หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 419.1 หลายคนในหลายใต้หล้า
คงเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความไม่คงที่ของสภาพจิตใจเฉินผิงอัน
เหมาเสี่ยวตงจึงไม่ได้เรียกเฉินผิงอันมาที่ห้องหนังสือ แต่เลือกช่วงเวลากลางดึกที่เงียบสงัดไร้ผู้คนพาเฉินผิงอันไปเดินเที่ยวทั่วสำนักศึกษา
เดินเล่นพลางพูดคุยกันไป เหมาเสี่ยวตงมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวยามอยู่ร่วมกับผู้อื่นหรือยามที่สอนหนังสืออบรมผู้คน เขาจะรักษากฎข้อหนึ่งเอาไว้ ข้าสอนความรู้ที่มีในตำราให้แก่เจ้า พูดถึงหลักการเหตุผลของตัวเอง จะเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาก็ดีหรือเฉินผิงอันศิษย์น้องเล็กก็ช่าง พวกเจ้าลองฟังดูก่อน ถือซะว่าเป็นคำแนะนำอย่างหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสมกับเจ้า แต่อย่างน้อยพวกเจ้าก็สามารถอาศัยสิ่งนี้มาเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลมากขึ้น
เฉินผิงอันกับเหมาเสี่ยวตงเดินผ่านโถงนักปราชญ์ที่แขวนภาพอริยะทั้งสามท่านเอาไว้ เดินผ่านหอเก็บตำราที่มีแสงตะเกียงสว่างไสวราวแสงดาว เดินผ่านหอพักที่มีเสียงกรนหรือไม่ก็เสียงพึมพำของคนละเมอดังลอยมา
สุดท้ายคนทั้งสองก็เดินมาถึงบนยอดเขา ก้มหน้ามองทัศนียภาพยามค่ำคืนของเมืองหลวงต้าสุยไปพร้อมกัน
แถบของคนมีเงิน แสงไฟสว่างไสวเรืองรองติดกันเป็นแถบ แม้จะอยู่ห่างขนาดนี้ก็ราวกับว่ายังสามารถได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะเคล้าเสียงดนตรีบรรเลงของที่แห่งนั้นได้
แถบของคนอยากจนก็มีแสงจันทร์เคียงข้าง แล้วก็มีกลิ่นของอาหารลอยโชยมา
เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “เจ้าขุนเขาเหมา ข้าคิดได้แล้ว หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าชิ้น รวบรวมให้ครบห้าธาตุก็เพื่อสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ แต่ข้ายังอยากจะฝึกหมัดให้ดีมากกว่า ถึงอย่างไรการฝึกหมัดก็คือการฝึกกระบี่ ส่วนข้อที่ว่าจะสามารถบ่มเพาะให้เกิดกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้หรือไม่ ข้ายังไม่ไปคิดถึงมัน ดังนั้นต่อไปนี้ นอกจากช่องโพรงสำคัญที่น่าจะเหมาะกับการวางวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุแล้ว ข้าก็ยังจะต้องหล่อเลี้ยงปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ที่บริสุทธิ์ในร่างขุมนั้นให้เต็มที่ที่สุด”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “วางแผนทำเช่นนี้ ข้าคิดว่าเป็นไปได้ ส่วนสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะดีหรือร้าย อย่าเพิ่งไปถามหาผลเก็บเกี่ยว แค่ลงมือเพาะปลูกไปก่อนจะดีกว่า”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงไม่ได้พูดอย่างแจ่มแจ้ง การที่เขายอมรับในการกระทำนี้ของเฉินผิงอันเป็นเพราะการที่เฉินผิงอันแค่บุกเบิกเปิดจวนห้าแห่ง แล้วประคองสองมือมอบอาณาเขตที่เหลือให้กับปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธ อันที่จริงไม่ใช่เส้นทางสายขาด
