หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 417 รักษาอาการบาดเจ็บ...
ความหนาแน่นของปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึง มันเข้มข้นมากเสียจนหากเขาล่าช้าไปอีกนิดเดียว นางคงได้จากโลกนี้ไปเป็นแน่!
อาจไม่เหมาะนักหากจะเรียกนางว่าศพ เพราะนางจะกลายเป็นคนตายที่ยังมีชีวิต และเป็นไปได้ว่าจะถูกคนอื่นควบคุมโดยไม่อาจรักษาให้หายได้
ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเคร่งเครียดขึ้นมาในทันที เขาไม่เพียงต้องช่วยหลี่หว่านเอ๋อร์เท่านั้น แต่ยังต้องสืบหาต้นตอของเรื่องนี้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ต้องสืบให้รู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งคราวหรือเกิดอยู่บ่อยครั้ง และมันเป็นแผนการต่อเนื่องของผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่
ราวกับว่าความโกลาหลครั้งใหม่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ครั้งเดิมยังไม่ถูกสะสาง หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเพิ่มพลังเมล็ดดูดกลืนให้รุนแรงขึ้นอีก ทว่าแม้ชายหนุ่มจะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับการดูดกลืน แต่ปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นเข้มข้นเสียจนน่ากลัว สภาพร่างกายของนางอ่อนแอเสียจนไม่อาจทนต่อการดูดกลืนจากเมล็ดดูดกลืนเป็นระยะเวลานานๆ ได้
เพราะเหตุนี้การจะรักษานางภายในระยะเวลาอันสั้นจึงเป็นเรื่องเสี่ยงอย่างยิ่ง ทางเลือกเดียวคือต้องปล่อยให้นางฟื้นตัวหลังการดูดกลืนหนึ่งชุดและค่อยทำต่อในวันถัดไป เขาต้องทำเช่นนี้ไปอีกหลายวันเพื่อขจัดอันตรายในกายนางและฟื้นฟูรากฐานการฝึกตนของนางไปด้วย
แม้หวังเป่าเล่อไม่อาจขจัดปราณมืดทั้งหมดออกได้ในคราเดียว แต่เขาก็ช่วยกู้สติของนางให้กลับคืนมาได้ ผ่านไปห้านาทีหลังจากที่หวังเป่าเล่อใช้พลังดูดกลืนรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์ปกติ ร่างของหญิงสาวก็ขยับ ขนตาพริ้มเพราของนางสะบัดไหวเบาๆ ขณะที่นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
วินาทีที่หลี่หว่านเอ๋อร์ลืมตา นางก็เห็นหวังเป่าเล่อ ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันอย่างมาก และด้วยความที่หวังเป่าเล่อใจจดใจจ่ออยู่กับการช่วยชีวิตนาง เขาจึงไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นและวางตัวหลี่หว่านเอ๋อร์ไว้บนตัก
ดังนั้นเมื่อหญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าตัวนางและหวังเป่าเล่อใกล้ชิดกันเพียงใด นางจึงสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ภายนอกหญิงสาวจะดูปกติดี แต่นางก็ค่อยๆ ดึงตัวลุกขึ้นนั่งและถอยห่างออกไปนั่งอยู่ตรงข้ามกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเผยความยุ่งยากใจออกมาทางดวงตา
“เกิดสิ่งใดขึ้นกัน บอกข้าเร็ว” หวังเป่าเล่อจ้องหลี่หว่านเอ๋อร์เขม็ง พลางถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ชายหนุ่มไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจสิ่งอื่นในตอนนี้
หลี่หว่านเอ๋อร์หลุบสายตาลงต่ำเล็กน้อย นางใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะก้มลงมองร่างกายของตัวเองและเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
“ข้าต้องการทดลองเคล็ดเวทอายุวัฒนะ จึงฝึกมันด้วยตนเองอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็หยุด ทว่าข้ากลับสามารถบรรลุเคล็ดเวทได้อย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลบางประการ…”
“ข้าฝึกเคล็ดเวทนั้นอยู่เพียงสองวัน แต่กลับบรรลุถึงอีกขั้นหนึ่ง…” หลี่หว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อตนเอง
“อีกขั้นหนึ่งเช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อสับสน ชายหนุ่มไม่เคยฝึกเคล็ดเวทนี้ด้วยตนเอง เขาเพียงศึกษาจากบันทึกของคนอื่นเท่านั้น ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่คุ้นชินกับเคล็ดเวทนี้ ต่างจากหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ซึ่งฝึกมันด้วยตนเอง
“เคล็ดเวทอายุวัฒนะส่วนแรกเท่านั้นที่ได้รับความนิยม แต่หากฝึกจนถึงขั้นสูงแล้วก็เป็นไปได้ที่จะบรรลุไปถึงส่วนที่สอง แต่เคล็ดลับการฝึกตนสำหรับส่วนที่สองนั้นไม่เป็นที่ปรากฏ”
