หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 440 สหพันธรัฐเดือดจัด!
แม้สหพันธรัฐจะเดือดจัด แต่ความรู้สึกของประชาชนนั้นสำคัญกว่า สื่อมวลชนตีข่าวเรื่องนี้ไม่หยุด ข้อมูลทั้งจริงทั้งเท็จกระจายไปทั่วสร้างความหวาดกลัวให้กับบรรดาสามัญชนและผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐรวมถึงบนดาวดวงอื่นๆ
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความเสียหายใหญ่หลวง ผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนบนดาวพุธดับอนาถจากเชื้อไวรัสปริศนาภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ความหวาดผวาก่อตัวขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ซัดเข้าใส่สหพันธรัฐ
บางคนกล่าวโทษว่าเป็นเพราะการมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณ พวกเขาร้องขอให้คนอื่นๆ ทิ้งพลังปราณและเลิกฝึกตน จากนั้นก็หันกลับไปพึ่งพาพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทน
ภายในสหพันธรัฐมีเหตุการณ์แปลกๆ เช่น การก่อการร้าย พิธีกรรมบูชายัญ และองค์กรที่พยายามติดต่ออารยธรรมนอกระบบสุริยะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
มีหลายคนที่โกรธมากกว่ากลัว ทำให้มีกระแสอยากทำการตรวจสอบและแก้แค้นเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในหนึ่งคืนหลังจากโศกนาฏกรรมบนดาวพุธจบลง
ปฏิกิริยาของสหพันธรัฐก็รวดเร็วเป็นอย่างมาก ต้วนมู่ฉีวางมาตรการต่างๆ ไว้พร้อมก่อนจะจัดแถลงข่าวพร้อมแพร่ภาพไปทั่วสหพันธรัฐ เขาเชิญสื่อมวลชนต่างๆ ให้มาร่วมฟังแถลงการณ์เกี่ยวกับโศกนาฏกรรมบนดาวพุธ!
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากออกแถลงการณ์ฉบับนี้ เพราะไม่มีใครอยากให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้น!”
“แต่มันก็เกิดไปแล้ว…และนี่ก็ไม่ได้เป็นเพราะยุคกำเนิดวิญญาณ แต่เป็นเพราะ…ความอ่อนแอของพวกเราเอง!” ต้วนมู่ฉียืนอยู่ต่อหน้าทั้งสหพันธรัฐขณะออกแถลงการณ์ ใบหน้าเขาดูขมขื่นขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ความอ่อนแอคือบาปของพวกเรา ข้าไม่อยากจะแต่งคำพูดให้ฟังดูสวยหรู ไม่อยากอธิบายหรือปิดบังอะไร มีเพียงสี่อย่างที่ข้าอยากจะบอก เรื่องแรกคือข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องที่สองคือสิ่งที่ทางรัฐบาลสหพันธรัฐได้ลงมือจัดการและแผนการตอบโต้! เรื่องที่สามและสี่จะได้รู้ในไม่ช้า!
“เรื่องแรก จำนวนผู้เสียชีวิตบนดาวพุธคือ 23,756 คน! ดาวแต่ละดวงนั้นมีชีวิตเป็นของตัวเอง ดาวพุธถูกชิงเอาชีวิตเกินครึ่งไป ทำให้ตอนนี้อยู่ในวงจรชีวิตช่วงสุดท้าย อีกไม่นาน ลูกหลานของเราคงจะได้รู้จักดาวพุธแค่เพียงในนามจากบันทึกประวัติศาสตร์…
“สาเหตุของการตายมาจากเชื้อไวรัสที่ส่งผ่านทางแสง เป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายมากแต่อยู่ได้เพียงสองชั่วโมง ทางสหพันธรัฐได้ศึกษาเชื้อไวรัสและพบหนทางรับมือแล้ว!
“ส่วนคนร้ายนั้น…ยืนยันแล้วว่าเป็นอารยธรรมปริศนานอกระบบสุริยะ!”
เหล่าประชาชนเดือดจัดหลังจากที่ได้ฟังผู้นำสหพันธรัฐแถลงการณ์ แม้จะได้ยินมาแล้วก่อนหน้าจากสื่อต่างๆ แต่หลายคนก็ยังต้องหลั่งน้ำตา ความหวาดกลัวในใจเพิ่มขึ้นสูง ประชาชนในหลายๆ พื้นที่เกือบจะเสียสติไปหลังจากทราบเรื่อง
ต้วนมู่ฉีไม่สนใจ เขาพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เรื่องที่สอง หลังจากที่เราได้ทราบข่าว ทางสหพันธรัฐได้เปิดใช้งานวงแหวนปราณดวงดาราที่ยังสร้างไม่เสร็จ แม้จะเพิ่งแล้วเสร็จไปครึ่งหนึ่ง วงแหวนปราณก็ยังสามารถผนึกพื้นที่เอาไว้ได้ เรายังเปิดใช้งานวงแหวนปราณต่างๆ ในดาวเคราะห์หลักดวงอื่นๆ กองทัพของสหพันธรัฐก็เริ่มดำเนินการออกค้นหาทั่วระบบสุริยะเพื่อตามล่าตัวคนร้าย พวกเราจะต้อง…แก้แค้นให้จงได้!” ต้วนมู่ฉีประกาศกร้าว เขาไม่ได้มีสีหน้าเคร่งขรึมอีกต่อไป หากแต่แทนที่ด้วยความดุดันอันแฝงไปด้วยความแน่วแน่!