เดิมทีในร่างของมนุษย์ก็คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งอยู่แล้ว แล้วก็มีคำเรียกว่าถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลด้วยเช่นกัน ต่ำกว่าโอสถทองลงไป ช่องโพรงลมปราณทั้งหมด ไม่ว่าเจ้าจะบุกเบิกขัดเกลาได้ดีแค่ไหนก็อยู่แค่ในขอบเขตของพื้นที่มงคลเท่านั้น เมื่อสร้างโอสถทองได้สำเร็จถึงจะสามารถสัมผัสกับความลี้ลับมหัศจรรย์ของถ้ำสวรรค์ได้ในชั้นต้น ตำราลัทธิเต๋าบางเล่มมีการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ไว้อย่างชัดเจนนานแล้วว่า ‘ถ้ำโพรงในภูเขา ทอดยาวสู่ฟากฟ้า เชื่อมโยงภูผามากมาย ขานรับกันอยู่ไกลๆ ฟ้าดินร่วมปราณ ผสานรวมเป็นหนึ่ง’
ผู้ที่สร้างโอสถทองจึงจะเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า
การที่ประโยคนี้ได้รับความนิยมไปทั่วหล้า ถูกผู้ฝึกลมปราณทุกคนยกย่องให้เป็นประโยคมาตรฐาน แน่นอนว่าต้องมีต้นสายปลายเหตุของมัน
เหมาเสี่ยวตงไม่พูด เพราะขอแค่เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าทีละก้าว สักวันหนึ่งก็จะต้องเดินไปถึงก้าวนั้น พูดไว้แต่เนิ่นๆ ทำให้ความปรารถนาที่งดงามผุดออกมากะทันหัน กลับอาจจะสั่นคลอนสภาพจิตใจที่กว่าจะสงบนิ่งมั่นคงได้ไม่ใช่ง่ายๆ ของเฉินผิงอันในเวลานี้
การถ่ายทอดวิชาความรู้ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย จะไม่รอบคอบแล้วรอบคอบอีกได้อย่างไร การแกะสลักหยกงามก็ยิ่งต้องค่อยๆ ใช้มีดงัดแกะสิ่งเจือปนออก เก็บไว้เพียงแต่แก่นแท้ที่งดงาม ต้องห้ามทำลายเส้นเอ็น กระดูกและจิตวิญญาณของหยกก้อนนั้น เรื่องที่ยากถึงเพียงนี้จะกล้าไม่ขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร?
ถอยไปพูดหนึ่งก้าว เฉินผิงอันเองก็ปฏิบัติกับแม่นางน้อยที่ชื่อว่าเผยเฉียนแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าตอนนี้ตัวเฉินผิงอันเองอาจจะยังไม่รู้ก็เท่านั้น
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเบาๆ “เกี่ยวกับประโยคที่อาจารย์กล่าวว่ามนุษย์นั้นเดิมทีมีสันดานชั่วร้าย ลูกศิษย์ในสำนักอย่างพวกเราต่างคนต่างก็เข้าใจไปแตกต่างกันมาตั้งนานแล้ว บางคนเงียบหายไปพร้อมกับอาจารย์ ปฏิเสธตัวเอง เปลี่ยนแปลงความคิดและท่าที บางคนก็ล้มแล้วไม่อาจลุกขึ้นมาเดินได้อีก เกิดความสงสัยในตัวเอง บางคนใช้สิ่งนี้มาสร้างชื่อเสียง ยกยอว่าตนพิเศษไม่เหมือนใคร กล่าวว่าจะเดินทวนกระแสสถานการณ์ใหญ่ ไม่ยอมร่วมกระทำความชั่วเด็ดขาด จะสืบทอดสายบุ๋นของอาจารย์พวกเราต่อไป เรื่องราวมากมายหลากหลาย จิตใจคนแปรเปลี่ยนได้ง่าย ภายในของสายบุ๋นที่แทบจะขาดสะบั้นของพวกเราก็ยิ่งมีภาพความวุ่นวายที่เกิดจากต่างคนต่างความคิด สายบุ๋นของพวกหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้าอย่างจริงแท้แน่นอน แล้วลองจินตนาการดูสิว่าภายในของพวกเขาจะซับซ้อนแค่ไหน”