“ขณะเดียวกันเมื่อบรรลุถึงส่วนที่สองแล้ว ปราณมืดที่สร้างได้จะถูกซ่อนไว้ภายใน ไม่แสดงให้เห็นความผิดปกติใดๆ…” หลี่หว่านเอ๋อร์อธิบาย เมื่อได้ยินนางพูด หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ทำไมจึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าช่วยเจ้าช้าไปเพียงนาทีเดียว เจ้าคงไม่ได้มานั่งพูดอยู่เช่นนี้”
หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ตอบคำ
หวังเป่าเล่อจ้องหน้าหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ดื้อดึงก่อนจะทอดถอนใจใหญ่ แม้ว่านางจะไม่ได้ตอบคำ ชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าเพราะเหตุใด พวกเขาทั้งสองตอนนี้นอกจากจะห่างเหินกันแล้วยังถือว่าไม่ถูกกันด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยนิสัยของหลี่หว่านเอ๋อร์ นางย่อมไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากเขาเด็ดขาด และจะพยายามแก้ไขทุกอย่างด้วยตัวเอง
และความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่คิดขอความช่วยเหลือจากหวังเป่าเล่อ ทางหนึ่งนางคิดจะใช้ระดับปราณของตนยับยั้งสิ่งที่เกิดขึ้น และอีกทางหนึ่งนางก็อาจใช้วัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อทำขึ้นขจัดปราณมืดออกจากร่างด้วยตัวเอง
ทว่าหลังจากที่พยายามอยู่หลายวัน นอกจากนางจะทำไม่สำเร็จแล้ว สถานการณ์โดยรวมกลับย่ำแย่ลงอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนนี้ เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์พยายามจะขจัดปราณมืด นางกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังล่อลวงนางให้ตามไป!
ความรู้สึกนั้นไม่ชัดเจนนัก เหมือนกับนางเสียการควบคุมร่างกายตนเองไป แต่ด้วยความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาว ทำให้นางฝืนตัวเองไว้ได้ แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายตอนนี้ของตนเหมือนถุงใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำกรด น้ำกรดที่กัดเซาะอวัยวะภายในและส่งผลให้นางอ่อนกำลังลงอย่างมาก ขณะเดียวกัน หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้เองได้ ในภาวะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนั้น นางจึงไม่เหลือทางเลือกนอกจากขอความช่วยเหลือจากหวังเป่าเล่อ
ด้วยความที่นางเป็นคนดื้อดึง การขอความช่วยเหลือจึงทำได้ยากยิ่ง หลี่หว่านเอ๋อร์รู้สึกอับอายที่จะตอบคำถามของหวังเป่าเล่อ นางจึงนิ่งเงียบเสีย ทว่านางก็รู้ขีดจำกัดของตนเอง จึงตัดสินใจยอมปริปากหลังจากที่เงียบมาระยะหนึ่ง
“ก่อนที่ข้าหมดสติไปนั้น ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังล่อลวงข้า ตอนที่ข้ายังมีสติอยู่ ข้าส่งคนไปยังสถานที่ที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นมา แต่ข้ารู้ทิศทางเพียงเลาๆ เท่านั้น และไม่แน่ใจว่าคนของข้าหาที่นั่นพบหรือไม่”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนั้น เจ้ารักษาตัวให้หายก่อนเถิด” หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้ฟังรายละเอียด เขาก็จัดแจงส่งคำสั่งผ่านแหวนสื่อสาร ก่อนจะหันกลับมามองหลี่หว่านเอ๋อร์อีกครั้ง
“เจ้าบาดเจ็บหนัก ข้าไม่สามารถรักษาเจ้าได้ภายในวันเดียว คงต้องใช้เวลาราวครึ่งเดือน เอาละ มาต่อกันเถอะ”
“…ขอบคุณ” หลี่หว่านเอ๋อร์ก้มหน้าลงและพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
หวังเป่าเล่อเริ่มต้นรักษาต่อไป ก่อนหน้านี้หลี่หว่านเอ๋อร์มีอาการสาหัสแถมยังไม่ได้สติและไม่รู้สึกสิ่งใดเลย กลับกันตอนนี้นางรู้สึกตื่นตัว หญิงสาวหน้าแดง แถมร่างกายยังสั่นเทา หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน
ปราณมืดนั้นไม่เพียงปะปนอยู่ในร่างของนางเท่านั้น แต่ยังหลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน หวังเป่าเล่อจำต้องสัมผัสทุกส่วนบนกายของหลี่หว่านเอ๋อร์ เพื่อให้การรักษานั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพื่อให้เมล็ดดูดกลืนกำจัดปราณมืดออกจากเลือดเนื้อของนางด้วย…