คำประกาศของเขาดังก้องในใจใครหลายคน ประชาชนมากมายนับไม่ถ้วนจากหลายหลากเขตแดนต่างกู่ร้องพร้อมกันว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้!
“เรื่องที่สาม ในสหพันธรัฐนั้นไม่ได้ขาดแคลนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกตนที่น่าเคารพนับถือของพวกเราท่านหนึ่งได้เก็บตัวฝึกวิชาอยู่ จึงไม่เหมาะที่จะเข้าไปรบกวนท่าน แต่เมื่อวานนี้ท่านได้ออกจากการถือสันโดษแล้ว และจะเดินทางออกไปในอวกาศเพื่อตามล่าหาตัวคนร้าย!” ผู้นำสหพันธรัฐยกมือขวาขึ้นขณะที่พูด หน้าจอวิญญาณปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา ภาพห้วงอวกาศสุกสว่างกว้างใหญ่ฉายชัดอยู่บนจอ มีเรือบินรูปทรงเหมืองกระบี่พุ่งทะยานอยู่กลางห้วงอวกาศ ในเรือบินลำนั้นมีชายชราคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่!
ภาพชายชราดูพร่ามัว มองได้ไม่ชัดว่าเป็นผู้ใด ห้วงอวกาศไหวกระเพื่อมเมื่อเรือบินเคลื่อนผ่านปรากฏเป็นภาพเหนือคำบรรยาย ทันใดนั้นชายชราก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแสงลุ่มลึกในแววตา สายตาของเขาพุ่งผ่านจอภาพบีบคั้นจิตวิญญาณของทุกคนที่ได้มอง
การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณช่วยคลายความตึงเครียดของสถานการณ์และความหวาดผวาในใจผู้คน ผู้ฝึกตนหลายคนเริ่มฮึกเหิมเมื่อได้ฟังแถลงการณ์ พวกเขารู้ดีว่าขั้นจุติวิญญาณนั้นเยี่ยมยอดเพียงใด ทำให้เริ่มตื่นเต้นมากขึ้น ราวกับได้พบแสงแห่งความหวัง
“เรื่องที่สี่ ทางสหพันธรัฐนั้นได้ประดิษฐ์…ระเบิดต้านทานวิญญาณเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในระยะต้น แต่พลังหลังจากระเบิดนั้น…มีระดับเทียบเท่าขั้นจุติวิญญาณ!”
“ระเบิดต้านทานวิญญาณที่สั่งผลิตชุดแรกมีทั้งหมดหนึ่งพันลูก! หากระเบิดไปสักครึ่งหนึ่งคงสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณลงได้! ไม่ว่าอารยธรรมจากนอกระบบสุริยะจะแกร่งกล้าเพียงใด ก็ต้องสยบให้กับ…ระเบิดหนึ่งพันลูกของเรา!” ผู้นำสหพันธรัฐประกาศก้อง แม้จะไม่มีบันทึกภาพตัวอย่างระเบิดต้านทานวิญญาณให้ชม แต่ด้วยหลักฐานต่างๆ จากสามเรื่องแรกที่ได้เห็นทำให้ประชาชนปักใจเชื่อเรื่องที่สี่ ความเชื่อมั่นครั้งนี้ทำให้ความหวาดกลัวในใจปลิวหายไป
แถลงการณ์ของต้วนมู่ฉีประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณและระเบิดต้านทานวิญญาณช่วยทำให้ประชาชนมั่นใจในสหพันธรัฐมากขึ้น
แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่คิดว่าแม้จะมีการประดิษฐ์ระเบิดต้านทานวิญญาณได้สำเร็จจริง ก็คงไม่ได้มีจำนวนมากอย่างที่พูด ไม่น่าจะมีถึงพันลูก ได้สักร้อยลูกก็ถือว่าโชคดีพอแล้ว
ต้วนมู่ฉีไม่ปล่อยให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น เขาโบกมือหนา พลันหน้าจอก็แปรเปลี่ยน ปรากฏเป็นภาพเงาของผู้นำคณะเสนาบดี
“คณะเสนาบดีจะให้ความร่วมมือกับทางสหพันธรัฐอย่างเต็มที่เพื่อให้มั่นใจว่าคนร้ายจะต้องได้รับการลงโทษ พวกเราจะสู้จนตัวตาย!”
“กลุ่มไตรจันทราจะให้ความร่วมมือในการทำศึกครั้งนี้อย่างเต็มที่!”
