หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 450 นิมิตมืด
เปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อเองก็ริบหรี่ลงเช่นกัน และจากการกระทำที่เร่งรีบทั้งหมดนั้น อสูรดุร้ายจำนวนมหาศาลก็ทำให้เปลวไฟสีดำดับลง และหวังเป่าเล่อก็ดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด!
ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็กะจังหวะได้เหมาะเหม็ง แม้ว่าเปลวไฟสีดำจะดับมอดไป เขาก็ยังสามารถแทรกตัวเข้าไปในลมหมุนได้ ขณะที่ชุดคลุมสีดำตามเข้าไปไม่ทัน!
ทันที่ที่ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในลมหมุน ชุดคลุมสีดำก็ส่งเสียงกรีดร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังออกมา เสียงกรีดร้องนั้นดังสนั่นไปทั่วทั้งชั้นสามของโลกใต้ดิน เขย่านครทุกแห่งให้สั่นไหว แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว!
“โธ่สหาย ปล่อยให้เขาเข้าไปแล้วจะได้อะไร สำนักแห่งความมืดล่มสลายไปแล้ว และเหล่าบรรดาผู้ที่หากินกับจักรวาลต่างก็พากันล้มตายอย่างน่าอนาถไปสิ้น!”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ใส่ใจประวัติศาสตร์หรอกนะ แต่ในที่สุดพวกเราก็ได้มีเสรีภาพแล้ว ทำไมเราจึงจะต้องไปเป็นเครื่องสังเวยให้กับพิธีศพของสำนักแห่งความมืดด้วยเล่า”
“เจ้าควรจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่ทำลายสำนักแห่งความมืดนั้นขณะนี้เป็นเจ้าแห่งอาณาเขตดวงดาราไร้สิ้นสุดไปแล้ว!” ชุดคลุมสีดำกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวกราด และเพราะแรงโทสะทำให้เขาเผยร่างจริงออกมา เขาไม่ใช่ชายชราในชุดคลุมสีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นใบหน้าเหี่ยวย่นที่ปรากฏขึ้นเหนือชุดคลุมสีดำ ราวกับว่าชุดคลุมนั้นเป็นร่างกายของเขาก็ไม่ปาน!
เด็กชายปรากฏกายขึ้นข้างชุดคลุมสีดำด้วยสีหน้าฉงนสงสัย เหมือนว่าเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าใดนัก เด็กชายหันไปมองชุดคลุมสีดำสลับกับลมหมุนอยู่ไปมา ไม่มั่นใจว่าเหตุใดชุดคลุมสีดำจึงได้พูดเช่นนั้นออกมา
“เจ้าโง่!” ชุดคลุมสีดำยิ่งโมโหขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเด็กชาย แต่เด็กชายก็ไม่ยอมถูกว่าอยู่ฝ่ายเดียว
“ไอ้เจ้าเสื้อทุเรศ เจ้าด่าใครไม่ทราบ!”
“ด่าเจ้านั่นแหละ เจ้าแก่! จะแสร้งทำตัวเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาทำไมกัน!”
ในชั้นที่สามของโลกใต้ดินนั้น ชุดคลุมสีดำและเด็กชายต่างก็ด่าทอกันอยู่ไปมา ทั้งยังโจมตีใส่กันด้วย อสูรร้ายจำนวนมากที่ยืนอยู่และเพิ่งจะมาถึงต่างก็จ้องมองไปที่ผู้นำทั้งสองของพวกมันอย่างงุนงง พวกมันไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่าม ทำได้เพียงหลุบศีรษะลงต่ำและรอเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ในจักรวาลอันไกลโพ้นจากระบบสุริยะมีสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น ดูเหมือนว่าผู้คนจะพากันหลงลืมสถานที่แห่งนั้นไปเสียสนิท ราวกับว่ามันไม่เคยมีตัวตนมาก่อน มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นภายในกระแสน้ำวนที่ครั้งหนึ่งเคยส่งโลงศพออกไป
ทันทีที่เสียงนั้นดังออกมา ใบหน้าขนาดเท่ากับกระแสน้ำวนก็ปรากฏขึ้นภายในนั้น มันจ้องมองมายังทิศทางของระบบสุริยะ หลังจากนั้นครู่หนึ่งใบหน้านั้นก็ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหลับตาลง ดวงจิตของมันแผ่ออกไปในทุกทิศทาง เข้าไปผสานรวมกับจักรวาลผ่านวิธีการอันลี้ลับ…
