หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 449 ข้าเข้าใจเจ้าลาผิดไป
คำว่า ‘ข้ารับใช้แห่งความมืด’ กระตุ้นจิตสังหารในดวงตาของชุดคลุมสีดำให้ลุกโชนขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะกลัวสถานะของหวังเป่าเล่อและพลังของเปลวไฟสีดำก็คงพุ่งเข้าโจมตีทันที เพื่อกำราบหวังเป่าเล่อและเปลี่ยนให้ชายหนุ่มกลายเป็นข้ารับใช้แห่งความมืดเสียเอง!
ในความเป็นจริงนั้น หลังจากที่ชุดคลุมสีดำรู้ถึงสถานะของหวังเป่าเล่อ เขาก็ยังหวังจะสังหารชายหนุ่มอยู่ เขาผิดหวังและโกรธเกรี้ยวในความล้มเหลวของหุ่นเชิด ทั้งยังคิดวางแผนโจมตีระลอกสองด้วย
ทว่าก่อนที่มันจะคิดแผนได้ หวังเป่าเล่อก็เดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองเสียก่อน
“เจ้าเรียกเขามาที่นี่!” ชุดคลุมสีดำหรี่ตาลง ก่อนจะก้มลงมองลมหมุนที่ใต้เท้าตน สายตาแสดงความเกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้พูดออกมา เพียงแต่ส่งกระแสความคิดไปเท่านั้น
คำตอบที่ลอยออกมาจากลมหมุนคือควันสีดำหนาแน่นและเสียงเพรียกหาหวังเป่าเล่อที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ เสียงนั้นดังก้องสะท้อนไปมาในศีรษะของหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน!
“บุตรแห่งความมืด…มาที่นี่…มาทางนี้…มาเถิด…”
“สังหารเขาเสีย!” ชุดคลุมสีดำหายใจถี่เร็ว มันยกมือขวามายาของตนขึ้นโบกแล้วเสียงเพรียกก็พลันอันตรธานไป ชุดคลุมสีดำส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำราวกับออกคำสั่ง เมื่อเสียงคำรามนั้นดังออกไป บรรดาอสูรร้ายในลานจัตุรัสสาธารณะก็เกิดบ้าคลั่งและพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที
ชายหนุ่มถึงกับผงะ และหลบอสูรร้ายเจ็ดตัวที่พุ่งเข้ามาพร้อมๆ กันจนพวกมันชนกันเองระเนระนาด แต่กระนั้นอาการบาดเจ็บที่ใบไม้สีดำฝากไว้เมื่อครู่ก็ยังไม่หายดี แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะฟื้นฟูตนเองได้เร็วเพียงใดก็ตาม การเคลื่อนไหวสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้ชายหนุ่ม เขากระอักโลหิตออกมา แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังรวดเร็วอยู่เช่นเดิม หลังจากที่หลบหลีกแล้วเขาก็ใช้ผนึกฝ่ามือเรียกอัสนีสวรรค์ทั้งสี่ออกมาพุ่งตรงไปหาอสูรเจ็ดตนนั้น
แต่เหล่าอสูรมีอยู่มากมายเกินไป หลายตนในนั้นอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นหรือกระทั่งขั้นกำเนิดแก่นใน หวังเป่าเล่อยังสัมผัสได้ถึงรัศมีอันรุนแรงซึ่งแผ่ออกมาจากที่ที่ห่างไกลออกไป ราวกับว่าพลังที่หลับใหลอยู่ก่อนหน้านี้กำลังตื่นขึ้นอย่างช้าๆ
แม่นางน้อย เจ้าจะมาหลับอะไรเอาตอนนี้นะ หวังเป่าเล่อเริ่มกังวล เขาคิดว่าตนเองช่างอับโชคที่ถูกผู้ฝึกตนจากต่างดาวสามคนไล่ล่า ตอนนี้เมื่อเอาตัวรอดมา ก็ยังต้องมาเจอสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่นี่อีก
โชคยังดีที่เจ้าชุดคลุมสีดำไม่กล้าโจมตีเขาตรงๆ ถึงกระนั้นอสูรร้ายเหล่านี้ก็แข็งแกร่ง ซ้ำร้ายหวังเป่าเล่อเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ด้วย