เหมาเสี่ยวตงตบไหล่เฉินผิงอันเบาๆ “ภาระหนักหนาและหนทางก็ยิ่งยาวไกลนี่นะ”
เฉินผิงอันยิ้มขื่น “แต่ไหล่มีสองข้าง”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อย่างข้านี่เรียกว่ามองคนแบกหาบไม่เปลืองแรง มองคลื่นอยู่บนฝั่งรังเกียจว่าน้ำน้อยไป”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ ครึ่งประโยคแรกคือคำกล่าวโบร่ำโบราณของบ้านเกิดเขาเอง
……
คืนนี้เผยเฉียนกับหลี่ไหวสองคนหลบอยู่นอกเรือนหลังเล็ก คนทั้งสองนัดหมายกันไว้แล้วว่าจะโพกผ้าดำแสร้งทำเป็นนักฆ่า แอบไป ‘ลอบฆ่า’ ชุยตงซานที่ชอบนอนอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต
อ่านนิยายยุทธภพไปตั้งมากมายขนาดนั้น จะให้เสียเปล่าไม่ได้ ต้องเรียนแล้วนำมาใช้จริง!
เผยเฉียนเอากระบี่ไม้ไผ่ให้หลี่ไหวยืมอย่างใจกว้าง
คนทั้งสองปรึกษากันที่หอพักของหลี่ไหวมาแล้วหนึ่งรอบ รู้สึกว่าจะเดินเข้าไปทางประตูของเรือนพักไม่ได้ แต่ต้องปีนกำแพงเข้าไป ไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่อาจแสดงให้เห็นถึงมาดของยอดฝีมือและความอันตรายในยุทธภพได้
หลิวกวานกับหม่าเหลียนสองคนอยากจะเข้าร่วมด้วย ทำหน้าที่เป็นทหารทัพหน้าให้แก่องค์หญิงอย่างเผยเฉียน แต่น่าเสียดายที่เผยเฉียนใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุผลทรงพลังปฏิเสธอย่างเด็ดขาด บอกว่าพวกเขาเป็นแค่จอมยุทธเด็กน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้าง ฝีมือไม่ยอดเยี่ยมมากพอ สังหารปีศาจใหญ่ไม่ได้ก็ได้แต่พาตัวไปตายเท่านั้น
คนทั้งสองมาหยุดอยู่บนทางสายเล็กที่เงียบสงบนอกเรือนหลังเล็ก ยังคงใช้วิธีค้ำถ่อเหมือนก่อนหน้านั้น เผยเฉียนกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงก่อน จากนั้นจึงโยนไม้เท้าเดินป่าที่สร้างคุณความชอบใหญ่หลวงในมือให้กับหลี่ไหวที่ยืนมองตาปริบๆ อยู่ด้านล่าง
หลี่ไหวกระโดดขึ้นบนกำแพงได้อย่างไม่มีผิดพลาด เผยเฉียนมองมาด้วยสายตาชื่นชม หลี่ไหวจึงยืดอดตั้ง ลูบเส้นผมเลียนแบบคนบางคน
เพียงแต่ว่าตอนที่คนทั้งสองพลิ้วกายลงบนพื้น เผยเฉียนประหนึ่งแมวตัวเบาไร้เสียง แต่หลี่ไหวกลับร่วงลงมาดังตุ้บเสียงไม่เบา
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หลี่ไหว เจ้าทำอะไรน่ะ เสียงดังขนาดนี้ คิดจะตีฆ้องลั่นกลองหรือไงกัน? แบบนั้นเขาเอาไว้ใช้ในสนามรบ ไม่ใช่เอามาลอบฆ่าปีศาจใหญ่อย่างลับๆ ในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ เอาใหม่!”
