หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 408 เปิดเผย!
ขณะที่หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงกำลังมองแมงกะพรุนสีดำไปพร้อมๆ กับฟังร่างมายาอธิบายด้วยเสียงนุ่มนวล ไกลออกไปในทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ ห่างจากดาวอังคารและดวงอาทิตย์ แมงกะพรุนสีดำตัวหนึ่งที่คล้ายคลึงกับตัวที่อยู่ในศูนย์วิจับกำลังท่องไปในห้วงอากาศอย่างรวดเร็ว
แมงกะพรุนสีดำตัวนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ใหญ่เกือบเท่าเรือบินอวกาศ หนวดมากมายของมันกวัดแกว่งไปมาขณะเคลื่อนตัวไปในอวกาศ ราวกับว่าจะทำให้เคลื่อนตัวได้รวดเร็วขึ้น มันดูเหมือนกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วกำลังเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่อง!
แมงกะพรุนสีดำตัวนี้คือธาราจอมตะกละที่ร่างมายาสาวพูดถึง!
แม้ตอนนี้แมงกะพรุนจะมีสีดำสนิทจนไม่สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในได้ แต่แท้จริงแล้วมีผู้ฝึกตนสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน!
ผู้ฝึกตนทั้งสามเป็นชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเชี่ยวชาญด้านการฆ่าสังหารที่มือเปื้อนเลือดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะชายที่มีตะขาบสีแดงเกาะอยู่บนใบหน้า ราวกับว่ามันผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของเขา ตะขาบบนใบหน้าขยับตัวเป็นพักๆ ส่งผลให้ชายผู้นั้นดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
พวกเขาแต่งกายต่างไปจากคนบนโลก ไม่ได้สวมชุดคลุม หากแต่เป็นเกราะลักษณะเหมือนเกล็ดดูมีอิทธิฤทธิ์บางอย่างแฝงอยู่ มีคลื่นพลังพวยพุ่งออกมาขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งสมาธิอยู่ ระรอกคลื่นเหล่านั้นถูกร่างของแมงกะพรุนปกปิดไว้ แต่จะสัมผัสได้อย่างชัดเจนเมื่ออยู่ภายใน และคลื่นพลังที่ว่านี้ก็รุนแรงพอที่จะกำราบผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในได้
ชายทั้งสาม…อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ ซึ่งมีพลังเหนือชั้นกว่าเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!
ทันใดนั้นแมงกะพรุนที่กำลังเปลี่ยนรูปร่างอยู่ก็หยุดนิ่ง และปลดปล่อยคลื่นพลังออกจากร่าง ทำลายสะเก็ดดาวหางในเส้นทางจนสลายกลายเป็นผุยผง
แมงกะพรุนไม่ได้สนใจสะเก็ดดาวหางที่มันทำลายไปแม้แต่น้อย มันหยุดนิ่งอยู่กลางทางช้างเผือกชั่วครู่ ลำตัวไม่ได้เป็นสีดำอีกต่อไป มันเปล่งแสงสว่างสุกใสเรืองรองออกมาขณะที่กำลังปรับทิศทางของหัว ราวกับว่ากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
ในที่สุดเมื่อมันเลือกเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปได้ แสงหลากสีจากลำตัวก็ยิ่งเจิดจ้ามากขึ้น ตอนนั้นเองชายหนุ่มทั้งสามที่นั่งสมาธิอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน เผยให้เห็นดวงตาที่มีสีแตกต่างจากคนบนโลก!
ดวงตาของพวกเขามีสีแดง และอาจเป็นเพราะสีของนัยน์ตา ที่ทำให้เมื่อทั้งสามคนลืมตา พลังอำมหิตรุนแรงก็พลันพวยพุ่งออกมา ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะหัวเราะขึ้น
“ใครจะไปคิดกันว่าจะมีร่องรอยอารยธรรมเหลืออยู่ที่นี่…”
“เราลองไปดูกันดีไหม” อีกคนพูดขึ้นตาม ทั้งสองหันมองชายอีกคนซึ่งก็คือผู้ฝึกตนที่มีตะขาบสีแดงเกาะอยู่บนในหน้า
ชายหน้าตะขาบมีดวงตาสีแดงเข้มกว่าอีกสองคน เขายกมือแตะตะขาบบนหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“ลองไปตรวจสอบดู หากไม่มีผู้ฝึกตนระดับสูงเลยสักคนก็จงทำลายทิ้งเสียแล้วชิงเอาต้นกำเนิดดารามา ถ้ามีผู้ฝึกตนระดับสูงให้ดูสถานการณ์ก่อนและค่อยพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไร!”
