หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 443 แม่นางน้อย รีบเปิดประตูเร็ว!
หวังเป่าเล่อวางเดิมพันได้ถูกข้าง!
ผู้บุกรุกทั้งสามไม่ต้องการให้ตัวตนเปิดเผย แม้ว่าพวกเขาจะกล้าแกร่งและมีแมงกะพรุนสีดำในครอบครอง แม้ว่าพวกเขาจะพรางตัวบุกเข้ามาในดาวอังคารได้ แต่ระบบสุริยะแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยตัวตนน่าสะพรึงกลัวหลายอย่าง หากไม่จำเป็นจริงๆ ทั้งสามก็จะเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด
ผู้ฝึกตนทั้งสามมีสีหน้าบูดเบี้ยวเมื่อเห็นว่าอาวุธเวทระดับเจ็ดทำท่าเหมือนจะระเบิดทำลายตัวเอง
“ลวดลายเยอะจริงๆ พวกเจ้าตามไปฆ่ามันเสีย ข้าจะจัดการตรงนี้เอง!” ชายหน้าตะขาบส่งเสียงไม่พอใจ เขาก้าวออกไปหยุดอยู่ข้างอาวุธเวทระดับเจ็ด จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปข้างหน้า พลันฝ่ามือมายาใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าก่อนจะเอื้อมเข้าไปจับอาวุธเวทระดับเจ็ดไว้ พยายามจะบีบวัตถุในมือให้แหลกละเอียด
ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อที่กำลังหนีอยู่ก็ยกมือขึ้นโบก วัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นปรากฏขึ้น เขาเขวี้ยงพวกมันออกไปสุ่มๆ วัตถุเวทกระจายไปทั่วทั้งถ้ำ หลายชิ้นเป็นวัตถุเวทระดับห้า บางชิ้นเป็นวัตถุเวทระดับสี่และระดับหก ทั้งหมดนี้เป็นของที่ชายหนุ่มสะสมไว้ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง
แม้จะเจ็บปวดใจแต่เขาก็โยนพวกมันออกไปทั้งหมด ก่อนจะร้องคำรามลั่น
“จงระเบิด!”
วัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นสั่นไหวส่งสัญญาณทำลายตัวเอง แม้ว่าแรงระเบิดของแต่ละชิ้นจะเทียบอาวุธเทพระดับเจ็ดไม่ติด แต่แรงระเบิดของทั้งหมดรวมกันก็มีพลังสูงไม่แพ้กัน น่าจะเกิดคลื่นพลังที่ทำให้คนภายนอกเข้ามาตรวจสอบได้
เหล่าผู้ฝึกตนตื่นตระหนก ไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะมีวัตถุเวทมากมายขนาดนี้ พวกเขาเริ่มสงสัยในตัวชายหนุ่มหนักขึ้น ทั้งสองไม่มีเวลามาตรวจสอบวัตถุแต่ละชิ้น ชายหน้าตะขาบจัดการกับอาวุธเวทอยู่ หนึ่งในสองคนที่เหลือรีบก้าวออกมายกแขนตั้งผนึกฝ่ามือปลดปล่อยพลังเต็มขั้นเพื่อหยุดวัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นไม่ให้ระเบิด
สองในสามติดพันกับการควบคุมการระเบิด เหลือเพียงหนึ่งที่กำลังไล่ตามชายหนุ่ม!
คนที่กำลังไล่ตามมาเป็นชายหน้าเหลี่ยมคางเหลี่ยม ใบหน้าของเขาไม่ได้ดูเข้มงวดเช่นคนทั่วไปที่มีโครงหน้าลักษณะนี้ ใบหน้าของชายผู้นี้ดูน่ากลัว มีรอยสักสีแดงบนหน้าผาก ดวงตาฉายแสงเย็นยะเยือก เพียงแค่ก้าวเดียวชายหน้าเหลี่ยมก็ตามหวังเป่าเล่อได้ทัน เขายกมือขวาขึ้นคว้าตัวหวังเป่าเล่อ
พวกเขายังคิดจะจับหวังเป่าเล่อเป็นๆ ชายหนุ่มได้แสดงให้ประจักษ์ว่าตนมีความสามารถเพียงใด ยิ่งกล้าแกร่งทั้งสามก็ยิ่งต้องการตัว
หวังเป่าเล่อฉวยประโยชน์จากการที่อีกฝ่ายต้องการตนแบบยังมีลมหายใจ ขณะที่ชายหน้าเหลี่ยมเอื้อมมือเข้ามาคว้า นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ หวังเป่าเล่อเลิกกลัวความตายมาตั้งแต่เหตุการณ์บนดวงจันทร์และตอนที่ทดสอบชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ความโหดร้ายทารุณที่เคยใช้รับมือกับศัตรูและกับตนเองนั้นฝากลึกอยู่ในกระดูก!
