หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 423 พันธมิตร!
“หลี่หว่านเอ๋อร์!” แรงตบนั้นทำให้แก้มข้างขวาของเฉินมู่บวมเป่งขึ้นมาในทันใด แถมยังกระทบใจเขาอย่างแรง ในวินาทีนั้นความบาดหมางระหว่างตระกูลนภาห้าสมัยและคณะเสนาบดีก็เริ่มเผยออกมาให้เห็น!
แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินมู่ ผู้ซึ่งเจ้านครประเมินว่าเป็นคนทะเยอทะยานเกินตัวและไม่มีความสามารถ ไม่ได้คิดถึงความเป็นพันธมิตรระหว่างตระกูลของเขาและคณะเสนาบดีแต่อย่างใด เขากำลังเดือดพล่านไปด้วยโทสะ ชายหนุ่มไม่เคยถูกขัดใจเลยตั้งแต่ยังเด็ก อันที่จริงแล้ว ไม่เคยมีใครกล้าหาญขนาดตบหน้าเขาจังๆ เช่นนี้มาก่อน
สตรีตรงหน้ากล้าตบหน้าเขา และนางตบเขาเพราะหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเฉินมู่แดงก่ำขึ้นมาทันใด ชายหนุ่มจ้องมองหลี่หว่านเอ๋อร์ตาไม่กะพริบ หากสายตาเชือดเฉือนนั้นสามารถฆ่าคนได้ เขาก็คงได้สังหารหลี่หว่านเอ๋อร์ไปเสียแล้ว!
ทว่าพลังปราณของเขาไม่อาจเทียบหลี่หว่านเอ๋อร์ได้ ตอนนี้นัยน์ตาของหญิงสาวนั้นเยือกเย็นราวน้ำแข็งและแฝงแววอันตราย เฉินมู่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก
นางจะฆ่าข้าแน่แล้ว! จู่ๆ เฉินมู่ก็ได้สติ ลมหายใจเขาถี่เร็ว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากกายของหญิงสาว ในวินาทีนั้น หลี่หว่านเอ๋อร์ก็มีความเช่นนั้นอยู่ในหัว สำหรับนางแล้ว หากเฉินมู่ตายเสีย บิดาก็คงไม่อาจบังคับให้นางแต่งงานกับเขาได้
หากเขาตายเสีย ทุกอย่างก็จะจบ นางจะไม่ต้องมาปวดศีรษะกับเรื่องนี้อีกต่อไป
หากเขาตายเสีย ปัญหาทุกอย่างที่นางมีในตอนนี้ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป และนางจะไม่ต้องมีปัญหาเพิ่มอีกในอนาคต
ความคิดนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของหญิงสาว แสงในดวงตาของนางยิ่งเปี่ยมไปด้วยอันตรายมากขึ้นทุกที เฉินมู่ตัวสั่นและค่อยๆ ถอยหลังออกไปช้าๆ เขาหยิบแผ่นหยกขึ้นมา แล้วรีบถอยออกไปจากห้องทำงานของหลี่หว่านเอ๋อร์อย่างรวดเร็วโดยที่สายตายังจับจ้องมองนางอยู่ไม่วาง เมื่อเขาก้าวพ้นห้องทำงานออกมาได้ก็รีบวิ่งหนีเต็มฝีเท้าโดยไม่แม้จะหันกลับมามอง
หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้ไล่ตามไป นางยืนนิ่งอยู่ จ้องมองเจ้าคนขลาดเฉินมู่วิ่งหนีราวสุนัขหางจุกก้นด้วยสายตาเย็นชา ประกายอันตรายในตานางไม่ได้เลือนหายไปหากแต่เจิดจ้ากว่าเดิม นี่คือตัวตนของนาง ในอดีต ตอนที่จินตั้วหมิงเย้านางเพียงเล็กน้อย นางก็ไล่ตามเขาไปจนเกือบจะตอนอีกฝ่ายได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้แสดงถึงความแข็งแรงและดุดันซึ่งเป็นตัวตนของนาง
ที่ผ่านมาหลี่หว่านเอ๋อร์ยอมทนเฉินมู่เพราะบิดานางตักเตือนอย่างหนักแน่น นางหักห้ามใจตนเองเอาไว้เพราะต้องคิดถึงภาพใหญ่มาโดยตลอด
มาบัดนี้หญิงสาวไม่อยากทนอีกต่อไป แม้ว่านิสัยของนางจะตรงไปตรงมา แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ หญิงสาวรู้ดีว่าการจะสังหารใครสักคนนั้นง่ายดายเพียงใด แต่การจะสังหารใครสักคนโดยไม่พัวพันมาถึงตนเองต่างหากคือสิ่งที่ยาก
เพราะเหตุนี้นางจึงยั้งมือมาโดยตลอด หลี่หว่านเอ๋อร์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะยกมือถูหน้าผากพลางคิดใคร่ครวญอย่างหนัก จู่ๆ แผนการฆาตกรรมก็ผุดขึ้นมาในใจนาง!
