หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 436 พวกโจร!
เจ้านครอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำร้องขอของหวังเป่าเล่อ ทว่านางไม่ใช่คนที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ จึงบอกชายหนุ่มไปว่าจะส่งเรื่องต่อให้ทางสหพันธรัฐโดยตรง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือเปล่า
หวังเป่าเล่อแค่อยากลองวัดดวงดูเท่านั้น ดวงตาของชายหนุ่มลุกโชติช่วงเมื่อพบว่าเจ้านครไม่ได้บอกปฏิเสธ เขาตั้งตาคอยคำตอบด้วยความคาดหวัง ตระกูลนภาห้าสมัยเดือดจัด โดยเฉพาะผู้นำตระกูลเฉินที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนแทบจะระเบิดอยู่ภายในที่พำนักของตน
“โจร คนพวกนี้มันเป็นโจร!
“ไอ้ชั่วหลินโยว เจ้านั่นบอกว่าลูกชายตัวเองต้องระเบิดอาวุธเวทไปสามสิบชิ้น มันเรื่องบ้าอะไรกัน ลูกชายเขาน่ะหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้านั่นจะมีอาวุธเวทมากมายอะไรขนาดนั้น!
“แล้วก็ไอ้แก่หนังเหนียวจินอีก บอกว่าจินตั้วหมิงระเบิดอาวุธเวทระดับเก้าไปอีกเจ็ดชิ้น เชื่อก็โง่แล้ว! อาวุธเวทระดับเก้าห่าเหวอะไรจะไปหาง่ายขนาดนั้น!
“กองทัพประจำดาวอังคารก็หน้าด้านไม่แพ้กัน บอกว่ากงเต๋าระเบิดอาวุธเวทไปยี่สิบชิ้น ยังไม่เท่านั้นนะ ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีออกโรงมาบอกเองว่ากงเต๋าไม่ได้เสียอาวุธเวทไปมากขนาดนั้น ระเบิดไปเพียงแค่หกชิ้นเท่านั้น…แม้แต่ผู้นำที่มียศถาบรรดาศักดิ์ขนาดนั้นยังตามน้ำช่วยอีก!”
“ไอ้หวังเป่าเล่อก็อีกคน ใจกล้าหน้าด้านมาบอกว่าตัวเองระเบิดอาวุธเวทระดับแปดไปสิบชิ้น!” ผู้นำตระกูลเฉินเดือดจัด เขาไม่มีทางรับผิดชอบได้ไหว ตระกูลนภาห้าสมัยเองก็เช่นกัน ขณะที่กำลังเดือดดาลอยู่นั้น แหวนสื่อสารก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อเรียกร้องจากสำนักสหชุมนุมสกุณา โดยพวกเขาขอการชดเชยเรื่องอาวุธเวทด้วยเช่นกัน…
ราวกับน้ำมันหยดใส่กองเพลิง ผู้นำตระกูลเฉินโกรธจัดจนคุมอารมณ์ไม่อยู่ เขาแจ้งข้อเรียกร้องต่างๆ ที่ได้รับมาให้ทางสหพันธรัฐและฝ่ายปกครองดาวอังคารได้รับทราบในนามตระกูลนภาห้าสมัย ก่อนจะเอ่ยถามคำถามสุดท้าย
“ต้องใช้อาวุธเวทระดับเก้าสามชิ้น อาวุธเวทระดับแปดหลายสิบชิ้น กับอาวุธเวทระดับเจ็ดอีกเป็นร้อย ถึงจะทำลายหุ่นเชิดขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ลงได้อย่างนั้นหรือ”
ต้วนมู่ฉีมีสีหน้าแปลกๆ เมื่อได้เห็นข้อเรียกร้องทั้งหมด เจ้านครอาณานิคมเองก็ได้แต่มองตาปริบๆ เช่นกัน แต่ละฝ่ายนั้นรู้เพียงแค่ข้อเรียกร้องของฝ่ายตนเอง พวกเขาไม่รู้ว่าฝ่ายอื่นๆ นั้นเรียกร้องอะไรไปบ้าง หลังจากตระกูลนภาห้าสมัยประกาศข้อเรียกร้องทั้งหมดให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวทุกคน
หวังเป่าเล่อทราบเรื่องประกาศของตระกูลนภาห้าสมัยผ่านเจ้านคร เขาสูดหายใจลึกเมื่อได้เห็นข้อเรียกร้องจากฝ่ายต่างๆ
อะไรกัน พวกนั้นไม่ได้ระเบิดอาวุธตัวเองสักหน่อย มีแต่ข้าที่ทำ! หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าตนเป็นเพียงกระต่ายน้อยแสนใสซื่อไร้เดียงสาเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
กงเต๋า จินตั้วหมิง และหลินเทียนหาวต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ กลุ่มอำนาจการเมืองที่หนุนหลังพวกตนอยู่ไม่มีทีท่าที่จะยอมโอนอ่อน การต่อสู้ดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องอยู่ระยะหนึ่ง ในที่สุดต้วนมู่ฉีก็เข้ามาจัดการ ปัญหาทั้งหมดจึงคลี่คลายลง
ตระกูลนภาห้าสมัยต้องชดเชยทรัพยากรจำนวนมากให้นครใหม่ ถือว่าเป็นค่าปรับเรื่องความเสียหายทั้งหมดที่เฉินมู่ก่อ นอกจากนี้ยังต้องมอบอาวุธเวทระดับแปดหนึ่งชิ้นและอาวุธเวทระดับเจ็ดอีกสิบห้าชิ้นเป็นของชดเชยอีก
หวังเป่าเล่อได้อาวุธเวทระดับแปดไป ส่วนอาวุธเวทระดับเจ็ดที่เหลือก็แบ่งสรรปันส่วนไปให้ฝ่ายต่างๆ ข้อพิพาทจึงได้ยุติลง
ชะตากรรมสุดท้ายที่รอเฉินมู่อยู่ได้รับการตัดสินแล้ว หลังจากสหพันธรัฐไต่สวนเสร็จก็สั่งให้เขาได้รับโทษประหาร
การหมั้นของเฉินมู่และหลี่หว่านเอ๋อร์ถือเป็นโมฆะ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีก
หวังเป่าเล่อรีบเสนอชื่อจั่วอี้ฟานให้เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีแทนเฉินมู่ ข้อเสนอของเขาไม่ได้รับการอนุมัติในทันที แต่ชายหนุ่มก็ย้ำเสียงแข็งไปอีกครั้ง จากกรณีของเฉินมู่และหลี่อี้ ทำให้กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ เริ่มรู้จักตัวตนหวังเป่าเล่อมากยิ่งขึ้น พวกเขารู้ว่าหากชายหนุ่มไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะส่งใครไป ก็มีโอกาสที่จะลงเอยเหมือนกรณีก่อนๆ
ความสงบสุขหวนคืนสู่นครอาวุธเทพใหม่อีกครั้ง เจ้านครดาวอังคารและสหพันธรัฐได้ส่งคนมาตรวจสภาพเจ้าลา พวกเขาพบพลังระดับขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ภายในตัวเจ้าลา แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถแปลงกายตามใจชอบได้ ราวกับว่าพลังนั้นยังคงหลับใหลอยู่
สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าออกโรงให้การสนับสนุน ทำให้หวังเป่าเล่อเลี้ยงเจ้าลาต่อได้
ด้วยการเสริมทัพจากเจ้าลาทำให้หวังเป่าเล่อถือเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่ทรงพลังที่สุดในสหพันธรัฐ แม้จะไม่ได้มีชื่ออยู่ในกลุ่มอย่างเป็นทางการ แต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้นได้กลายๆ
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติสุขอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็ได้รับอาวุธเวทระดับแปดจากตระกูลนภาห้าสมัย อาวุธเวทที่ได้มานั้นไม่ใช่อาวุธแต่เป็นเครื่องป้องกัน เมื่อสวมแล้วจะสร้างเกราะป้องกันครอบคลุมร่างกาย สามารถต้านทานการโจมตีรุนแรงจากศัตรูได้