หลี่ไหวรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดจึงไม่ตอบโต้ เพียงถามเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะออกจากเรือนไปข้างนอกอย่างไร?”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เดินออกทางประตูใหญ่สิ ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็ล้มเหลวไปแล้ว”
คนทั้งสองเดินออกไปจากประตูเรือนที่เดิมทีก็ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ ไปหยุดอยู่บนทางสายเล็กนอกกำแพงเรือนอีกครั้ง
ชุยตงซานที่นอนอยู่ในระเบียงเหลือกตามองบน
เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ พูดท่องประโยคโหมโรงว่า “ข้าคือชาวยุทธที่อำมหิตเลือดเย็นคนหนึ่ง”
หลี่ไหวเลียนแบบทันที “ข้าคือนักฆ่าไร้ความเมตตา ข้าฆ่าคนตาไม่กะพริบ ข้าสร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในยุทธภพ…”
เผยเฉียนไม่พอใจเท่าไหร่ “พูดมากขนาดนี้ทำไม กลับจะทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลง เจ้าเห็นจอมยุทธที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในหนังสือไหม ฉายาของพวกเขามากสุดก็แค่สี่ห้าคำ มากเกินไป มันเข้าท่างั้นรึ?”
หลี่ไหวรู้สึกว่ามีเหตุผล แสร้งทำเป็นว่าตัวเองสวมงอบอยู่บนศีรษะ จึงยื่นมือไปจับประคองงอบเลียนแบบคนบางคน มือหนึ่งประคองจับกระบี่ไม้ไผ่ที่รัดไว้ตรงเอว “ข้าคือนักฆ่าและมือกระบี่ที่ไร้เมตตาปราณี”
คนทั้งสองทยอยกันกระโดดขึ้นไปบนหลังคา คราวนี้ตอนที่พลิ้วกายลงพื้น ทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้ทำพลาด
จากนั้นเผยเฉียนและหลี่ไหวก็ม้วนตัวตีหลังกาอยู่ในลานบ้านตามหลังกันไป
นี่เป็นขั้นตอนที่คนทั้งสอง ‘วางแผนกันมานานแล้ว’ ไม่อย่างนั้นหากอยู่ดีๆ วิ่งพรวดไปบนบันได จ้วงดาบแทงกระบี่ใส่ชุยตงซาน ทั้งสองคนก็รู้สึกว่าจืดชืดไร้รสชาติเกินไปหน่อย
หลังจากยืดตัวขึ้นแล้ว คนทั้งสองก็เดินย่องไปที่บันได ต่างคนต่างยื่นมือมากุมกระบี่ไม้ไผ่และดาบไม้ไผ่ เผยเฉียนกำลังจะชักดาบฟัน ‘ปีศาจใหญ่’ ที่ชื่อเสียงชั่วช้ากระฉ่อนไปทั่วยุทธภพ หลี่ไหวดันโพล่งขึ้นมาเสียก่อนว่า “เจ้าปีศาจตายซะเถอะ!”
เผยเฉียนหยุดเท้ากึก หันหน้ามาถลึงตาใส่หลี่ไหวอย่างโกรธเคือง หลี่ไหวอึ้งงันอยู่กับที่ทันที “อะไร?”
เผยเฉียนถาม “เจ้าเป็นนักฆ่าที่ไปมาไม่ทิ้งร่องรอยไม่ใช่หรือ ก่อนฆ่าคนนักฆ่าจะต้องตะโกนโหวกเหวกทำไม?”
หลี่ไหวพลันกระจ่างแจ้ง
เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งที “ต้องเอาใหม่อีกรอบแล้ว!”
หลี่ไหวพูดขอโทษไม่หยุด
คนทั้งสองไม่เห็น ‘ปีศาจ’ ตนนั้นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
คนทั้งสองวิ่งไปที่หน้าประตูเรือนอีกครั้ง
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างระอาใจว่า “ปีศาจใหญ่ที่รอความตายอย่างข้าเหนื่อยกว่าพวกเจ้าแล้วนะ”
ออกจากเรือนมา เผยเฉียนก็เอ่ยสั่งสอนทันที “หลี่ไหว หากเจ้ายังทำตัวเหลวไหลอีก วันหน้าข้าจะไม่พาเจ้าออกไปท่องยุทธภพด้วยกันแล้ว”
หลี่ไหวพูดรับรอง “จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว!”