“ตระกูลนภาห้าสมัย…”
“สำนักรุ่งสางจักรพิภพ…”
“สำนักสหชุมนุมสกุณา…”
“สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าขอสาบานว่าจะปกป้องสหพันธรัฐไว้ด้วยชีวิต!”
ภาพเงาของผู้นำคณะเสนาบดีหายไปก่อนจะแทนที่ด้วยตัวแทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวเพียงคนเดียว หากแต่มีกองทัพผู้ฝึกตนอยู่ด้านหลัง นัยน์ตาของทุกคนดูแน่วแน่และดุดัน สีหน้าฉายชัดว่าต้องการแก้แค้น
ประชาชนทั่วสหพันธรัฐเลิกเป็นกังวล เจ้าพนักงานของสหพันธรัฐในแต่ละเมืองเริ่มออกดูแลประชาชนเพื่อช่วยคลายความกังวลใจ ความโกลาหลครั้งนี้จบลงไปได้ อีกทั้งยังช่วยรวมใจประชาชนทุกคนเป็นหนึ่ง!
เสียงเรียกร้องหาความยุติธรรมและการแก้แค้นกลายเป็นเรื่องสามัญทันใด อีกทั้งยังค่อยๆ แผ่วงกว้างออกไปทั่วสหพันธรัฐ ห่างออกไปในห้วงอวกาศ แมงกะพรุนสีดำที่พรางตัวเป็นหนึ่งเดียวกับผืนอวกาศมืดมิดกำลังเคลื่อนตัวไปในระบบสุริยะ มันอยู่ไม่ไกลจากดาวอังคาร ดูจากเส้นทางที่เคลื่อนตัวแล้ว แมงกะพรุนสีดำจะต้องผ่านดาวอังคารไป!
ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทั้งสามไม่อยากออกจากระบบสุริยะไป แต่การสั่งปิดระบบสุริยะของสหพันธรัฐทำให้พวกเขาต้องรอบคอบขึ้น อีกทั้งยังจับสัมผัสผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสองคนที่เหมือนกำลังตามหาตัวพวกเขาอยู่
ทั้งสามระแวดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าสะพรึงกลัวหลายอย่าง แต่รางวัลที่ได้จากการบุกดาวพุธก็ทำให้พวกเขาพึงพอใจยิ่งนัก ทั้งสามคนตัดสินใจว่าจะรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุดเมื่อมีโอกาส
“ยังมีสร้อยหยกของผู้อาวุโสช่วยพรางตัว ข้าคิดว่าเราน่าจะทำได้อีกสักครั้ง…จากนั้นค่อยฝ่าวงแหวนปราณหนีไป!”
“เสี่ยงไม่เบาเลยนะ…”
พวกเขาถกกันพักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าจะไม่ทำตามแผนการเมื่อครู่ ทันใดนั้นแมงกะพรุนสีดำที่กำลังเคลื่อนตัวไปก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับว่ากำลังส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างทำให้ชายทั้งสามตาเบิกกว้าง ชายหน้าตะขาบรีบหยิบเข็มทิศออกมาก่อนจะตั้งผนึกฝ่ามือ
เข็มทิศส่องแสงทันใด ภาพดาวอังคารปรากฏขึ้น มันซูมภาพเข้าอยู่หลายครั้งจนเผยให้เห็นว่าสิ่งที่นอนนิ่งอยู่ใต้ดินลึกสุดของดาวอังคารคือทะเลแห่งเงามืด!
แม้จะไม่เห็นรายละเอียด แต่พวกเขาก็สัมผัสถึงพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลจากเงานี้ผ่านเข็มทิศ
“วัตถุเวทแห่งความมืด สวรรค์ เป็นวัตถุเวทแห่งความมืดจริงๆ! ไม่แปลกใจว่าทำไมธาราจอมตะกละถึงมีอาการเช่นนี้!”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ใช่วัตถุเวทแห่งความมืดจริงๆ ด้วย ตำนานกล่าวไว้ว่ามีวัตถุเวทแห่งความมืดเพียงไม่กี่ชิ้นหลงเหลืออยู่ในจักรวาล แถมยังบอกอีกว่าผู้ใดที่ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืดจะมีอำนาจเหนือวัฏจักรชีวิต ความตาย และการเกิดใหม่!”
พวกเขาหายใจถี่ รู้สึกสับสน ผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสามก็หันมองหน้ากัน รู้ดีว่าคงจะไม่ตายตาหลับถ้าหนีกลับออกไปเสียเฉยๆ ทั้งสามกัดฟันแน่นพร้อมตัดสินใจ
“ลองไปดูกัน หากมีโอกาสชิงมาได้ก็ให้ลงมือ แต่ถ้าไม่ ก็จะหนีไปทันทีและติดต่อหาเหล่าผู้อาวุโส เราจะเรียกกำลังเสริมมาทำลายล้างอารยธรรมนี้และช่วงชิงทุกอย่างมาให้หมด!” นัยน์ตาสีแดงของทั้งสามเข้มขึ้น พวกเขาคุมแมงกะพรุนสีดำมุ่งหน้าตรงไปยังดาวอังคาร!