การสัมผัสนั้นจำกัดอยู่บนเสื้อผ้า แต่ไม่ช้า ภายใต้ความเงียบสงบในห้องลับ ลมหายใจอันถี่เร็วที่หลี่หว่านเอ๋อร์พยายามข่มไว้ก็ดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็อดใจเต้นรัวไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทั้งสองต้องห่มอุ่นไอของกันและกันในถ้ำของผู้ฝึกตนนอกรีตครานั้น
ขณะนี้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งกว่า เพราะอย่างไรเสีย ในถ้ำของผู้ฝึกตนนอกรีตคราก่อนก็มืดสนิท ทว่าในห้องลับของหวังเป่าเล่อนั้นสว่างไสว…
เมื่อเห็นหลี่หว่านเอ๋อร์หลับตาลงและร่างกายสั่นเทา หวังเป่าเล่อก็กะพริบตาปริบเพราะหัวใจเต้นระรัว ความคิดสกปรกผุดขึ้นมาในใจอย่างควบคุมไม่อยู่…
หลี่หว่านเอ๋อร์ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงลืมตาขึ้นมาอย่างฉับพลัน นางกัดริมฝีปาก พลางจ้องมองมาทางหวังเป่าเล่ออย่างบูดบึ้ง
“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”
“เงียบนะ! ห้ามพูดระหว่างการรักษา” หวังเป่าเล่อจ้องนางเขม็ง ก่อนจะตบลงไปที่สะโพกของนางเต็มแรง ชายหนุ่มรู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นของมัน
เมื่อถูกหวังเป่าเล่อตีและดุ หลี่หว่านเอ๋อร์ผู้ที่คิดจะเตือนอีกฝ่ายไม่ให้ฉวยโอกาสก็ถึงกับตกตะลึง ขณะที่นางยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่นั้น หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ก่อนยกมือขึ้นโบกและดับไฟในห้องลับจนมืดสนิท
“ข้าหวังว่ามันจะช่วยให้เจ้าสงบจิตใจลงได้บ้าง ข้ากำลังพยายามรักษาเจ้าอยู่นะ!” หวังเป่าเล่อเป็นคนหน้าทน แม้ว่าหัวใจเขาจะเต้นแรงและในศีรษะเต็มไปด้วยความคิดอกุศล เขาก็ยังคงสีหน้าขึงขังเอาไว้แม้ว่าแสงไฟจะมืดดับไปแล้วก็ตาม
อาจเป็นเพราะความมืดหรือความตกใจที่นางได้รับจากหวังเป่าเล่อก็ไม่ทราบได้ แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ตัดสินใจที่จะเงียบเฉยเสีย แม้ว่าลมหายใจของนางจะถี่ขึ้น นางก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกไป ราวกับว่าทำใจให้สงบลงได้ในระดับหนึ่ง…
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเป็นสุภาพบุรุษผู้มั่นคงในคุณธรรม เขายังคงตั้งหน้าตั้งตารักษานางต่อไปอย่างเจาะลึกทุกรายละเอียด และเพราะขั้นตอนการรักษานั้นใช้เวลาอยู่สักหน่อย ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าตนนั้นจริงจังและมีความรับผิดชอบ เขารักษาหลี่หว่านเอ๋อร์โดยการสัมผัสไปทั่วกายนางต่อไปอีกราวหนึ่งชั่วโมง
ระหว่างที่หวังเป่าเล่อรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์อยู่นั้น ผู้ฝึกตนที่พวกเขาส่งไปก็ค้นจนทั่วบริเวณที่ถูกสั่งมา แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเพิ่มเติม
ทว่าอีกด้านหนึ่ง ในเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ ในสถานที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีผู้คนนับพันยืนนิ่ง สีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีปราณมืดหลั่งไหลออกมาจากกายของพวกเขา แต่หากหวังเป่าเล่ออยู่ที่นั่นและสัมผัสร่างของพวกเขาเพื่อสำรวจเข้าไปภายใน ชายหนุ่มจะรู้ได้ทันทีว่าทุกคนในที่นี้เป็นเช่นหลี่หว่านเอ๋อร์ พวกเขามีปราณมืดอยู่ในร่างมากมายจนราวกับเป็นระเบิดปราณมืดก็ไม่ปาน!
บนพื้นเบื้องหน้าพวกเขามีรอยวาดวงแหวนปราณขนาดใหญ่ ชายในชุดคลุมสีดำที่ยืนอยู่ข้างๆ วงแหวนพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“มาเริ่มกันเลย!”
วินาทีที่เขาพูดออกมา ผู้คนไร้อารมณ์นับพันก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน สายตาว่างเปล่าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง แต่ละคนค่อยๆ ก้าวเข้าไปบนวงแหวนปราณอย่างช้าๆ วงแหวนปราณดูดกลืนร่างของพวกเขาจนเหลือเพียงความว่างเปล่า…
เมื่อผู้คนนับพันหายตัวเข้าไปในวงแหวนปราณหมดแล้ว แสงสีน้ำเงินก็ส่องเรืองขึ้นมาตรงใจกลางของวงแหวนปราณ
เมื่อมองดูใกล้ๆ แสงเรืองเรื่อนั้นดูเหมือนเมล็ด!
ชายในชุดคลุมสีดำหยิบเมล็ดขึ้นมาพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ เขาดูผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยังยิ้มออกมาได้
ช่างน่าเสียดายที่มีเวลาไม่มากนัก ข้าจึงสร้างได้เพียงเท่านี้ แต่ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำลายบุตรแห่งความมืดได้…
ขั้นต่อไปก็แค่ หาบุคคลผู้เต็มใจยอมปฏิบัติภารกิจนี้…