หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 448 นครใต้ดิน!
การที่ทางออกหายไปแปลว่าผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามจะติดอยู่ภายในชั้นที่สองของโลกใต้ดิน แม้ว่าด้วยระดับการฝึกตนแล้วพวกเขาคงไม่ติดอยู่นานนัก แต่ก็พลาดโอกาสที่จะสังหารหวังเป่าเล่อไปอย่างฉิวเฉียด!
ชานหน้าตะขาบขณะนี้มีสีหน้าเหยเก เขาคำรามก่อนจะฉีกซากศพรอบๆ กายออกเป็นชิ้นๆ เมื่อชายหนุ่มกระโจนมาถึงจุดที่หวังเป่าเล่อเคยยืนอยู่ เขาก็ใช้กำปั้นทุบดินสุดแรง แต่กระแสน้ำวนได้อันตรธานไปนานแล้ว
“โลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับเรานัก…” ทั้งสามต่างก็จ้องหน้ากันด้วยใบหน้าถมึงทึงสุดขีด การเดินทางของพวกเขาจนถึงจุดนี้ราบลื่นมาตลอด พวกเขาไม่เคยพบเจออุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นการสังหารหมู่บนดาวพุธ หรือการชิงต้นกำเนิดดารามาจากดาวพุธเองก็ตาม มีเพียงบนดาวอังคารเท่านั้นที่อุปสรรคจำนวนมากเริ่มปรากฏขึ้น
หากว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นใครสักคนที่มีระดับการฝึกตนเท่าเทียมคนทั้งสาม ก็คงจะไม่เป็นไร ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นเพียงเจ้าอ้วนที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นเท่านั้น ทำให้พวกเขารู้สึกทั้งเจ็บทั้งอายอย่างเหลือจะกล่าว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องการจับเป็นหวังเป่าเล่อ ทว่าพอเข้ามาในโลกใต้ดิน และเห็นว่าโลกนี้ลำเอียงเข้าข้างหวังเป่าเล่อ ถึงขนาดที่ว่าพลังปราณของทั้งสามคนนั้นแทบจะไร้ประโยชน์
ขณะนี้การติดตามหวังเป่าเล่อไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว การที่หวังเป่าเล่อหลบหนีไปได้ทำให้แผนการไล่ล่าของพวกเขาหยุดชะงัก ทั้งสามไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคิดถึงความเป็นไปได้ว่าหวังเป่าเล่ออาจจะออกจากโลกนี้ไปได้ก่อนพวกเขา หากชายหนุ่มหลุดออกไปและไปบอกเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังควานหาตัวพวกเขาอยู่ ต้องไม่เป็นผลดีแก่คนทั้งสามอย่างแน่นอน
“บัดซบ!” ผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามล้วนโกรธจัด พวกเขาจ้องหน้ากันไปมาและดูเหมือนว่าจะตกลงกันได้ ทั้งสามคนล้มเลิกแผนการไล่ล่าหวังเป่าเล่อ ตั้งใจที่จะล่าถอยและหลบหนีแทน
พวกเขาไม่อยากเสี่ยง ทั้งสามตั้งใจว่าจะถอยกลับไปตั้งหลักที่ดาวบ้านเกิด แล้วจึงกลับมาใหม่พร้อมจำนวนคนที่มากกว่าเดิม จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนดาวดวงนี้ก็จะตกเป็นของดาวบ้านเกิดของพวกเขาไปเสียสิ้น
จากนั้นในฐานะผู้ที่พาทุกคนมายึดครองดวงดาว พวกเขาจะได้รับรางวัลมหาศาล มากพอที่จะผลักดันพลังปราณของพวกเขาให้บรรลุขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสามจึงล่าถอยอย่างเร่งรีบ ทว่าแม้แผนของพวกเขาจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ตอนที่เข้ามาในโลกนี้ พวกเขาไล่หลังหวังเป่าเล่อมาติดๆ ทำให้เข้ามาได้ง่ายดย มาบัดนี้ พวกเขาต้องการจะออกไป และจำเป็นต้องหาทางออกให้พบ เพราะหากหาไม่พบ พวกเขาจำต้องหาบริเวณที่เกราะป้องกันเปราะบางที่สุดและระเบิดเพื่อสร้างทางออกเอง
และการจะทำเช่นนั้นต้องใช้เวลา!
ผู้ฝึกตนทั้งสามกังวลยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะหนีไปก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่ ครั้งหน้าที่กลับมา พวกเขาจะปล้นจั่วอี้เซียนให้สิ้นเนื้อประดาตัวเลยเชียว!
เมื่อทั้งสามล่าถอยและล้มเลิกความตั้งใจที่จะไล่ล่าหวังเป่าเล่อต่อพวกเขาก็แยกย้ายกันไปในบริเวณต่างๆ ของโลกใต้ดินชั้นที่สองเพื่อมองหาทางออก ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเข้ามาในถ้ำใต้ดิน ดูเหมือนกำลังเดินอยู่บนทางเดินเคลื่อนย้าย ทางเดินนั้นสว่างเจิดจ้า ทำให้ยากที่จะมองสิ่งรอบข้างได้ชัดเจน โชคยังดีที่ระยะทางนั้นใช้เวลาไม่กี่อึดใจ เมื่อแสงสว่างเลือนหายไปและคลื่นความร้อนเข้ามาแทนที่ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อเมื่อเขาก้าวออกมาจากถ้ำคือนครโบราณขนาดมหึมา!
