หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 420 สะบั้นความสัมพันธ์
“น่าสนใจ…” เมื่อเห็นว่าอดีตผู้ช่วยของเขาจู่ๆ ก็กลายเป็นเหมือนคนละคน แถมยังพูดจาอย่างใจเย็นและมั่นใจ เฉินมู่ก็หรี่ตาลงช้าๆ
ในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน เขาจึงคุ้นเคยกับความรู้เรื่องการฝึกตนมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นสิ่งหนึ่งที่สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าไม่อาจสอนได้ เพราะอย่างไรเสีย สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็ต้องดูแลศิษย์จำนวนมาก ในขณะที่ตระกูลเฉินแห่งตระกูลนภาห้าสมัยนั้นทุ่มเทความสนใจให้กับการเลี้ยงดูบุตรหลานของตนเท่านั้น
ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวลือสะพัดออกไปว่า ตระกูลนภาห้าสมัยเคยขึ้นไปถึงกระบี่สำริดเขียวโบราณและนำเคล็ดวิชาฝึกตนลึกลับกลับมาด้วย ไม่มีใครรู้ว่าข่าวลือนั้นเป็นจริงมากน้อยเพียงใด เฉินมู่เองก็ไม่รู้เช่นกัน อย่างไรก็ดี เขารู้ดีว่าความรู้เรื่องการฝึกตนที่สืบทอดกันในตระกูลของเขานั้นล้ำหน้ากว่าตระกูลอื่นๆ มากนัก
ตัวอย่างเช่น เฉินมู่รู้ว่ามีวิธีแยกวิญญาณของคนๆ หนึ่งไปใส่ในกายหยาบอื่นได้ แม้ว่าจะต้องบรรลุขั้นกำเนิดวิญญาณก่อนจึงจะทำได้ก็ตาม และเขายังรู้อีกด้วยว่ามีวิธีอื่นๆ อีกมากที่จะใช้ควบคุมหุ่นเชิด รวมถึงมีวิชาที่สามารถควบคุมจิตใจคนอื่นเช่นกัน ชายหนุ่มไม่อาจใช้วิชาเหล่านั้นได้ แต่เขาก็รู้ว่าคนที่สามารถทำได้นั้นล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น
ดังนั้นเฉินมู่จึงไม่ด่วนตัดสินใจต่อหน้าผู้ช่วยตรงหน้าเขา เขาระแวดระวังแต่ไม่ได้กลัว ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาปลอดภัยเพราะการปกป้องจากองค์รักษ์เต๋าที่อยู่รอบกาย ไหนจะผู้อาวุโสของตระกูลเขาอีกด้วย เขาน่าจะสามารถต้านทานยอดฝีมือได้ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง
ในขณะเดียวกัน เฉินมู่เองก็สนใจใคร่รู้ว่าเจ้านายที่อดีตผู้ช่วยของเขากล่าวถึงนั้นเป็นใคร เขาไม่ชอบหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ในใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดังนั้นเฉินมู่จึงไม่คิดจับผู้ร้ายคนนี้ส่งหวังเป่าเล่อแน่นอน เขาจ้องมองผู้ช่วยตรงหน้าอยู่นานก่อนจะทรุดตัวลงนั่งไม่พูดสิ่งใด
ไม่จำเป็นต้องนิ่งเงียบกันให้เนิ่นนาน ความตั้งใจของทั้งคู่เป็นที่รู้ชัด ดังนั้นผู้ฝึกตนวัยกลางคนจึงยิ้มตอบ
“สหายเต๋าเฉิน เจ้านายของข้ามีเป้าหมายเดียวเท่านั้น คือหวังเป่าเล่อ ทว่าเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เขาจึงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง และต้องการให้เจ้าช่วย”
“เมื่องานนี้สำเร็จ เจ้านายของข้าจะแสดงความขอบคุณด้วยหุ่นเชิดระดับกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!”