เมื่อเขาพูดจบ ชายอีกสองคนก็พยักหน้ารับ จากนั้นก็ปรับสภาพของแมงกะพรุนสีดำ ผ่านไปครู่หนึ่ง แมงกะพรุนสีดำที่หยุดนิ่งกลางอวกาศก็ออกทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จุดหมายปลายทางของมันคือ…ระบบสุริยะ!
ในเวลาเดียวกัน ณ ศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณบนดาวอังคาร หวังเป่าเล่อเลิกสนใจแมงกะพรุนสีดำในกำแพงโลหะ เขาหันมาสบตากับจินตั้วหมิง รู้สึกว่าพวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ของตนไปอีกขั้น
แม้จินตั้วหมิงจะคิดว่าตนนั้นแสนรอบรู้เพียงใดก็ยังต้องตกตะลึงกับทุกสิ่งที่ได้เห็นในศูนย์วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ ทั้งสองเดินตามหลังร่างมายาสาวเข้าไปในตัวศูนย์วิจัย
พวกเขาพบนักวิจัยแต่งกายในเครื่องแบบจำนวนมากระหว่างทาง เหล่านักวิจัยไม่ได้สนใจการมาของหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงสักเท่าใดนัก แต่ละคนวิ่งวุ่นไปทั่ว ราวกับมีงานให้ทำมือเป็นระวิงจนไม่มีเวลาสนใจสิ่งรอบข้าง
ร่างมายาทราบมาว่าชายหนุ่มทั้งสองมาที่ศูนย์วิจัยเพื่อเยี่ยมชมภายในและเข้าพบเจ้าผินฟาง จึงไม่ได้นำทางมุ่งหน้าไปที่ห้องวิจัยหมายเลขสามในทันที แต่พาทั้งคู่ชมรอบๆ ศูนย์เริ่มจากห้องวิจัยหมายเลขหนึ่ง
ไม่นานหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงก็มาถึงปลายทางเดินโลหะ เห็นพื้นที่ขนาดครึ่งหนึ่งของสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีผู้คนมากมายอยู่บริเวณนี้ อีกทั้งยังมีเครื่องมือชั้นยอดหลายชิ้นที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จักด้วย
ท่ามกลางข้าวของมากมาย สิ่งที่เตะตามากที่สุดคือตู้ผลึกแก้วขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบๆ ตู้นั้นโปร่งใส มีเส้นรอบวงขนาดเท่าๆ กับช่วงแขนของคนสิบคน ตู้ใสตั้งติดกับพื้นและเพดานด้านบน ในนั้นเต็มไปด้วยของเหลวใสที่ใช้แช่ศพน่าตาน่าสะพรึงกลัว หวังเป่าเล่อตื่นตกใจไม่น้อยเมื่อได้เห็น!
ศพแต่ละศพดูน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก ศพหนึ่งมีร่างกำยำแต่ไร้หัว บ้างก็มีตาตรงยอดอก มีปากตรงสะดือ มีหลายศพที่ครึ่งบนเป็นหญิงสาวแต่ครึ่งล่างเป็นงู!
มีแม้แต่มนุษย์เพลิงที่ลำตัวเป็นไฟแม้จะอยู่ในของเหลว รวมไปถึงสุนัขสามหัวตัวใหญ่ยักษ์
หวังเป่าเล่อเห็นกระทั่งมังกรมีปีก สิ่งมีชีวิตในตำนานของทวีปตะวันตก!
“นี่…นี่มัน…” หวังเป่าเล่อผุดคิดขึ้นว่าเขาอาจจะมาผิดที่ มือชี้ไปทางชายไร้หัว พลางหันมองตาค้างไปยังร่างมายาสาว
จินตั้วหมิงที่อยู่ข้างๆ ก็ตื่นตะลึงไปเช่นกัน แต่เขาเคยได้ยินเรื่องห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งมาบ้างจึงยังพอสำรวมท่าทีไว้ได้
“ห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งรู้จักกันในชื่อศูนย์วิจัยสิ่งมีชีวิตในตำนาน เป็นแหล่งศึกษาวิจัยสิ่งมีชีวิตตามตำนานที่ค้นพบบนโลก นอกจากนี้ยังมีการพยายามสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ขึ้นมาใหม่โดยใช้วิธีการเฉพาะของยุคกำเนิดวิญญาณ จะคิดว่าเป็นการชุบชีวิตก็ได้!
“มีแค่บางส่วนที่จัดวางไว้ที่นี่ โดยไม่ได้สุ่มคัดสรรจากหลายร้อยตัวของทางสหพันธรัฐ จริงๆ แล้วเราพบสัญญาณชีวิตของเทพในตำนานทุกตนที่อยู่ในนี้!”