ในหมู่อาวุธเวทระดับแปด อาวุธที่มีพลังโจมตีรุนแรงมีมูลค่าสูงกว่าเครื่องป้องกัน แต่เครื่องป้องกันก็ถือเป็นของหายากในหมู่อาวุธเวทระดับแปดขึ้นไป ตีมูลค่าได้ยากว่าระหว่างอาวุธกับเครื่องป้องกันอะไรมีมูลค่ามากกว่ากัน ต้องดูที่ความต้องการของผู้ใช้
เห็นได้ชัดว่าตระกูลนภาห้าสมัยไม่อยากชดเชยด้วยอาวุธโจมตี จึงเลือกมอบเกราะป้องกันให้แทน หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เนื่องจากจริงๆ แล้วตนต้องการเครื่องป้องกันมากกว่า
ผู้ฝึกตนจะต้องอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในจึงจะสามารถใช้อาวุธเวทระดับแปดได้สมบูรณ์ หากได้อาวุธมาคงจะหาทางใช้ได้ยาก ข้าคงจะใช้งานมันได้ไม่เต็มที่เหมือนเช่นอาวุธเวทระดับเจ็ด ชายหนุ่มตรวจสอบเกราะป้องกันทันทีที่ได้รับมา จากความเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทของตนทำให้บ่งบอกได้ว่าเกราะป้องกันนี้ไม่มีอะไรผิดแปลกจึงลองสวมดูทันที ชายหนุ่มลูบคลำเกราะป้องกันทั่วทุกส่วนด้วยความพึงพอใจ
น่าเสียดายที่กระบี่พังไป…ต้องใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์เพื่อหลอมอาวุธเวทโทรโข่งของข้าให้เสร็จ! ชายหนุ่มยังปวดใจทุกครั้งที่คิดถึงกระบี่ เขาร่วมรบกับมันมานาน ใช้มันฆ่าฟันเอาชีวิตรอดตอนอยู่บนดวงจันทร์ กระบี่เล่มนั้นยังคงอยู่ในใจหวังเป่าเล่อ
โชคยังดีที่แม้จะเสียกระบี่ไป แต่เขาก็ยังมีกระบี่บินอาวุธเวทระดับเจ็ด หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็เริ่มเก็บตัวอีกครั้ง เขาตั้งใจจะศึกษาทักษะการหลอมสวรรค์สร้างให้ชัดแจ้ง จากนั้นก็เชื่อมดวงจิตของทวยเทพมาใช้สร้างอาวุธเวทโทรโข่งของตนเอง
คงจะดีถ้าข้าหลอมสมบัติเวทที่ใช้เรียกดวงจิตเทพเจ้าได้…พอเปิดใช้ก็จะดึงดวงจิตของเทพเจ้ามาหาตัวเองได้ทันที หวังเป่าเล่อถอนหายใจ คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เขาสูดหายใจลึกสองเฮือกเพื่อสงบใจตนเองลง จากนั้นก็หลับตาลงภายในห้องลับ ปล่อยใจให้อาวุธเวทกระบี่บินและเกราะป้องกันนำทางไปค้นหาดวงจิตของทวยเทพ
หนึ่งเดือนผ่านไป หวังเป่าเล่อเข้าฌาณไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาดวงจิตของเทพเจ้าอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่เจอ ชายหนุ่มก็จะพยายามนำทางดวงจิตมาหาตนเอง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง
เขาสัมผัสได้ถึงวิญญาณหนึ่งที่ลุกไหม้อยู่ภายในดาวอังคารแทบจะทุกครั้ง วิญญาณดวงนั้นใหญ่โตราวกับดวงอาทิตย์ มีพลังเหนือชั้นกว่าเทพเจ้าที่ยังหลงเหลืออยู่บนดวงดาว ชายหนุ่มคิดว่าถ้าสามารถดึงวิญญาณนั้นมาหาตนเองได้ เขาก็อาจจะหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้!