เฉินมู่ผู้ซึ่งเป็นเป้าหมายของแผนฆาตกรรมทั้งกลัวทั้งโกรธ เขารีบกลับไปยังเขตปกครองตนเองของตนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกปลอดภัยขึ้น จากนั้นจึงเริ่มก่นด่าด้วยเสียงอันดัง
“นางแพศยา นางโสเภณี หลี่หว่านเอ๋อร์ เจ้ากล้าดีอย่างไรคิดจะฆ่าข้า หวังเป่าเล่ออาจเป็นหมูตอน แต่เจ้าเองก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่ามันเลย!” เฉินมู่หายใจหอบ ก่อนจะหยิบแหวนสื่อสารออกมาและกำลังจะติดต่อไปที่ตระกูล ทว่าตอนที่หยิบแหวนสื่อสารขึ้นมานั้น เขาก็เริ่มควบคุมตนเองได้จึงตัดสินใจวางแหวนลง ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้คนในตระกูลรู้เรื่องหลี่หว่านเอ๋อร์กับหวังเป่าเล่อ พวกเขาก็จะไม่ทำตามที่ตนต้องการแน่นอน
ทั้งเฉินมู่และหลี่หว่านเอ๋อร์ไม่ได้สำคัญเลยสำหรับตระกูล สิ่งที่สำคัญนั้นคือความเป็นพันธมิตรกับคณะเสนาบดี เฉินมู่จินตนาการออกว่าหากตระกูลรู้เรื่องนี้ก็คงขอให้เขาเฉยและแกล้งทำเป็นไม่รู้เสีย พวกเขาอาจถึงกับตักเตือนอย่างรุนแรงและสั่งให้ตนไปขอขมาหลี่หว่านเอ๋อร์ก็เป็นได้
หัวหน้าเสนาบดีก็คงจะทำเช่นเดียวกัน จุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายคือการสร้างพันธมิตรผ่านการสมรส มีกลุ่มอำนาจการเมืองมากมายที่ทัดทานการสมรสในครั้งนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเพียงหมั้นกันอยู่และยังไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ
สถานการณ์การเมืองในสหพันธรัฐนั้นทั้งยุ่งยากและละเอียดอ่อน ทุกอย่างต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด หาไม่แล้วก็อาจกลายเป็นการสร้างปัญหาหรืออาจเกิดผลกระทบที่เกินจะคาดเดา หัวหน้าเสนาบดีและตระกูลเฉินนั้นได้วางแผนให้พวกเขาหมั้นกันหนึ่งปีครึ่ง เพื่อให้กลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ ปรับตัวและยอมรับกับการจัดการนี้ จากนั้นพวกเขาจึงค่อยวางแผนการแต่งงาน
หากมีเหตุไม่คาดฝันใดเกิดขึ้นในช่วงนี้ ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อน ก็จะถือเป็นการยกเลิกการหมั้นหมายและการแต่งงานโดยปริยาย แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นนอกเสียจากว่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ
เฉินมู่ ผู้ซึ่งรู้เรื่องราวโดยตลอดทำได้เพียงกัดฟัน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ ชายหนุ่มนั่งลงหรี่ตาคิด หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ แววความมุ่งมั่นก็ปรากฏบนดวงตา เขารีบติดต่อไปยังตระกูลในทีนที
เฉินมู่ไม่ได้กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างเขาและหลี่หว่านเอ๋อร์ แต่กลับถามเรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับกลองใบน้อยแทน กลองใบนั้นเขาได้รับมาจากอดีตลูกน้อง ผู้ซึ่งมาเป็นตัวแทนของเจ้านายคนใหม่อีกทีหนึ่ง
ตอนที่เฉินมู่ได้รับกลอง เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายและพลังงานที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มจึงแอบส่งกลองกลับไปที่ตระกูลเพื่อให้ตรวจสอบ เขายังได้แจ้งเหตุการณ์ครั้งนี้ให้ตระกูลได้รับรู้และรอฟังผลอยู่