ขณะนี้ภายในชั้นสองของโลกใต้ดิน ผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสามที่แยกย้ายกันไปหาทางออกก็เริ่มกังวลเพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าใด พวกเขาก็หาทางออกไม่พบ
ในที่สุดพวกเขาก็พบจุดหนึ่งที่เกราะป้องกันนั้นเปราะบางกว่าจุดอื่นๆ อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขาพยายามระเบิดมันออกเพื่อจะหนี โลกใต้ดินทั้งหมดก็เริ่มสั่นสะเทือน ท้องฟ้าแปรเปลี่ยน สายลมกรรโชกแรง หมู่เมฆก็เริ่มหมุนวน จุดดที่เปราะบางทั้งหมดเริ่มเสริมตนเองขึ้นมาทันที วิญญาณจากมหาสมุทรวิญญาณที่ชั้นแรก พร้อมทั้งซากศพที่ชั้นสองต่างก็พากันหยุดนิ่ง ราวกับว่าสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ไปเสียสิ้น
มหาสมุทรวิญญาณนิ่งสงบ ดินแดนหลุมศพเองก็นิ่งสงัด ในชั้นสาม แม้แต่เหล่าอสูรร้ายที่หลุบศีรษะลงต่ำก็หยุดเคลื่อนไหว ราวกับว่าดวงจิตอันน่าสะพรึงกลัวกำลังใช้วิธีการบางอย่างในการมาปรากฏตัวที่นี่ผ่านวัตถุเวทแห่งความมืด!
ตัวตนนั้นช่างมีพลังอย่างล้นเหลือ และการมาถึงของมันทำให้ทุกชีวิตกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดไปสิ้น!
กระทั่งเด็กชายและชุดคลุมสีดำที่กำลังฟาดฟันกันยังตกตะลึง ร่างของพวกเขาสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว ความกลัวและความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ภายในใจผุดกลับขึ้นมาพร้อมกับการมาถึงของดวงจิตนั้น ทันทีที่ความทรงจำเหล่านั้นกลับเข้ามาในใจ เด็กชายก็ถึงกับทรุดลงคุกเข่าก่อนจะกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว! โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดนายท่าน!” ขณะที่เด็กชายกรีดร้องอ้อนวอน ชุดคลุมสีดำเองก็สั่นสะท้านแรงขึ้น ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องขอความเมตตา เขาเพียงอุทานอย่างไร้เสียงด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ดวงจิตนี้… เป็นไปไม่ได้! นี่มัน… มัน… เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้! เขาตายไปแล้ว! การต่อสู้ครั้งนั้น… เขาตายไปตั้งแต่ตอนนั้น!”
ขณะที่เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงคุกเข่าขอความเมตตา ขณะที่ชุดคลุมดำสูดลมหายใจเข้าอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงจิตที่มาถึงกลับไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขา มันลอยผ่านเข้าไปในถ้ำเสียอย่างนั้น!
ตอนนี้หวังเป่าเล่อที่อยู่ในถ้ำกำลังสับสน ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกถึงการมาถึงของดวงจิตที่โหดร้าย ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเสียงเพรียกด้วยเช่นกัน ทุกๆ สิ่งดูเหมือนจะอันตรธานไปเมื่อเขาเข้ามาในลมหมุนนี้
ไม่เพียงแค่นั้น ภายในลมหมุนนี้ไม่มีทั้งสวรรค์หรือพื้นพิภพ มีเพียงความว่างเปล่าอันดำมืดเท่านั้น!
หวังเป่าเล่ออยู่บนเรือพายลำจ้อย ที่กำลังล่องลอยเข้าไปหาความว่างเปล่าอย่างช้าๆ เรือพายนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดและเก่าโบราณ มันมีสีดำสนิทกลมกลืนไปกลับความว่างเปล่าได้เป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงมองตนเองและเห็นว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าชุดเดิมอีกต่อไป แต่กลับอยู่ในชุดคลุมสีดำที่คุ้นตา!
ยิ่งไปกว่านั้น ตรงหน้าเขามีไม้พายอยู่หนึ่งด้าม หากจะพูดให้ชัดกว่านั้นก็ต้องบอกว่าเป็นไม้พายตะเกียง เพราะที่ปลายด้านหนึ่งมีตะเกียงที่ทำมาจากกระสอบสีเขียวแขวนอยู่!