เขาเลือกระเบิดอาวุธเวทระดับเจ็ดกับวัตถุเวทกว่าร้อยชิ้นโดยไม่ลังเล อีกก้าวหนึ่งเขาก็พร้อมจะระเบิดอาวุธเวทระดับแปดที่เสียหายบนตัวแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจได้ยากเย็นอะไร
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแววดุร้าย ทันใดนั้นชุดเกราะอาวุธเวทระดับแปดก็ส่งสัญญาณทำลายตัวเอง มันเปล่งรัศมีรุนแรงเป็นวงกว้างออกมา ชายหน้าเหลี่ยมที่ตามมามีสีหน้าตื่นตระหนก หวังเป่าเล่อร้องคำราม ชุดเกราะอาวุธเวทแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนหลายสิบชิ้นพุ่งตรงไปทางชายหน้าเหลี่ยมราวกับลำแสงทำลายล้าง
เศษชิ้นส่วนที่ลอยตรงไปยังคงส่งสัญญาณเตรียมพร้อมระเบิดทำลายตัวเอง
“เจ้าจะจัดการกับระเบิด จะหลบ หรือจะตามข้าต่อดีล่ะ” หวังเป่าเล่อตะโกนเสียงต่ำขณะหลบหนีไปยังส่วนลึกสุดของสุสาน
เวรเอ๊ย! นัยน์ตาของชายหน้าเหลี่ยมฉายรังสีสังหาร เขาไม่เคยพบเจอผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่รับมือได้ยากขนาดนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานึกโกรธ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย จึงได้แต่หยุดไล่ตามและพยายามจัดการกับอาวุธเวทที่กำลังจะระเบิดทำลายตัวเอง!
โชคดีที่เศษชิ้นส่วนเศษชิ้นส่วนอาวุธเวททั้งหมดพุ่งตรงมาทางเดียว ทำให้เขาเพียงต้องเสริมพลังปราณเพื่อเพิ่มพลังควบคุมการระเบิด แต่ก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการที่จะมีเศษชิ้นส่วนลอดหูลอดตาไป!
แม้เศษชิ้นส่วนหลายสิบชิ้นที่พุ่งตรงมายังทิศทางเดียวจะทำให้ชายหน้าเหลี่ยมตื่นตระหนก แต่ก็ยังอดระแวงไม่ได้
หวังเป่าเล่อจะส่งเศษชิ้นส่วนให้กระจายออกไปเพื่อระเบิดแจ้งเตือนด้านนอกก่อนที่เขาจะทันจัดการก็ย่อมได้ แต่กลับไม่ทำเช่นนั้น ชายหนุ่มเดิมพันกับการที่พวกเขาต้องการปิดบังตัวตน อีกทั้งยังไม่อยากให้ด้านนอกล่วงรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายใน
ที่ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นก็เพราะกลัวว่าหากตัวตนของชายทั้งสามถูกเปิดโปง พวกเขาอาจจะทำลายนครใหม่ก่อนที่เจ้านครจะทันได้มาถึง
เขาทนรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นไม่ได้จึงไม่ลองเสี่ยง เลือกที่จะล่อเหล่าผู้บุกรุกไปทางจุดที่วัตถุเวทแห่งความมืดอยู่แทน จากนั้นเมื่อสบโอกาสจึงค่อยติดต่อไปด้านนอกเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้านคร
การทำเช่นนี้อาจเป็นการเปิดเผยว่าแม่นางน้อยเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ในสถานการณ์เป็นตายเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เลือกที่จะไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม การปล่อยเศษชิ้นส่วนไปทางเดียวนั้นเผยให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนพยายามจะทำอะไร หากเผชิญหน้ากับคนหัวช้า แผนการก็อาจไม่ถูกเปิดโปง แต่ผู้บุกรุกทั้งสามมาจากต่างดาว การเดินทางท่องจักรวาลมาไกลเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกนั้นไม่ใช่คนเขลา น่าจะผ่านอะไรมามากมาย
ผลก็คือทันทีที่หวังเป่าเล่อไปถึงส่วนลึกสุดของสุสาน ชายหน้าเหลี่ยมที่พยายามคุมเศษชิ้นส่วนของเกราะก็มองตามหลังชายหนุ่มไป ดวงตาของเขาฉายแสงวาบก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“หัวหน้า ข้าคุมไม่ไหวแล้ว อีกเดี๋ยวพวกข้างนอกคงรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ ตามเจ้านั่นไปก็ไม่ได้อะไร เราหนีกันดีกว่า แต่ก่อนกลับ ขึ้นไปทำลายเมืองข้างบนและหลอมเลือดเนื้อพวกมันเป็นแหล่งพลังงานกันเถอะ!”
ชายหน้าตะขาบที่พยายามคุมอาวุธเวทระดับเจ็ดอยู่พลันตาฉายแสงวาบ เขารีบพยักหน้าอย่างไม่ลังเลใจ
“บ้าจริง อุตส่าห์เสียเวลาไปตั้งเยอะ…ก็ได้ ไปกันเถอะ!”
