หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 406 เคล็ดเวทอายุวัฒนะ
หมายความว่าอย่างไรกัน หวังเป่าเล่อนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากสัมผัสได้ว่าสายตาของจินตั้วหมิงดูแปลกๆ ตอนแรกก็พูดปกติดี แต่จู่ๆ ก็พูดถึงเรื่องลูกสาวขึ้นมา ถ้าแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ เขาก็คงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่สายตาที่อีกคนมองมานั้นบ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดนั่น
“หมายถึงน้องเจ้าหรือ ข้าสนิทกับนาง แต่เก็บไว้เป็นความลับ เจ้าก็รู้ว่าตระกูลของนางไม่ธรรมดา รู้ไว้แค่นี้ก็พอแล้ว” หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็กระแอมกระไอและพูดขึ้น
พอตอบไปเช่นนั้น จินตั้วหมิงก็ตื่นตะลึงไปพร้อมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถามออกไป
“เอ่อ…เป่าเล่อ ข้าเคยเจอลูกสาวของเจ้านครครั้งเดียวตอนยังเด็ก ได้ยินมาว่าตอนนางอายุเจ็ดขวบ ก็ถูกส่งตัวไปฝึกวิชาบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย…เจ้าไปรู้จักนางได้อย่างไรกัน”
หวังเป่าเล่อนิ่งอึ้งไป พอได้ยินที่จินตั้วหมิงพูด เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตระหนักได้ว่าตนด่วนสรุปไปเอง อีกทั้งยังรู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ ที่หลงคิดไปว่าลูกสาวของเจ้านครคือเจ้าเยี่ยเหมิง
ทั้งคู่นั้นใช้แซ่เจ้าเหมือนกัน อีกทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงยังมีภูมิหลังลึกลับซับซ้อนคล้ายๆ กัน แม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงแต่ก็ยังไม่ทราบข้อมูลอะไรเกี่ยวกับนาง หวังเป่าเล่อเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ยกเรื่องศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณขึ้นมาพูดแทน
จินตั้วหมิงยังคงมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตากังขา เขาเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ลึกๆ ข้างในกำลังตื่นเต้นและภาคภูมิใจกับทักษะการแสดงของตน คิดว่าในที่สุดก็ได้เวลาแก้แค้นที่อีกฝ่ายคอยเอาเรื่องเจ้าลามาเย้าแหย่ตนโดยไม่มีสาเหตุ เรื่องลูกสาวของเจ้านครที่ถูกส่งตัวไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นชายหนุ่มกุขึ้นมาเอง
ชายหนุ่มรู้ว่าถ้าพูดอะไรออกไปเยอะเข้าก็จะเผยไต๋ให้อีกฝ่ายได้รู้ จึงเลือกที่จะหยุดพูดถึงเรื่องโกหกพกลมของตนและหันมาถกเรื่องแผนการและรายละเอียดเกี่ยวกับศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณแทน นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเมื่อได้ฟังรายละเอียด เริ่มตระหนักถึงความสำคัญที่ศูนย์วิจัยมีต่อนครใหม่
หากมีการตั้งศูนย์วิจัยขึ้นที่นครใหม่ ทางสหพันธรัฐก็จะส่งนักวิจัยและกำลังคนมาคุ้มกันพื้นที่บริเวณนั้น ซึ่งจะทำให้นครแห่งใหม่มีความสำคัญมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันนครให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ความสำคัญของนครใหม่รวมถึงอำนาจที่ขยับขยายขึ้นของหวังเป่าเล่อ ยังจะช่วยให้ชายหนุ่มได้รู้ว่าจินตั้วหมิงมีเป้าหมายอะไรในใจ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ ก็ตาม
อย่างไรเสียการเมืองภายในของกลุ่มไตรจันทราก็ซับซ้อนมาก ในนั้นมีกลุ่มย่อยมากมายโดยมีผู้นำประจำแต่ละกลุ่ม แม้จินตั้วหมิงจะมีสิทธิ์ขึ้นเป็นทายาทสืบทอด แต่เขาก็ไม่ใช่ทายาทเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่ากลุ่มไตรจันทราจะประเมินคัดเลือกผู้สืบทอดอย่างไร แต่น่าจะดูจากความสำเร็จและอำนาจที่คนผู้นั้นมี ดังนั้นจินตั้วหมิงจึงคิดวางแผนตั้งศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณในเขตของตน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขามาก
อาจกล่าวได้ว่าเรื่องนี้ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพียงเท่านี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อสมองแล่นแล้ว จากนั้นจินตั้วหมิงก็เชิญหวังเป่าเล่อไปนครหลักดาวอังคารด้วยกันเพื่อไปดูงานที่ศูนย์วิจัยและเข้าพบเจ้าผินฟาง