เฉินมู่เลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะเยือกเย็นอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าผู้ฝึกตนวัยกลางคนผู้นี้ช่างพูดง่ายและไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย อีกทั้งยังไม่พยายามปกปิดสักนิดว่าต้องการให้เฉินมู่ไปฆ่าคน แม้ว่าชายหนุ่มจะอยากสังหารหวังเป่าเล่อกับมือเพียงใด เขาก็ไม่เขลาถึงขนาดจะยอมถูกหลอกได้ง่ายๆ
ความสนใจที่เฉินมู่มีอยู่ก่อนหน้านี้อันตรธานไปจนสิ้น เขากำลังจะลุกขึ้นส่งแขก แต่ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนวัยกลางคนตรงหน้าก็หัวเราะลั่นและขยับตัวออกไปเอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจากไป เขาวางกลองขนาดเล็กเอาไว้ตรงหน้าเฉินมู่!
กลองเล็กนั้นเป็นสีโลหิต วินาทีที่อีกฝ่ายหยิบมันออกมา ไอโลหิตก็แผ่ออกมาอย่างเข้มข้น ไอชั่วร้ายแผ่ออกมาจากด้านใน ในเวลาเดียวกันก็มีแรงกดดันมหาศาลถูกปล่อยออกมาด้วย แรงกดดันนั้นอยู่ในระดับเดียวกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ ซึ่งทำเอาเฉินมู่ตกตะลึงอย่างหนัก
“วัตถุเวทชิ้นนี้เป็นเมล็ดของหุ่นเชิด สหายเต๋าเฉินเอ๋ย ถือว่าข้ามอบสิ่งนี้เพื่อช่วยเจ้าตัดสินใจ หากเจ้ายอมตกลง ก็จงลั่นกลองนี้ เจ้านายของข้าจะชี้ทางการบ่มเพาะเมล็ดนี้ให้แก่เจ้า” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดพลางก้าวถอยหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ขณะที่กำลังก้าวออกไป ไฟเริ่มเผาไหม้ร่างของเขาอย่างไร้เสียง ทันทีที่ก้าวออกไปพ้นตัวตึก กายของเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าปลิวหายไปกับสายลม
สีหน้าของเฉินมู่เคร่งเครียดขึ้นทันทีเมื่อมองกลองซึ่งดูชั่วร้ายประกอบกับร่างที่โดนแผดเผา ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคิดใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรเสีย เฉินมู่ก็ไม่ได้แตะต้องกลองแม้แต่น้อย หลังจากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน เขาจึงส่งคนมานำกลองนี้กลับไปยังตระกูล เพื่อจะได้ศึกษาและตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อไป
ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งออกมาจากเขตของเวินไหวหลังการตรวจสอบ ก็กลับที่พักด้วยความอิ่มเอมใจ พลางตั้งใจจะฝึกตนและศึกษาอาวุธเวทต่อไป
กลางดึกคืนเดียวกันนั้นเอง ความมืดปกคลุมไปทั่วและความเงียบสงบแผ่ซ่านอยู่ในอากาศ แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อและประตูที่พักของเขาส่งเสียงขึ้นพร้อมๆ กัน หลี่หว่านเอ๋อร์มาพบเขาอีกครั้ง…
หวังเป่าเล่อพร้อมอยู่แล้ว อย่างไรเสียปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะขจัดออกไปได้โดยง่าย ชายหนุ่มลืมตาขึ้น จ้องมองแหวนสื่อสารก่อนจะเปิดประตูที่พักให้หลี่หว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านนอก
หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้พูดสิ่งใด นางเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเดินไปที่ห้องลับในทันทีโดยไม่รอให้หวังเป่าเล่อนำทาง