ขณะนี้ตระกูลเฉินกำลังจะให้คำตอบกับทุกคำถามของเฉินมู่ ที่ผ่านมาทั้งตระกูลเฉินต่างพากันยุ่งวุ่นวายกับการศึกษากลองใบน้อยนี้ ถึงขนาดนำไปให้ผู้อาวุโสของตระกูลช่วยเหลือ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าใครเป็นผู้ส่งกลองใบน้อยมาให้เฉินมู่ บุรุษผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกับสุสานอาวุธเทพใต้ดิน
พวกเขาเห็นทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบหากจะยอมร่วมมือด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขายืนยันได้แล้วว่ากลองใบน้อยนั้นเป็นอุปกรณ์แก่นในที่ใช้ควบคุมหุ่นเชิดตัวหนึ่ง!
พวกเขาไม่รู้ว่าหุ่นเชิดที่ว่านั้นคือตัวใด แต่ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!
สิ่งนี้เรียกความสนใจจากตระกูลเฉินอย่างยิ่ง เพราะผู้อาวุโสของตระกูลเฉินเองก็อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์เช่นกัน หากได้หุ่นเชิดตัวนี้มา ความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว!
พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน พอดีกับที่เฉินมู่ถามความคืบหน้ามา บิดาของเฉินมู่จึงก้าวออกมาและให้คำตอบกับเขาด้วยตนเอง!
“มู่เอ๋อ เจ้าจงร่วมมือกับเขาเสีย…แต่ต้องปิดไว้เป็นความลับ หากเกิดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ตระกูลจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยทั้งสิ้น!”
“แต่ผู้อาวุโสสูงสุดบอกข้ามาว่า หากเจ้ารอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้และนำหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์กลับมาได้ เจ้าจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเฉิน และยังได้รับตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสของตระกูลอีกด้วย!”
หัวใจของเฉินมู่ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้ยินครึ่งแรกที่บิดาพูด แต่หลังจากได้ยินส่วนที่เหลือ ลมหายใจของเขาก็เริ่มถี่เร็ว เลือดวิ่งขึ้นมาคั่งในดวงตาที่สะท้อนแสงแรงกล้า ชายหนุ่มตระหนักถึงอำนาจที่เขาจะได้รับหากขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเฉินได้ดี เขายังรู้อีกด้วยว่าการดำรงตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสของตระกูลนั้นหมายถึงอะไร มันคือตำแหน่งสูงสุดในตระกูลนภาห้าสมัย!
เฉินมู่จะมีอำนาจเทียบเท่าหัวหน้าเสนาบดีเลยเชียว
ความบ้าคลั่งฉาบเคลือบอยู่ในแววตาของเฉินมู่ หลังจากที่พูดคุยรายละเอียดกับบิดาเรื่องต้นกำเนิดของกลองใบน้อย เขาก็วางสาย
เฉินมู่วางแหวนสื่อสารลงและสูดลมหายใจเข้าลึก โทสะและความบ้าเลือดที่เขารู้สึกจากเหตุการณ์ที่เกิดกับหลี่หว่านเอ๋อร์ระเบิดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ในวินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มตอนนี้นั้นเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ เขากัดฟันก่อนจะปลงใจได้
ข้าต้องทำงานกับบุคคลปริศนาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินแล้วอย่างไรกัน!