มีอะไรแปลกๆ ชอบกล จริงๆ แค่ไปดูงานกับเข้าพบ จินตั้วหมิงไปคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว ทำไมถึงเอ่ยชวนข้าไม่หยุดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเริ่มคลางแคลงใจ พอหันไปเห็นรูปลักษณ์อีกฝ่าย เขาก็ได้คำตอบ
ต้องเป็นเพราะข้ามีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐเป็นแน่ แถมยังมีตำแหน่งที่สูงศักดิ์ ถือได้ว่าข้าเป็นบุคคลชั้นยอดแม้จะอายุยังน้อย ทั่วทั้งสหพันธรัฐต่างรู้จักข้า แถมข้านั้นหล่อเหลามากเสียจนจินตั้วหมิงคิดว่าถ้าพาข้าไปด้วยคงช่วยเพิ่มโอกาสที่โครงการจะผ่านการอนุมัติ เขาอยากให้ข้าไปช่วยสนับสนุน! หวังเป่าเล่อยกมือแตะคาง ก่อนจะตบบ่าจินตั้วหมิงด้วยความหลงตัวเอง เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตาแฝงความชื่นชม อีกทั้งยังบอกเป็นนัยว่าจริงๆ ตนไม่ต้องทำก็ได้ แต่จะยอมไปด้วยเป็นกรณีพิเศษ
สายตาที่อีกฝ่ายมองมาทำให้จินตั้วหมิงรู้สึกผิดชอบกล หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักและแน่ใจว่าตนไม่ได้เผยไต๋อะไรออกไปเขาก็ยกยิ้มขึ้น แต่ก็ยังแอบเป็นกังวลกับสายตาที่หวังเป่าเล่อส่งให้อยู่
บ้าจริง พอเจ้าหวังเป่าเล่อได้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองก็ดูเฉลียวฉลาดขึ้นมาก รู้จักวิธีใช้อำนาจที่มีเสียด้วย เจ้านั่นไม่น่าจะรู้ว่าทำไมข้าถึงหวังพึ่งชื่อเสียงและอำนาจของเขาใช่ไหม ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ มากสุดก็คงรู้แค่ว่าข้าหาทางใช้ประโยชน์จากอำนาจของเขา แต่ไม่รู้ว่าด้านไหน ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำหน้าตาแบบนั้นหรอก
คิดได้เช่นนั้น จินตั้วหมิงก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เขายิ้มอย่างเป็นมิตรให้หวังเป่าเล่อ ทั้งสองมองตากัน ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปนครหลักดาวอังคารด้วยกัน
เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ ทั้งสองบอกรายละเอียดแค่กับกงเต๋าและหลินเทียนหาวเพื่อให้พวกเขาได้เตรียมพร้อม แต่ไม่ได้บอกหลี่หว่านเอ๋อร์ จากนั้นก็เดินทางออกจากนครไปในช่วงบ่าย
หลี่หว่านเอ๋อร์เหมือนจะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อออกจากนครไป ทั่วทั้งนคร นอกจากหลินเทียนหาวและผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจำนวนหนึ่งแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้
แต่เจ้าลารู้ ทันทีที่หวังเป่าเล่อออกจากนครไป เจ้าลาที่แอบอยู่หัวมุมถนนกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมอย่างแนบเนียนราวกับเป็นกิ้งก่าพลันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันพ่นลมฮึดฮัดออกทางจมูก แกว่งหางไปมา มองบ้านหลังตรงหน้าที่ห่างไปไม่ไกลด้วยความเปรมปรีดิ์
เจ้าลามาถึงที่นี่หลังจากตามดมกลิ่นหาอาหารอยู่สองสามวัน มันสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายบางอย่างจึงไม่ได้บุ่มบ่ามทำอะไร ตั้งใจรอให้ถึงโอกาสเหมาะๆ เพื่อจะได้วิ่งเข้าไปกัดคำใหญ่แล้วค่อยวิ่งหนีไป
เจ้าลานอนจ้องชายหนุ่มชุดฟ้าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน เบื้องหน้าของเขามีผู้ฝึกตนวัยกลางคนสามคนกำลังนั่งคุกเข่าไม่ไหวติงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ชายหนุ่มชุดฟ้าหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ได้สนใจผู้ฝึกตนสามคนเบื้องหน้า เขาเคาะนิ้วชี้ลงบนเข่าราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด สักพักชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา
สหายวิญญาณเรือได้รับบาดเจ็บหนักจนเรียกสติสัมปชัญญะส่วนใหญ่กลับคืนมาไม่ได้ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เผยให้ได้รู้…มันบอกว่าสัมผัสกลิ่นอายของบุตรแห่งความมืดได้ ในนครใหม่ตอนนี้ คนที่เข้าเค้าที่สุดก็คือเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อ
น่าขันสิ้นดี สำนักแห่งความมืดล่มสลายไปนานแล้ว การต่อสู้ครั้งก่อนก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ไม่มีทางที่บุตรแห่งความมืดจะปรากฏขึ้นตอนนี้! เว้นเสียแต่สหายวิญญาณเรือจะมีจิตแน่วแน่เสียจนปลดปล่อยสำนักแห่งความมืดสู่ห้วงจักรวาลเพื่อรวบรวมวิญญาณและสร้างความรุ่งโรจน์ในอดีตให้หวนคืน!