ชายหนุ่มขณะนี้วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่รู้ว่าจะทนได้อีกนานเพียงใด หากเขาสามารถฝ่าออกไปได้ ก็ยังยากที่จะหลุดออกจากชั้นที่สามของโลกใต้ดินแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาออกจากชั้นที่สามไปยังชั้นที่สองได้ ก็ต้องรับมือกับผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามอยู่ดี
หวังเป่าเล่อรู้สึกติดกับ ราวกับว่าไม่มีทางหนีออกจากสถานการณ์คับขันนี้ไปได้เลย…
ไม่จริง! ทางออกอยู่ใต้ดินอย่างไรเล่า! หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ แววตาบ้าดีเดือดปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายหนุ่ม เขารู้ดีว่าต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับแผนนี้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ที่นี่จะต้องกลายเป็นหลุมฝังศพของเขาอย่างแน่นอน ขณะนี้ทางเดียวที่เขาไปได้คือตรงไปหาลมหมุนซึ่งอยู่ห่างออกไปราวๆ สามร้อยเมตร!
หวังเป่าเล่อเชื่อมั่นในสัญชาติญาณของตนเอง สัญชาติญาณบอกเขาว่าเสียงเพรียกจากลมหมุนนั้นไม่ได้มุ่งร้ายต่อเขา เสียงเพรียกนั้นนำทางเขามาถึงที่นี่ และในเมื่อไม่มีทางอื่นแล้ว ทางเลือกเดียวก็คือต้องมุ่งไปหามัน!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คำรามด้วยเสียงอันดัง พลางหยิบโทรโข่งอาวุธเวทออกมาและส่งเสียงตะโกนผ่านโทรโข่งไปในทุกทิศทาง เสียงคำรามที่เพิ่มพลังโดยอาวุธเวทนั้นเกิดเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ คลื่นเสียงปรากฏขึ้นเป็นวงกระเพื่อมหลายชั้น อสูรร้ายนับสิบที่มุ่งเข้ามาหาเขาถูกทำลายสลายกลายเป็นเศษเนื้อไปในบัดดล
การเรียกใช้พลังปราณทำให้อาการบาดเจ็บของหวังเป่าเล่อยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เขากระอักเอาโลหิตสดๆ ออกมาอีก ชายหนุ่มไม่มีเวลาจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ เขารีบใช้ผนึกฝ่ามือและยกมือขึ้น ปล่อยยุงจำนวนมหาศาลออกมา กองทัพยุงพุ่งตรงเข้าใส่อสูรร้ายที่รายล้อมกันอยู่
หวังเป่าเล่อกัดฟันเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะมองตรงไปยังลมหมุนตรงหน้า เมื่อชุดคลุมสีดำเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังมุ่งหน้าไปยังลมหมุน มันก็พยายามจะสกัดเขา แต่ก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก ชุดคลุมสีดำใช้ผนึกฝ่ามือ ส่งผลให้อสูรร้ายยิ่งคลุ้มคลั่งหนักกว่าเดิม ฝูงอสูรพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อชนิดไม่เกรงกลัวความตาย ราวกับว่าพวกมันกำลังถูกควบคุม
เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเป่าเล่อได้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดไปแล้วถึงห้าครั้งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายของเขากำลังจะทานไม่ไหว สายตาก็เริ่มพร่าเลือน แต่เขาก็ยังไม่ได้ใช้เปลวไฟสีดำ!
ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่าเปลวไฟสีดำนั้นมีจำกัด การนำออกมาใช้อาจช่วยควบคุมสถานการณ์ได้บ้างก็จริง แต่ว่าหากเปลวไฟสีดำหมดสิ้นไปพร้อมบรรดาอสูร ก็อาจจะไปเข้าทางชุดคลุมสีดำพอดี
ในความเป็นจริงนั้น ลางสังหรณ์ของหวังเป่าเล่อถูกต้อง ชุดคลุมสีดำกำลังรอให้หวังเป่าเล่อใช้เปลวไฟสีดำ เพราะหากต้องการสังหารอสูรให้หมดก็จำเป็นต้องใช้ไฟจนหมดเช่นกัน เมื่อเปลวไฟสีดำถูกใช้ไปจนสิ้นแล้ว เขาจึงจะกล้าเข้าจู่โจม ทว่าขณะนี้ เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่เปลวไฟสีดำแม้แต่น้อย ชุดคลุมสีดำก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ตัวเขาเองก็สิ้นหวังอยู่พอประมาณเพราะไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่ภายใต้คำสั่งของเขา อสูรร้ายจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมก็พุ่งเข้าไปโจมตีหวังเป่าเล่อ
ในเวลาเดียวกัน เด็กชายผู้ซึ่งตกตะลึงเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อก็ไปปรากฏอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง เขาจ้องมองดูรอบกายอย่างหวาดกลัว เด็กชายระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่ากำลังมองหาสิ่งที่ทำให้เขาตื่นกลัวตั้งแต่ต้น
ทว่าเมื่อเห็นแล้วว่าไม่มีร่างที่น่าหวาดกลัวหรือรัศมีจากมัน เด็กชายก็ทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เขารู้สึกได้ว่าตนอาจจะกลัวไปเอง และตอนนี้ เขาก็กำลังจ้องเขม็งไปที่หวังเป่าเล่อด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม
จะมีปีศาจปรากฏออกมาขัดขวางทุกครั้งที่ข้าพยายามจะกลืนกินชายผู้นี้ ราวกับว่าชายผู้นี้สำคัญกับปีศาจตนนั้นเป็นอย่างยิ่ง…เพราะฉะนั้น วันนี้ข้าจะกลืนกินเขาและคิดบัญชีให้สิ้นสุดกันไปเสีย!
ดวงตาของเด็กชายเป็นประกายน่าสะพรึงกลัว เขาหันหลังก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ ริมฝีปากของเด็กชายม้วนขึ้นเป็นรอยยิ้มเยียบเย็นที่แสดงถึงความโหดเหี้ยมและกระหายการแก้แค้น เขาเคลื่อนที่เข้ามาประชิดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว!
แต่ชุดคลุมสีก็สัมผัสการมาถึงของเขาได้ในทันที!
“ไอ้คนโง่เอ๊ย!” ชุดคลุมสีดำสบถอยู่เงียบๆ และไม่ได้พยายามหยุดเด็กชาย ในสายตาเขา จากบรรดาวิญญาณวุธทั้งสาม เขาฉลาดที่สุด อีกสองคนหากไม่จำศีลอยู่เป็นนิจก็อับจนปัญญา เจ้าคนโง่คงไม่ได้ยินเรื่องที่เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อ ส่งผลให้ตัดสินใจเข้าจู่โจม
ช่างมันเถอะ ขอให้สูบเปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อให้หมดแล้วกัน!