หวังเป่าเล่อหายใจถี่ หัวใจเต้นระส่ำ ยังไม่ทันจะได้ชมรอบๆ จนทั่ว เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้เปิดโลกใบใหม่แล้ว อีกทั้งยังคิดว่าตนเริ่มล่วงรู้ความลับมากมายของทางสหพันธรัฐ!
หลังจากได้เห็นทุกอย่างที่นี่แล้ว ชายหนุ่มก็ตระหนักว่าสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับสหพันธรัฐเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น!
แม้หวังเป่าเล่อจะเคยคาดเดาอะไรคล้ายๆ กันนี้มาก่อน แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาตัวเองก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่ดี
ชายหนุ่มยังคงอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น แม้จะออกจากห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งมาแล้วก็ยังตัวสั่นจากความรู้สึกและอารมณ์ที่พวยพุ่งอยู่ภายในจนกระทั่งเดินไปถึงห้องวิจัยหมายเลขสองพร้อมจินตั้วหมิง
ทันทีที่ก้าวเข้าไป ความรู้สึกต่างๆ ก็พัดกระพือขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หากห้องวิจัยหมายเลขหนึ่งทำให้เขาได้พบสิ่งมีชีวิตในตำนานต่างๆ ห้องวิจัยหมายเลขสองก็ทำให้ชายหนุ่มได้เห็นความรุ่งเรืองของยุคกำเนิดวิญญาณ!
มีภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่ในห้อง!
ภูเขาลูกนั้นตั้งอยู่ใจกลางของห้องวิจัยหมายเลขสอง ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก สูงประมาณ 30 เมตร มีสีดำทั้งลูก ทว่าหากผู้ฝึกตนคนใดได้มาเห็น พลังปราณในกายของคนผู้นั้นจะพวยพุ่งออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับถูกดึงดูดอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงเองก็เผชิญกับประสบการณ์ดังกล่าวเช่นกัน พลังปราณในกายพวกเขาปั่นป่วนอย่างควบคุมไม่ได้ จนเกือบจะหลุดลอยออกจากร่างกายไป
หัวของทั้งสองตื้อไปด้วยความคิดมากมายจนแทบระเบิด โชคดีที่ห้องวิจัยหมายเลขสองถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ร่างมายาสาวคาดไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นางยกมือขึ้นโบก พลันหวังเป่าเล่อกับจินตั้วหมิงก็สัมผัสได้ถึงแรงกดต้านที่ช่วยคุมพลังปราณของพวกเขาไว้
ผ่านไปครู่หนึ่งทั้งคู่ก็ปรับสภาพได้ พวกเขาหายใจถี่รัว ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้พูดอะไร จินตั้วหมิงก็เอ่ยถามขึ้นอย่างรวดเร็ว
“หรือว่านี่จะเป็น…ต้นกำเนิดดารา”
“ต้นกำเนิดดาราหรือ” หวังเป่าเล่ออึ้งไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำนี้ ชายหนุ่มหันไปมองภูเขาเบื้องหน้า หัวใจเต้นระส่ำจากความตื่นตะลึง เขาหันไปมองร่างมายาสาวเพื่อรอฟังคำตอบ
“การมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณทำให้ไม่ใช่แค่มนุษย์แต่สิ่งมีชีวิตทุกประเภทสามารถฝึกพลังปราณได้ ดวงดาราเองก็เช่นกัน ดวงดาราแต่ละดวงถือเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่ง และสิ่งที่เรียกว่าต้นกำเนิดดาราก็คือแก่นของดวงดารา เป็นสิ่งล้ำค่าในดวงดาวแต่ละดวง!
“น่าเสียดายที่ยุคกำเนิดวิญญาณยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้มีต้นกำเนิดดาราที่เกิดจากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะไม่มากนัก ที่ท่านเห็นอยู่คือส่วนหนึ่งของต้นกำเนิดดาราของดาวอังคาร!”
ร่างมายาสาวอธิบาย หวังเป่าเล่อยังใจเต้นไม่หยุด เขาอยากจะพูดอะไรออกไป ทันใดนั้นก็ต้องตกใจเมื่อสัมผัสได้รางๆ ว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่ภายในต้นกำเนิดดารา!
“มีอย่างอื่นอยู่ในนั้นด้วยหรือ” หวังเป่าเล่อยกมือชี้ไปทางต้นกำเนิดดารา ก่อนหันไปมองร่างมายาสาว
จินตั้วหมิงนิ่งอึ้งไป เขาจับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ทว่าร่างมายาสาวกลับเหลือบมองหวังเป่าเล่ออยู่หลายครั้ง สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปในทันใด นางไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะสามารถมองทะลุเห็นสิ่งที่อยู่ภายในต้นกำเนิดดาราได้!