นครนี้คือชั้นที่สามของโลกใต้ดิน!
เมื่อมองจากไกลๆ นครแห่งนี้มีรูปทรงคล้ายศีรษะอสูรขนาดใหญ่ มีแรงกดดันรุนแรงแผ่กระจายออกมา รอบนครรายล้อมไปด้วยสิ่งก่อสร้างทรงสูงคล้ายปล่องไฟนับสิบที่ปล่อยควันสีดำขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อตัวกันเป็นเมฆสีดำบนท้องฟ้าที่ทำจากโคลน มองเห็นแสงแวบวาบของสายฟ้าได้เป็นระยะๆ ควันดำและเมฆดำหมุนวน ก่อให้เกิดเสียงที่ดังจนน่าสะพรึง ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจ
สถานที่แห่งนี้คือแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างจากสหพันธรัฐอย่างสิ้นเชิง!
ที่เรียกว่าเป็นอารยธรรมเพราะมีนครคล้ายคลึงกันนี้อย่างน้อยๆ สิบแห่งอยู่ภายในชั้นสามของโลกใต้ดิน นครทุกแห่งคล้ายคลึงกับนครที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เพียงแค่นครแห่งนี้นั้นใหญ่ที่สุด
ส่วนท้องฟ้าที่ทำจากโคลนนั้น แม้จะถูกปกคลุมด้วยเมฆดำ ก็ยังมีแสงเรืองเรื่อสีแดงที่ส่องลอดลงมาจากหมู่เมฆดำปกคลุมพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา นอกจากนครหลายต่อหลายแห่งแล้ว ยังมีภูเขาไฟใต้ดินจำนวนมากที่มีหินหลอมละลายไหลบ่าออกมาไม่หยุดยั้ง ภูเขาไฟเหล่านี้ถีบให้อุณหภูมิของที่นี่สูงขึ้นลิบลิ่ว กระทั่งสายลมอ่อนๆ ก็ยังร้อนเสียจนทำให้คนเป็นลมแดดได้ง่ายๆ การอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานอาจทำให้ความชื้นในกายระเหิดออกไปจนหมดเกลี้ยง จนกระทั่งร่างกลายเป็นเพียงศพที่แห้งกรอบ!
สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์อย่างยิ่ง เหมาะแค่กับสิ่งมีชีวิตใต้ดินเท่านั้น!
สิ่งมีชีวิตก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้มีอารยธรรมตั้งอยู่ มีอสูรร้ายมากมายอยู่ในนครเหล่านี้ อสูรพวกนี้แตกต่างจากที่หวังเป่าเล่อพบเจอในเหตุอสูรหลั่งไหล พวกมันไม่บ้าคลั่งเท่า และยังมีสติปัญญาอยู่บ้าง แถมยังมีประกายของวิญญาณปรากฏอยู่ในดวงตา
ทว่าพวกมันก็ไม่ฉลาดเท่าใดนัก ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังตื่นตกใจและยังรู้สึกได้ถึงคลื่นอารมณ์ที่ถาโถม เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นเกินจินตนาการของเขาไปไกลลิบ
นี่คือภายในของวัตถุเวทแห่งความมืดเช่นนั้นหรือ หรือเป็นสถานที่ที่อยู่ใต้พื้นผิวของดาวอังคารกันแน่ หวังเป่าเล่อค่อยๆ ทำใจให้สงบ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวปุบปับ เพราะขณะนี้เขายืนอยู่กลางนครที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ยืนอยู่บนสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นลานจัตุรัสสาธารณะที่ใหญ่โตที่สุดในเมือง!
ใจกลางของลานจัตุรัสสาธารณะนี้อยู่ห่างหวังเป่าเล่อไปไม่ถึงสามร้อยเมตร ตรงนั้นมีลมหมุนลูกใหญ่อยู่ ควันดำหลั่งไหลออกมาจากลมหมุนนั้น เสียงเพรียกที่สะท้อนก้องอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อดังออกมาจากลมหมุนลูกนั้น
ชายหนุ่มมั่นใจว่าสิ่งที่ส่งเสียงเพรียกหาเขาต้องอยู่ในลมหมุนอย่างแน่นอน!
แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่เขาไม่กล้าเคลื่อนไหว สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อเป็นกังวลคือพิธีกรรมที่ดำเนินอยู่ในบริเวณลานจัตุรัสสาธารณะแห่งนี้ มีอสูรดุร้ายรูปลักษณ์หลากหลายจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกมันล้อมรอบพายุหมุนเอาไว้และดูเหมือนกำลังสวดมนต์ ขณะเดียวกันก็มีร่างสองร่างลอยอยู่บนอากาศเหนือลมหมุนนั้น!