เผยเฉียนพลันถามว่า “ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ตำแหน่งในพรรคสู้เจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากสร้างคุณความชอบที่โด่งดังไปทั้งยุทธภพครั้งนี้แล้ว เจ้าว่าพี่หญิงเป่าผิงจะเลื่อนขั้นให้ข้าเป็นหัวหน้าสาขาน้อยหรือไม่?”
หลี่ไหวพยักหน้ารับ “ต้องได้แน่นอน! หากหลี่เป่าผิงให้รางวัลและลงโทษไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถยกตำแหน่งหัวหน้าสาขาให้เจ้าได้ ข้าเป็นรองหัวหน้าก็พอแล้ว”
เผยเฉียนพูดเหมือนคนแก่ “คิดไม่ถึงว่าหลี่ไหวเจ้าฝีมือธรรมดา แต่กลับเป็นจอมยุทธผู้มีคุณธรรมอย่างแท้จริง”
หลี่ไหวโต้กลับ “นักฆ่า มือกระบี่!”
ผลคือศีรษะของทั้งสองคนต้องกินมะเหงกกันไปคนละลูก “ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีก มาทำอะไรกันอยู่ที่นี่?”
พอเผยเฉียนเห็นเฉินผิงอันก็กระทืบเท้าหลี่ไหวทันที หลี่ไหวพูดอย่างห้าวเหิมว่า “ข้าเป็นคนชวนเผยเฉียนให้มาขจัดภัยร้ายเพื่อปวงประชา สังหารพญามารชุยตงซานร่วมกับข้าเองล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาล่ะ ยกพญามารให้จอมยุทธใหญ่ผู้มีวิชายุทธล้ำเลิศจัดการเถอะ ตอนนี้ความสามารถของพวกเจ้าสองคนยังไม่มากพอ ไว้ค่อยว่ากัน”
เผยเฉียนเอากระบี่ไม้ไผ่คืนมาจากหลี่ไหวแล้วไปนอนในห้องด้านข้าง ก่อนหน้านี้นางล้วนนอนอยู่ในหอพักของหลี่เป่าผิง เพียงแต่วันนี้เป็นข้อยกเว้น
เฉินผิงอันพาหลี่ไหวกลับไปที่หอพัก
เจอกับอาจารย์ของสำนักศึกษาคนหนึ่งที่ลาดตระเวนยามดึก บังเอิญเป็นคนคุ้นเคยพอดี เขาก็คือคนเฝ้าประตูแซ่เหลียงผู้นั้น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดไร้แซ่ไร้นาม เฉินผิงอันจึงหาข้ออ้างที่จะช่วยหลบเลี่ยงการถูกลงโทษให้แทนหลี่ไหว
อาจารย์ผู้เฒ่าพูดง่าย ไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย กลับกันยังรั้งตัวเฉินผิงอันไว้พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง
หลี่ไหวรู้สึกมีหน้ามีตาอย่างมาก ใจนึกอยากจะให้คนทั้งสำนักศึกษาได้มาเห็นภาพนี้ แล้วก็อิจฉาที่เขามีเพื่อนเช่นนี้
เฉินผิงอันบอกลากับอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วก็ลูบศีรษะหลี่ไหว พูดประโยคหนึ่งที่ตอนนั้นหลี่ไหวฟังไม่เข้าใจ “เรื่องแบบนี้ข้าทำได้ แต่เจ้าต้องห้ามคิดว่าสามารถทำได้บ่อยๆ”
หลี่ไหวกล่าว “วางใจเถอะ วันหน้าข้าจะต้องตั้งใจเรียนแน่”