หวังเป่าเล่อกะพริบตา หลังจากปิดประตูแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดออกจะแปลกอยู่สักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดถึงร่างกายอันยั่วยวนของหลี่หว่านเอ๋อร์ หัวใจเขาก็เต้นโครมครามอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มกระแอมกระไอก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลับและเริ่มกระบวนการรักษา…
ครั้งนี้ทั้งหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์รู้สึกคุ้นชินกับกระบวนการรักษามากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อไฟดับลง กระบวนการเป็นไปเช่นเดียวกับเมื่อวาน คือหนักอึ้งไปด้วยบรรยากาศอันยากจะบรรยาย
อย่างไรก็ดี หวังเป่าเล่อยังคงพอใจกับความประพฤติของตน ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษและทำสิ่งเหนื่อยยากทั้งหมดนี้ไปเพื่อช่วยเหลือคน เขาเอาจริงเอาจังและรับผิดชอบ แถมยังไม่มีความคิดนอกลู่นอกทาง ทั้งหมดที่ทำไปเพียงเพราะต้องการรักษาหลี่หว่านเอ๋อร์ ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสัมผัสกายนางจนทั่ว
หลายวันผ่านไปเช่นนี้ กระบวนการรักษาของหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ได้กลายมาเป็นความลับและเรื่องปกติของคนทั้งคู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขายิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก ระหว่างวัน เมื่อทั้งคู่อยู่ในห้องทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ ไม่ว่าหลี่หว่านเอ๋อร์จะมารายงานความคืบหน้าหรือหารือเรื่องงานกับหวังเป่าเล่อ นางจะเย็นชาและไร้อารมณ์ ไม่ต่างจากที่เคยเป็นมาโดยตลอด
บางครั้งนางก็ใช้น้ำเสียงไม่พอใจเมื่อต้องพูดถึงเฉินมู่
แต่เมื่อยามวิกาลมาเยือน หลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะมาหาหวังเป่าเล่อ ณ ที่พักด้วยตัวเองและเดินเข้าห้องลับไปอย่างคล่องแคล่ว แม้นางจะยังดูเย็นชาและห่างเหิน แต่เมื่อกระบวนการรักษาเริ่มขึ้นและแสงไฟมืดดับลง นางก็กลับกลายเป็นคนละคน นางหายใจหอบ ร่างกายร้อนรุ่ม แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้ทำสิ่งใดเกินเลย แต่กระบวนการรักษาโดยการสัมผัสนี้ก็ทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันเสียยิ่งกว่าเมื่อคราวที่ติดอยู่ในถ้ำเสียอีก
หวังเป่าเล่อมักสับสนว่าตัวจริงของหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นคือคนใดกันแน่ อย่างไรก็ดี ชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะหากเขามีปากเสียงกับนางในเวลากลางวัน เมื่อถึงกลางคืน เขาก็จะจับตัวนางแรงขึ้นอีก ด้านหลี่หว่านเอ๋อร์นั้นจะตัวสั่นอย่างรุนแรงเมื่อถูกหวังเป่าเล่อจับแรงขึ้น แต่นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีดิ้นรนขัดขืนแต่อย่างใด…
มีหลายครั้งที่หวังเป่าเล่อเกือบจะเสียการควบคุมตนเองและเสียพรหมจรรย์ ทว่าสุดท้ายชายหนุ่มก็ยังรักษาความเป็นสุภาพบุรุษและควบคุมตัวเองไว้ได้ เขาอาจจะคิดไปเอง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเขาทำเช่นนั้นมากเท่าใด หลี่หว่านเอ๋อร์ก็จะยิ่งมีปากเสียงกับเขารุนแรงขึ้นในเรื่องการงานในวันถัดมา