ดวงตาของชุดคลุมสีดำเป็นประกาย เด็กชายผู้ซึ่งชุดคลุมสีดำเรียกว่าเจ้าโง่นั้นได้เคลื่อนผ่านฝูงอสูรร้ายมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อแล้ว จิตใจของเขาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและหฤหรรษ์ เมื่อกำลังจะพุ่งทะลุกายของหวังเป่าเล่อและดับเปลวไฟแห่งชีวิตของชายหนุ่มไปชั่วกาลปวสาน
ทว่าในวินาทีที่เขาเข้ามาประชิดตัวนั้น ก็มีเสียงคำรามดังสนั่นออกมาจากลมหมุนที่ชุดคลุมสีดำพยายามสะกดเอาไว้ เมื่อเสียงคำรามดังออกมา ก็มีแรงกดดันมหาศาลระเบิดตามออกมาจากภายใน
พลังนั้นทำลายผนึกของชุดคลุมสีดำทันที ทำให้เขาต้องผงะถอยหลัง ร่างกายของเขาก็เริ่มพร่าเลือนเหมือนเสียความมั่นคงไปชั่วขณะ เสียงหอบหายใจอย่างวิตกกังวลและเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดก็ดังออกมาจากชุดคลุมสีดำ
“สหายเอ๋ย เจ้าเป็นข้ารับใช้แห่งความมืดมาถึงหนึ่งยุคสมัยเต็ม เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่สำนักแห่งความมืดจะล่มสลายและพวกเราได้รับอิสรภาพคืนมา แต่นี่เจ้ากลับยังอยากจะเป็นทาสต่อไปอีก! เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่ากำลังกำลังแก่นของตัวเอง! เจ้าเสียสติไปแล้ว!”
“เจ้าจะไปทำสิ่งใดก็ไป ไม่ต้องมายุ่งกับข้า!” ชุดคลุมสีดำคำรามอย่างกราดเกรี้ยวก่อนจะใช้พลังสะกดลมหมุนอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็คานกำลังกันไว้ด้วยพลังเต็มพิกัด ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขึ้น เขารีบใช้เปลวไฟสีดำอย่างไม่รอช้า!
ชายหนุ่มพลิกตัวกลับก่อนจะรีบพุ่งเข้าใส่ลมหมุนตรงหน้า
ในเวลาเดียวกัน เด็กชายก็เข้ามาประชิดตัว…
และเพราะว่าเด็กชายพุ่งนำไป เขาจึงปะทะเข้ากับเพลิงดำในพายุหมุนที่เปลวไฟสีดำสร้างขึ้นมาเข้าอย่างจัง
เด็กชายนัยน์ตาเบิกโพลง เขาไม่สามารถหลบหลีกได้ทันเวลา เปลวไฟสีดำห้อมล้อมตัวเขาไว้ทันที เด็กชายส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ร่างกายของเขาผุพังลงอย่างฉับพลันขณะที่ล่าถอยพร้อมส่งเสียงตะโกนลั่น เด็กชายถึงกับต้องสละร่างกายครึ่งหนึ่งที่โดนเปลวไฟสีดำคลอกอยู่เพื่อความอยู่รอด
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงพุ่งตรงเข้าไปหาลมหมุน หาไม่แล้ว หากเด็กชายต้องการจะหนี มันก็คงไม่ง่ายเท่าการฉีกร่างตัวเองทิ้งครึ่งหนึ่ง
หลังจากที่หนีรอดมาได้ เด็กชายก็เริ่มร้องไห้ ร่างกายที่เหลือของเขาสั่นเทาเมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยความกลัวและตื่นตกใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขณะนี้เขารู้สึกขอบคุณเจ้าลาขึ้นมาอย่างเหลือล้น…
เด็กชายคิดว่าเขามองเจ้าลาผิดไป แม้ว่ามันจะกัดเขาอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะนิสัยดุร้าย แต่เป็นเพราะความเมตตา มันไม่อยากให้เขารีบรนหาที่ตายเร็วนักต่างหาก…
ขณะที่เด็กหนุ่มวิ่งหนีนั้น สายตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นอีกครั้งเมื่อเปลวไฟสีดำถูกปล่อยออกมาจนหมด ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่เปลวไฟสีดำปะทุออกมาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ราวกับว่าเขาได้แปรสภาพเป็นดาวหางพุ่งทะยานเข้าไปหาลมหมุน เมื่อเขาวิ่งผ่านอสูรตัวใด มันก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะถูกเปลวไฟสีดำเผาไหม้ไปเสียสิ้น