แต่จะว่าไปวงแหวนปราณของนครนี้ก็น่าสนใจ มันสามารถรวบรวมปราณมืดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องคอยจับตาดูสถานะของหวังเป่าเล่อไว้ แต่การจะตรวจสอบให้แน่ใจก็กินพลังงานข้ามากโข อีกอย่างมีความเป็นไปได้สูงว่าหวังเป่าเล่อไม่น่าจะเป็นบุตรแห่งความมืด ดังนั้นตรวจสอบโดยตรงก็คงเปลืองแรงเปล่าๆ ชายชุดคลุมฟ้าคิดแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะผุดยิ้มแสนชั่วร้ายขึ้น
ไม่ว่าเขาจะเป็นบุตรแห่งความมืดหรือไม่ ข้าก็อยากดำเนินแผนการของข้าต่อ ตรวจสอบตอนที่เขารู้ตัวแล้วก็ยังไม่ถือว่าสายไป! ลึกๆ ในใจ ชายหนุ่มชุดฟ้าไม่เชื่อว่าจะมีบุตรแห่งความมืดหลงเหลืออยู่ในจักรวาลนี้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะดำเนินการตามแผนการแรกที่วางไว้หลังออกมาจากสุสาน ซึ่งเป็นแผนการที่เขาคิดไว้หลังจากศึกษานครใหม่อย่างละเอียด
นั่นก็คือ…แทรกแซงวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถรวบรวมปราณมืดได้!
หากทำสำเร็จ เขาก็จะใช้วงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่เข้าควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารได้เนื่องจากทั้งสองนั้นเชื่อมกันอยู่ และเขาก็จะมีอำนาจสูงสุดในการควบคุมอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารภายในนครใหม่นี้ นอกจากนี้มันยังมีประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงวิกฤติโดยที่คนอื่นไม่สามารถตรวจสอบได้
ขั้นตอนแรกของการแทรกแซงวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่คือการแทรกแซงผู้ฝึกตนในนครใหม่ เมื่อเข้าแทรกแซงได้สำเร็จก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากลักษณะพิเศษของอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารที่คอยสูบพลังจากผู้คนในนครใหม่ให้สูบพลังที่แทรกแซงเข้ามาแทน ยิ่งสูบไปเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีอัตราความสำเร็จเพิ่มมากขึ้น
นี่เป็นช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียวที่เขาพบหลังจากเฝ้าดูวงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่!
วิธีที่ดีและรวดเร็วมีสุดคือการสร้างเคล็ดวิชา จากนั้นก็รวบรวมผู้ติดตามและผู้ศรัทธา! ชายหนุ่มชุดฟ้ายกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันมองผู้ฝึกตนวัยกลางคนสีหน้าราบเรียบทั้งสามคนเบื้องหน้า
ทั้งสามคนเป็นต้นตอของการแทรกแซงที่เขาคัดเลือกมาเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเป็นคนกลุ่มแรกที่เขาเข้าควบคุมโดยตรง แต่ละคนมาจากเขตแดนและภูมิหลังที่ต่างกันออกไป
ขณะที่เขาจ้องมองอยู่นั้น ทั้งสามก็เหมือนจะรู้ตัวจึงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าแข็งทื่อเริ่มผ่อนคลายลง ไฟเร่าร้อนปะทุขึ้นภายในดวงตา
“จงใช้ตำแหน่งของเจ้าเผยแพร่เคล็ดวิชาที่ข้าสอนไป!”
“เคล็ดวิชาที่ข้าสอนไปมีชื่อเรียกว่าเคล็ดเวทอายุวัฒนะ!” ชายหนุ่มชุดฟ้ากล่าวอย่างใจเย็น ผู้ฝึกตนไฟแรงทั้งสามลุกยืนขึ้นก่อนจะกุมมือทำความเคารพ
“รับทราบขอรับ ท่านราชครู!”