ร่างทั้งสองนั้นพร่ามัว หากเป็นคนอื่นคงไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน แต่เพราะเปลวไฟสีดำในดวงตา หวังเป่าเล่อจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัด
ชายหนุ่มไม่อาจเห็นร่างหนึ่งในสองนั้นได้โดยละเอียด เขามองเห็นเพียงชุดคลุมสีดำเท่านั้น และเมื่อมองใกล้เข้าไปก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีร่างมนุษย์อยู่ภายใน มีเพียงชุดคลุมสีดำที่ลอยอยู่!
ส่วนอีกร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ ชุดคลุมสีดำปริศนาเป็นเด็กชายที่มีใบหน้าสีเขียวแทนที่จะเป็นสีอมชมพูเช่นเด็กทั่วไป เขาดูเหมือนภูตผีที่ดุร้าย อสูรร้ายมากมายกำลังสวดมนต์ต่อเด็กชายและชุดคลุมสีดำนั้น อสูรจำนวนไม่น้อยมีลักษณะเหมือนซากศพ!
มองดูราวกับว่าชุดคลุมสีดำและเด็กชายเป็นผู้สร้างพวกมันขึ้นมากระนั้น!
ตรงหน้าชุดคลุมสีดำและเด็กชายมีกองโคลนที่เคลื่อนไหวอยู่ไปมา ราวกับว่ามันกำลังสลายตัว บนกองโคลนนั้นมีด้วงหน้าตาน่าเกลียดขนาดเท่าเล็บมืออยู่หลายตัว พวกมันเหมือนกำลังลอกคราบ และมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เลือดเนื้อกำลังถูกย่อยสลาย!
ราวกับว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่างที่ส่งให้ทุกชีวิตแปรสภาพไป!
เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เป็นไปได้ว่าข้างล่างนี้อาจไม่มีโลกอยู่ตั้งแต่ต้น แต่เพราะการมีอยู่ของวัตถุเวทแห่งความมืดและสิ่งที่มีเอกลักษณ์บางอย่าง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด ต่างก็พากันวิวัฒนาการภายใต้พลังของวัตถุเวทแห่งความมืด และค่อยๆ สร้างโลกใหม่นี้ขึ้นมา!
หากการคาดเดาของหวังเป่าเล่อถูกต้อง ก็จะถือเป็นคำอธิบายการเกิดเหตุอสูรหลั่งไหลและเหตุผลว่าทำไมเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เป็นเพราะในโลกใต้ดินแห่งนี้ ตราบเท่าที่วัตถุเวทแห่งความมืดยังคงอยู่ กระบวนการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดก็จะดำเนินต่อไป!
และหากการคาดเดานี้ถูกต้อง พายุหมุนกลางลานจัตุรัสสาธารณะที่หวังเป่าเล่อคิดว่าเป็นจุดกำเนิดของเสียงเพรียก ย่อมต้องเป็นตำแหน่งของวัตถุเวทแห่งความมืดอย่างแน่นอน!
ความคิดนี้แล่นวาบผ่านมโนสำนึกของชายหนุ่ม ทว่าตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวขึ้นกระทั่งถึงตอนนี้ หวังเป่าเล่อทำได้เพียงยืนคิดเท่านั้น ทันใดนั้นเอง ชุดคลุมสีดำและเด็กชายที่ลอยอยู่เหนือพายุหมุนก็ปรากฏตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!
ส่วนบรรดาอสูรร้ายที่ดูเหมือนกำลังสวดมนต์อยู่นั้น ก็พากันหันศีรษะมาจ้องมองหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว
เด็กชายนั้นเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อก็ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาซ่อนมือขวาที่เพิ่งงอกออกมาใหม่ในอ้อมกอดโดยไม่รู้ตัว และร่างของเขาก็อันตรธานไปในบัดดล…
หวังเป่าเล่อไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำของเด็กชายแม้แต่น้อย ขณะนี้ชายหนุ่มกำลังเหงื่อตกขณะคิดหาทางอธิบายว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เขาอยากพูดคุยกับผู้ที่อาศัยในอารยธรรมแห่งนี้และอธิบายว่าตนเองไม่ได้มาร้าย การที่เขามาที่นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น…
ทว่าก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้เปิดปากพูด ชุดคลุมสีดำที่ลอยอยู่ในอากาศก็เริ่มสั่น ในพริบตานั้น แสงสีหม่นคู่หนึ่งดูละม้ายคล้ายดวงตาก็ปรากฏขึ้นในชุดคลุมสีดำและจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ มันดูตื่นตกใจเผยให้เห็นคลื่นอารมณ์อันหลากหลายอย่างแจ่มชัด
“หวังเป่าเล่อ!”
เสียงแหบพร่าดังก้องอยู่ภายในชุดคลุมสีดำ ก่อนจะกระจายไปทั่วทุกทิศทาง หวังเป่าเล่อถึงกับตาเบิกโพลง สมองมึนงง ชายหนุ่มไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะรู้จักเขา ทว่าในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่
“เจ้าคือ…ข้ารับใช้แห่งความมืดเช่นนั้นหรือ”