ต่อให้สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นจะเป็นปีศาจชั่วร้าย ข้าก็ไม่สน ขอเพียงงานครั้งนี้ลุล่วง ข้าก็จะสร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์ให้กับตนเองได้ ข้าขอเดิมพันทุกสิ่ง…เพื่อสิ่งนี้!
มีแสงน่าสะพรึงส่องสว่างอยู่ในดวงตาของเฉินมู่ หลังจากที่ตัดสินใจได้ ชายหนุ่มก็ติดต่อตระกูลไปทันที จากนั้นเขาก็เฝ้ารอ ไม่กี่วันต่อมา…คนจากตระกูลก็นำกลองใบน้อยมาคืน คืนนั้น เฉินมู่ก็ลั่นกลองใบน้อยขึ้นด้วยดวงตาที่เปรอะด้วยความบ้าคลั่ง!
ทันทีที่เสียงก้องสะท้อนออกมาจากกลอง ห้องลับที่เฉินมู่อยู่ก็หนาวเหน็บลงในชั่วอึดใจ สายลมที่มองไม่เห็นพัดเข้ามาในห้องทั่วทุกทิศทาง เกล็ดน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนกำแพง น้ำแข็งเริ่มหนาขึ้นจนกระทั่งห้องลับทั้งห้องกลายเป็นถ้ำน้ำแข็งไป!
ความเย็นยะเยือกนั้นดำมืดและแผ่รังสีความหนาวเหน็บและมืดดำออกมา
“ข้ายอมเป็นพันธมิตรกับเจ้า แต่…ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะสามารถควบคุมหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ที่เจ้าบอกได้ เจ้าต้องมอบหุ่นเชิดให้กับข้าก่อนสิ!” เฉินมู่เริ่มรู้สึกหนาว แต่เพื่ออนาคตที่สดใส เขาก็ต้องกัดฟันทนและพูดออกไปด้วยเสียงต่ำ
ทันทีที่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้องลับ ทันใดนั้น ร่างอันพร่าเลือนก็ปรากฏขึ้นบนชั้นน้ำแข็งบนกำแพง ร่างนั้นดูเหมือนอยู่ภายในน้ำแข็ง ราวกับว่าภายใต้กำแพงเย็บเยียบนั้นเป็นอีกโลกหนึ่งก็ไม่ปาน ร่างนั้นเป็นชายในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าของเขาพร่าเลือน ทว่าทันทีที่ชายผู้นี้ปรากฏตัว ลมหายใจของเฉินมู่ก็นิ่งสนิท ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านออกมากดทับตัวเขาเอาไว้
เฉินมู่ตัวสั่น เขาก้าวถอยหลังออกมาหลายก้าวด้วยความตื่นกลัวอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้พูดอะไรต่อ เสียงที่ทั้งต่ำและแหบพร่าจนฟังดูชราของชายในชุดดำก็ดังออกมาจากน้ำแข็ง
“หุ่นเชิดที่เจ้าต้องการ…เจ้าจะต้องหลอมด้วยตนเอง ข้าจะบอกวิธีให้…เรื่องการควบคุมนั้น…ให้เจ้าเลี้ยงดูกลองใบน้อยด้วยโลหิตจากกายตน มันจะกลายมาเป็นของเจ้าและเป็นแก่นให้หุ่นเชิด…
“แต่ด้วยเหตุผลบางประการที่ตระกูลของเจ้าอาจจะรู้ เจ้าจะต้องหลอมหุ่นเชิดที่นี่เท่านั้น…ข้าขอเจ้าเพียงเรื่องเดียว…เมื่อหุ่นเชิดถูกหลอมจนสมบูรณ์ เจ้าจะต้องสังหาร…หวังเป่าเล่อ!”