เรือพาย ชุดคลุมสีดำ ไม้พายตะเกียง…
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเห็นสิ่งของทั้งสามก็พลันคิดไปถึงรูปสลักฝาผนังของเจ้าผินฟาง ภาพที่เขาเห็นเมื่อครั้งอยู่ที่ศูนย์วิจัยดาวอังคาร…
สิ่งเหล่านี้ให้เขาสับสนเป็นอย่างยิ่ง ความคิดของชายหนุ่มเริ่มพร่าเลือนเพราะความเงียบของความว่างเปล่าที่รายล้อมอยู่ เรือพายนั้นเคลื่อนที่ไปช้าๆ เมื่อประกอบกับความนิ่งสงบของสิ่งรอบข้าง หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจฝืนเปิดตาไว้ได้อีก เขานั่งลงบนเรือพายก่อนจะเอนหลังพิงข้างลำเรือและกำลังจมสู่ห้วงนิทราลึก
ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ชายหนุ่มได้ยินเสียงเพลงรางๆ ดังมาจากที่ไกลออกไป เสียงร้องเพลงนั้นไม่ใช่เสียงเด็ก แต่เป็นเสียงของคนชราที่ฟังดูอบอุ่น เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหู นำทางเขาเข้าไปสู่ดินแดนแห่งนิทรารมณ์
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”
เสียงเพลงนั้นดังก้องสะท้อนไปทั่ว ในไม่ช้าก็เข้าปกคลุมสติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อไปเสียสิ้น ศีรษะของเขาเอียงและเปลือกตาก็เริ่มขยับเพราะต้องการลืมตา แต่ชายหนุ่มเหนื่อยล้าเกินไป และเขาก็หมดสติไปในที่สุด…
ขณะที่เขาผล็อยหลับไปนั้น ดวงจิตที่เพิ่งมาถึงก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างเรือพายลำน้อยที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่ความ
ว่างเปล่า ดวงจิตนั้นค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นร่างมายาของชายชรา ยืนอยู่บนเรือพายพลางจ้องมองหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของชายชรานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ แต่สายตาของเขาอบอุ่น
เมล็ดพันธุ์หนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลกนี้…บางทีนี่อาจเป็นการกลับชาติมาเกิดใหม่…
ลืมมันไปเสียเถิด…ชายชราถอนหายใจเบาๆ พลางยกมือขวาขึ้นและกดลงตรงหว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ พลางพึมพำ
“นิมิตมืด…”
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาอยู่ในความฝัน เป็นความฝันอันสุดจะบรรยาย ในโลกแห่งความฝันนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างสวยงามที่ทำให้เขาไม่อยากตื่น
หลังจากเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงเพลงอีกครั้ง เสียงนั้นอบอุ่นและเป็นมิตรเช่นเคย และฟังดูราวกับว่าดังมาจากที่ห่างไกล เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูเขา และชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น
เขายังคงอยู่บนเรือพาย ทว่าเขาไม่ได้ถูกรายล้อมด้วยความว่างเปล่าอีกต่อไป ขณะนี้เขาอยู่ท่ามกลางจักรวาล!
ห้วงจักรวาลนั้นกว้างไกลไร้ขอบเขตกระทั่งหวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นละอองดวงดาว รวมถึงฝุ่นละอองอื่นๆ ที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มมองเห็นกระทั่งดาวหางที่พุ่งและม้วนตัวผ่านไป
ทุกสิ่งทุกอย่างดูแปลกใหม่เสียจนหวังเป่าเล่อตะลึงงันไปชั่วขณะ ในขณะเดียวกันเขามองเห็นชายชราคนหนึ่งยืนถือไม้พายตะเกียงอยู่ตรงหน้า ชายชราสวมชุดคลุมสีดำเช่นกัน!
ชายชราผู้นั้นใช้ไม้พายตะเกียงในการท่องไปในจักรวาล…
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”
เสียงแหบพร่าที่ฟังดูสงบนิ่งดังออกมาจากปาก เมื่อสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อตื่นแล้ว เสียงของชายชราก็หยุดนิ่ง เขาหันหลังกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแต่เปี่ยมด้วยเมตตาภายใต้ชุดคลุมสีดำ ความแก่ชราและความอบอุ่นปกคลุมสายตา ขณะที่เขาจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อก่อนจะยิ้มให้
“เป่าเล่อ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”