เฉินผิงอันพูดต่อว่า “เรียนหนังสือได้ดีหรือไม่ ฉลาดหรือไม่ นี่คือเรื่องหนึ่ง ท่าทีที่มีต่อการเรียน โดยภาพรวมแล้วสำคัญกว่าผลสำเร็จของการเรียนหนังสือเสียอีก นี่ก็คืออีกเรื่องหนึ่ง บนเส้นทางของชีวิตคน เห็นได้ชัดว่าผลกระทบที่มีต่อคนนั้นยาวไกลมากกว่า ดังนั้นตอนที่อายุยังน้อยจึงต้องตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย วันหน้าต่อให้ไม่เรียนแล้ว ไม่คบค้าสมาคมกับตำราของอริยะปราชญ์แล้ว รอให้เจ้าไปทำเรื่องอื่นที่เจ้าชื่นชอบ เจ้าก็ยังจะตั้งใจทำเพราะความเคยชินอยู่ดี”
หลี่ไหวคล้ายจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันเดินพลางวาดเส้นเส้นหนึ่งเบื้องหน้าตัวเองอย่างง่ายๆ “ยกตัวอย่างเช่น นี่คือเส้นหนึ่งบนเส้นทางชีวิตของพวกเราทุกคน ความเป็นไปเป็นมา สภาพจิตใจ นิสัย หลักการเหตุผล ความรู้ทั้งหมดของพวกเรา ล้วนจะขยับเข้ามาใกล้เส้นนี้โดยที่เราไม่อาจบังคับได้ นอกจากอาจารย์ของสำนักศึกษาแล้ว คนส่วนใหญ่ย่อมต้องมีวันหนึ่งที่หากมองภายนอกจะเห็นว่ายิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลไปจากการเรียนหนังสือ ไกลจากตำราและหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์มากขึ้นทุกที แต่สำหรับท่าทีหรือขั้นตอนต่างๆ ที่พวกเรามีต่อการใช้ชีวิตกลับดำรงอยู่บนเส้นนี้มานานแล้ว ชีวิตในภายภาคหน้าก็จะยังเดินหน้าไปตามเส้นทางนี้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่อิทธิพลที่เส้นนี้มีต่อพวกเราจะติดตามพวกเราไปตลอดชีวิต”
จากนั้นเฉินผิงอันก็วาดวงกลมวงหนึ่งล้อมปลายด้านหน้าของเส้นนั้น “ทางที่ข้าเดินผ่านมาค่อนข้างไกล ได้รู้จักกับคนมากมาย แล้วก็เข้าใจนิสัยเจ้าดี ดังนั้นข้าจึงสามารถพูดขอร้องอาจารย์ผู้เฒ่าให้ไม่ลงโทษเจ้ากับการที่เจ้าไม่รักษากฎห้ามเข้าออกยามวิกาลในคืนนี้ แต่ตัวเจ้าเองกลับพูดไม่ได้ เพราะอิสระของเจ้าในเวลานี้…มีน้อยกว่าข้ามาก เจ้ายังไม่สามารถไปงัดข้อกับ ‘กฎเกณฑ์’ ได้ เพราะเจ้ายังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง”
หลี่ไหวจ้องเฉินผิงอันตาค้าง แล้วจู่ๆ ก็หน้าม่อยหม่นหมอง “ข้าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะจดจำไว้ได้แล้ว เฉินผิงอัน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าจะไปจากสำนักศึกษาแล้วล่ะ? ฟังแล้วเหมือนคำสั่งเสียก่อนตายเลยนะ?”
คนทั้งสองเดินมาใกล้ถึงหอพักของหลี่ไหวแล้ว เฉินผิงอันถีบเข้าที่ก้นหลี่ไหวหนึ่งที พูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ ว่า “ไสหัวไปเลย”
หลี่ไหวลูบก้นเดินตรงไปยังประตูหอพัก แล้วจึงหันหน้ากลับมามอง
เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่ที่เดิม โบกมือให้เขา
มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ
—–