ชายหนุ่มไม่กล้าท่องเข้าไปใกล้มันเนื่องจากระดับการฝึกตนของตนเองไม่สูงพอ มีครั้งหนึ่งที่เขาเผลอเข้าไปใกล้ ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดราวกับจิตวิญญาณของตนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ชายหนุ่มถอยกลับออกมาด้วยความหวาดกลัว และมุ่งเป้าไปที่ดวงจิตของเทพเจ้าที่พลังอ่อนกว่าแทน
หลังจากพยายามซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง เขาก็พบเทพเจ้าตนหนึ่งที่ไม่ได้แกร่งกล้ามากแต่ก็มีจิตวิญญาณหนาแน่น มันให้ความรู้สึกเหมือนกับพยัคฆ์ไฟยักษ์ ดูเหมาะสมที่นำมาเป็นวิญญาณวุธ
หวังเป่าเล่อตัดสินใจเลือกดวงจิตดวงนี้ เขาพยายามล่อให้ดวงจิตลอยเข้ามาหาหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงจิตดวงนั้นดูจะมีอารมณ์ร้อน มันลอยเข้ามาหาชายหนุ่ม ก่อนจะแปลงกายเป็นคลื่นอัสนี พยายามจะฟาดใส่ใครก็ตามที่เข้าใกล้
ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหญิงสาวแสนสวยจอมยั่วสวาท ส่วนดวงจิตดวงนั้นเป็นดังชายหนุ่มที่ไม่แยแสสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะพยายามล่อลวงใจชายผู้นั้นสักเท่าใด ก็ได้รับเพียงการเมินเฉย หากทำให้ชายผู้นั้นโกรธขึ้นมา เขาก็จะทำร้ายนาง…
เปรียบเปรยแบบนี้แล้วฟังดูแปลกๆ ชอบกล… หวังเป่าเล่อเริ่มท้อ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดหาวิธีล่อจิตเทพอยู่นั้น แผนการจัดการหวังเป่าเล่อก็เปิดฉากขึ้นอย่างลับๆ!
ตัวตั้งตัวตียังคงเป็นตระกูลนภาห้าสมัยเช่นเคย ความบาดหมางระหว่างทั้งสองนั้นช่างซับซ้อนและดูท่าจะไม่จบลงง่ายๆ พวกเขาจึงต้องบดขยี้หวังเป่าเล่อทิ้งเสีย ครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ครั้งที่ผ่านมานั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและคนรุ่นเยาว์จากตระกูลนภาห้าสมัย ทว่าครั้งนี้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลนภาห้าสมัยจะเป็นคนลงมือเอง!
พวกเขาถึงกับติดต่อไปยังสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักชุมนุมสกุณา ฝ่ายหลังมีข้อพิพาทกับตระกูลนภาห้าสมัยเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตปกครองตนเองของฟางจิ้ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อเสนออันหอมหวานนี้ไปได้ แผนการของตระกูลนภาห้าสมัยนั้นชั่วร้ายยิ่งนัก นอกจากจะมีโอกาสสำเร็จสูงแล้ว ยังเป็นแผนการสมคบคิดแบบเปิดเผยด้วย
การสมคบคิดแบบเปิดเผยคือแผนการที่เผยเจตนามุ่งร้ายให้เป้าหมายได้รับทราบอย่างเปิดเผย บอกแผนการแต่ละขั้นให้ได้รู้ แต่เป้าหมายก็ไม่สามารถหลบหนีหรือหยุดยั้งแผนการได้ ไร้ซึ่งหนทางในการตอบโต้!
แผนสมคบคิดที่เหล่าผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งของตระกูลนภาห้าสมัยคิดขึ้นมานั้นคือ…การเข้าไปช่วยก่อสร้างนครใหม่ พวกเขาจะใช้อำนาจและทรัพยากรทั้งหมดที่มีในการผลักดันนครระดับสามไปเป็นนครระดับสอง!
โดยจะมีสถานะเป็นรองเพียงนครหลวงสหพันธรัฐและนครหลักดาวอังคาร มีสถานะเป็นเขตนครพิเศษเช่นเดียวกันกับสิบแปดนครในสหพันธรัฐ!