พูดจบ พวกเขาก็เรียกพลังปราณที่ใช้คุมเหล่าวัตถุเวทที่กำลังระเบิดตัวเองกลับคืน เหมือนจะยอมแพ้เลิกไล่ตามหวังเป่าเล่อและมุ่งหน้าออกจากสุสานไป
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม ตื่นกลัวขึ้นมาจับจิต เขาหรี่ตาลงแต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด ก่อนจะผุดยิ้มเย้ยหยันและหัวเราะขึ้นเสียงดัง
“เชิญเลย เจ้าพวกโง่ ลูกแห่งข้าจั่วอี้เซียน ถ้าเจ้าทำตามที่ว่า ข้าจะยอมเลิกใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ เพราะจั่วอี้เซียนผู้นี้เพิ่งจะอายุได้สามขวบ น่าขันสิ้นดี ข้าไม่ได้สนใจเลยว่าพวกข้างนอกจะอยู่หรือตาย” เขายกมือขวาชูนิ้วกลางให้เหล่าคนที่อยู่ด้านหลัง
ชายหนุ่มรู้สึกว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอ จึงกัดฟันหยิบวัตถุเวทชุดสุดท้ายออกมาจากกำไลคลังเวท ก่อนจะโยนมันออกไปพร้อมสั่งการให้วัตถุเวทหลายสิบชิ้นระเบิดทำลายตัวเอง
“มาสิ ข้ายอมให้พวกเจ้าเรียกตัวเองว่าเป็นหลานแห่งข้า หลานแห่งจั่วอี้เซียนผู้นี้ ถ้าพวกเจ้าหยุดพวกมันไม่ให้ระเบิดได้!”
ชายสามคนทำหน้าบูดเบี้ยวเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงนั้นหมายถึงอะไร แต่ก็รู้ได้ว่าคงมีความหมายไม่ดีเป็นแน่ พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าทั้งหมดที่อีกฝ่ายทำไปนั้นเพื่ออะไร หากตนเป็นหวังเป่าเล่อ และต้องเลือกระหว่างยอมตายกับเสียสละนครทั้งนคร ทั้งสามคงจะเลือกอย่างหลังเป็นแน่
พวกเขากัดฟันแน่นและลงมือระงับการระเบิดอีกครั้ง ชายหน้าเหลี่ยมเดือดดาลจากความขายหน้า เขารีบหยุดการระเบิดของวัตถุเวทชุดใหม่ที่ชายหนุ่มโยนออกมาทันที
แต่จุดที่พวกเขาอยู่นั้นไม่ได้กว้างมาก ประกอบกับหวังเป่าเล่อได้โยนวัตถุเวทออกมามากเกินไปทำให้มีบางส่วนระเบิดเสียงดัง
แรงระเบิดทำให้ชายทั้งสามพรั่นพรึงใจ หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นกลัวด้วยเช่นกัน
บ้าจริง…ข้าทำเกินไป!
เมื่อเห็นว่าแรงระเบิดน่าจะส่งต่อกันเป็นลูกโซ่ ชายหน้าเหลี่ยมก็ร้องคำรามลั่น ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าผาก รอยสักสีแดงบนหน้าผากแยกตัวออก แสงสีแดงพวยพุ่งออกมาปกคลุมวัตถุเวทและคุมการระเบิดไว้ ราวกับว่ามีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาหลอมละลายวัตถุเวทลงทันใด
การกระทำของหวังเป่าเล่อทำให้ทั้งสามเลิกระแวง พวกเขามั่นใจแล้วว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจชะตากรรมของนครด้านบน ซึ่งดูเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลพอตัว
ขณะที่ทั้งสามพยายามคุมการระเบิดของวัตถุเวทอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขารีบทิ้งระยะห่าง มุ่งหน้าลึกเข้าไปยังกำแพงน้ำแข็งที่ส่วนลึกสุดของสุสาน
ชายหนุ่มจ้องมองกำแพงน้ำแข็งเบื้องหน้าที่กั้นทั้งสหพันธรัฐไม่ให้มุ่งหน้าไปต่อ และเป็นสาเหตุในการก่อตั้งนครแห่งนี้รวมถึงสร้างวงแหวนปราณเพื่อที่จะละลายมัน แววตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและกังวล เขาตะโกนก้องในหัว
“แม่นางน้อย รีบเปิดประตูเร็วเข้า! นี่สถานการณ์เป็นตายนะ!”
แม่นางน้องปิดปากเงียบ ดูเหมือนกำลังกัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา น้ำเสียงของนางฟังดูแล้วสัมผัสได้ถึงความละอายใจ
“เป่าเล่อ ฟังข้านะ จริงๆ แล้ว…”