขาเกรงกลัว แต่เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่าเท่านั้น!
ขณะที่ตระกูลจั่วส่งตัวจั่วอี้ฟานออกมา ผู้อาวุโสที่เป็นตัวแทนเจรจาก็ออกมาอธิบายว่าพวกเขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ มีคนนำตัวจั่วอี้ฟานมาให้พวกเขาอีกที
สถานการณ์ความวุ่นวายยุติลง ไม่ต่างจากพายุฝนที่ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครมแต่กลับมีฝนปรอยลงมาเพียงเล็กน้อย คนอื่นๆ ที่จับตาดูสถานการณ์อยู่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เป็นใครก็คงยอมจำนนเมื่อต้องมาประจันหน้ากับการร่วมมือของกลุ่มอำนาจทางการเมืองเหล่านี้
จั่วอี้ฟานหน้าซีดเซียว แต่หวังเป่าเล่อช่วยไว้ได้ทันเวลา ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายมากนัก เขาดูสิ้นหวัง ความรู้สึกผูกพันกับตระกูลจั่วที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดหายวับไป
ไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มต้องพบเจอกับอะไรระหว่างที่ถูกคุมขัง เขาไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียว ไม่บอกอะไรแม้แต่กับเจ้าเยี่ยเหมิง เห็นได้ชัดว่าจั่วอี้ฟานต้องพบเจอสถานการณ์สุดเลวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อตัวเขาอย่างรุนแรง
ระหว่างทางขากลับ กงเต๋าแนะให้จั่วอี้ฟานเดินทางไปดาวอังคาร แต่จั่วอี้ฟานกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“บอกเป่าเล่อด้วยว่าข้าจะไม่ไปดาวอังคาร ข้าจะไปฝึกฝีมือบนดวงจันทร์และจะไม่กลับมาจนกว่าจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน!” จั่วอี้ฟานตอบกลับด้วยแววตามุ่งมั่นแฝงความดื้อรั้น
กงเต๋าถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำตอบของจั่วอี้ฟาน ก่อนจะกลับออกไป เขาก็พูดขึ้น “เจ้าน่าจะลองไปท้องทะเลแห่งอสูร หากคิดจะบรรลุระดับการฝึกตนโดยเอาตัวเข้าไปเสี่ยงภัยอันตราย ท้องทะเลแห่งอสูรเป็นสถานที่ที่เหมาะจะทำเช่นนั้นมากกว่าดวงจันทร์!” พูดจบ ชายหนุ่มก็กุมกำปั้นโค้งให้เจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะนำกองกำลังกลับ
กงเต๋าเคยชื่นชมและรู้สึกบางอย่างกับเจ้าเยี่ยเหมิง แต่ตอนนี้เขาเข้าใจจิตใจของตนแจ่มชัดขึ้น ที่ชายหนุ่มอยากทำในตอนนี้คือมุ่งหน้าฝึกฝีมือเพื่อพัฒนาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง หนทางเบื้องหน้านั้นเต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย เขาไม่อาจมีข้อผูกมัดหรือสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวใดๆ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะกลบฝังความรู้สึกนี้ไว้ลึกสุดของหัวใจและหันหลังให้เจ้าเยี่ยเหมิง
ชายหนุ่มไม่ได้กลับดาวอังคารในทันทีที่หลังจากที่แยกกับจั่วอี้ฟาน เขาเริ่มสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้เส้นสายต่างๆ ที่มี อีกทั้งยังติดต่อไปหาจินตั้วหมิงด้วย พอสืบสาวราวเรื่องจากเบาะแสที่มีก็พบหลักฐานชี้ว่าเฉินมู่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด
เขาขึ้นเรือบินกลับดาวอังคารและรายงานผลการสืบสวนให้หวังเป่าเล่อทราบ เรือบินทะยานขึ้นสู่ฟ้าเป็นสัญญาณว่าภารกิจได้สำเร็จลุล่วงแล้ว!
แม้เหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดขึ้นเพียงไม่นาน แต่ก็สร้างความโกลาหลภายในสหพันธรัฐได้ไม่น้อย ทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นสี่ยอดสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ คณะเสนาบดี และกลุ่มอำนาจทางการเมืองอื่นๆ ที่ได้เห็นบทสรุปของเหตุการณ์นี้ต่างจับจ้องไปทางดาวอังคารพร้อมๆ กัน
ครั้งหนึ่งเมื่อคิดถึงดาวอังคาร ทุกคนล้วนนึกถึงเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร แต่ ณ บัดนี้มีผู้อื่นปรากฏขึ้นในความคิดของเหล่ากลุ่มอำนาจทางการเมือง ชายผู้นั้นยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่กลับสามารถออกคำสั่งส่งคนมายังโลกเพื่อปฏิบัติภารกิจโดยที่ตนเองอยู่บนดาวอังคาร ได้รับการสนับสนุนจากทางกองทัพและฝ่ายปกครองของดาวอังคาร รวมทั้งการอนุมัติจากผู้นำสหพันธรัฐ ทุกๆ สิ่ง…ชี้ให้เห็นว่าดาวรุ่งดวงใหม่บนดาวอังคารผู้นี้ได้ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นบุคคลสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม!
หวังเป่าเล่อมองว่าการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อตระกูลจั่วและความปรารถนาอยากช่วยเหลือเพื่อน ส่วนกลุ่มอำนาจทางการเมืองอื่นๆ มองว่า…หวังเป่าเล่อตั้งใจจะแสดงอำนาจของตนให้เป็นที่ประจักษ์ พวกเขามองว่าชายหนุ่มลงมือเช่นนี้เพื่อบอกทุกฝ่ายว่าอย่ามาแตะต้องครอบครัวและเพื่อนๆ ของตน!
หากมาแตะต้องพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ชายหนุ่มก็ไม่กลัวที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้าง!