หวังเป่าเล่อค่อยๆ เคยชินกับเรื่องนี้ ยี่สิบกว่าวันผ่านไปเช่นนี้ และเมื่อปราณมืดในกายหลี่หว่านเอ๋อร์ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น หวังเป่าเล่อก็จบกระบวนการรักษาด้วยความเสียดาย
ก่อนที่จะจากไป หลี่หว่านเอ๋อร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อ และจากไปโดยไร้ถ้อยคำลาเช่นทุกครั้ง
หยาบคายจริง นางไม่ได้ขอบคุณข้าด้วยซ้ำ ข้าก็ลำบากร่วมเดือนเหมือนกันนะที่ต้องรักษาให้น่ะ หวังเป่าเล่อคิดอยู่ในใจพลางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มจมอยู่กับความผิดหวังอยู่สามวัน ในตอนเที่ยงของวันที่สี่ หวังเป่าเล่อเดินออกจากที่พักเพื่อจะไปยังตึกสำนักงาน ภายในตึกสำนักงานของเจ้าเมือง หลี่หว่านเอ๋อร์ สตรีรูปงามผู้เย็นชาในชุดเครื่องแบบที่เน้นทรวดทรง กำลังจ้องเฉินมู่อย่างฉุนเฉียวในห้องทำงานของชายหนุ่ม
“เจ้าอย่ามองข้าแบบนั้นสิ การก่อสร้างในเขตปกครองตนเองต้องการทรัพยากรและการสนับสนุนมากกว่านี้ ข้ามองว่าไม่เป็นการมากไปสักนิดที่จะให้เจ้ายกกำลังคนและอำนาจของเจ้าในนครใหม่มาให้ข้า” เฉินมู่พูดอย่างใจเย็น เขามาที่นี่วันนี้เพื่อขอกำลังคนและอำนาจสั่งการจากนครใหม่ เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะตระเตรียมและวางแผนป้องกันไม่ให้หลี่หว่านเอ๋อร์เปลี่ยนฝั่งมาต่อต้านเขาได้
ในความเป็นจริง เฉินมู่เสนอความคิดนี้มาครึ่งเดือนแล้ว และหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง ครั้งนี้เขาจึงเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองพร้อมความโกรธ
หลี่หว่านเอ๋อร์หายใจแรง นางควรจะระเบิดโทสะไปนานแล้ว แต่หญิงสาวยังต้องคำนึงถึงการที่บิดาของนางเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลเฉิน นางจึงทำได้เพียงหายใจเข้าลึกเพื่อทำใจให้เย็นลง แม้ว่าจะรำคาญความล้ำเส้นของเฉินมู่สักเพียงใดก็ตาม
“เฉินมู่ หากข้ายอมยกอำนาจสั่งการให้เจ้า ข้าก็ต้องตกที่นั่งลำบากหากมีปัญหาเกิดขึ้น เราต้องวางแผนทุกสิ่งและมองภาพใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะกรุยทางให้เจ้า…”
“ไม่ต้องมาพูดเรื่องช่วยเหลือข้าหรอก เป้าหมายที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะมีสัมพันธ์ลับๆ กับหวังเป่าเล่อ!” เฉินมู่ชักสีหน้า แววเย็นยะเยือกฉายผ่านนัยน์ตา ชายหนุ่มจงใจยั่วโมโหหลี่หว่านเอ๋อร์เพื่อ.shบรรลุเป้าประสงค์
“เฉินมู่!” เมื่อได้ยินประโยคนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ทุบโต๊ะอย่างแรง นางร่ำๆ จะบันดาลโทสะออกมาอยู่แล้ว
“เจ้ากล้าทุบโต๊ะต่อหน้าข้าหรือ” เฉินมู่หัวเราะก่อนจะทุบโต๊ะเสียงดังเช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็เขวี้ยงแผ่นหยกมาทางหลี่หว่านเอ๋อร์
“เจ้าลองดูบันทึกภาพในแผ่นหยกนั่นสิ ข้าจะบอกอะไรให้นะ หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมยกอำนาจสั่งการมาให้ข้าเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยากหรือไม่ก็ตาม ไม่เช่นนั้น ข้าจะส่งแผ่นหยกนี้ให้บิดาเจ้า ข้าไม่สนใจว่าเขาจะโกรธหรือไม่ แต่ข้าจะไม่ยอมโดนสวมเขาเด็ดขาด!”