หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 453 ศิษย์พี่เฉินชิง
หวังเป่าเล่อจดจำได้ว่าใบหน้าของหญิงสาวงดงามเพียงใด แต่นางผอมเกินไปเสียหน่อย…ดูราวกับว่าหากลมพัดแรงๆ นางก็อาจล้มคว่ำไปได้ง่ายๆ
รูปร่างผอมบางทำให้นางมีภูมิต้านทานที่อ่อนแอ ในสภาวะหยั่งรู้อันแปลกประหลาดนี้ หวังเป่าเล่อยังรู้อีกด้วยว่าในชีวิตหน้าของนางนั้น นางจะเสียชีวิตเพราะเรื่องเดียวกันนี้
ขณะกำลังวาดรูปใบหน้าซากศพ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนต้องช่วยเหลือดวงวิญญาณดวงนี้ ชายหนุ่มวาดลายเส้นเพิ่มเติมไปอีกเล็กน้อยขณะที่วาดตามภาพซึ่งปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ…ในที่สุดเขาก็วาดเสร็จ เขามองไปที่ดวงวิญญาณหน้าตาอ้วนท้วนในกระจกแล้วก็ส่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อหวังเป่าเล่อโบกมือหนึ่งครั้ง วิญญาณที่ตื่นตะลึงนั้นก็หายลับไป และถูกแทนที่ด้วยวิญญาณดวงใหม่…
หวังเป่าเล่อเริ่มชีวิตการวาดภาพของเขาที่สำนักแห่งความมืด ชายหนุ่มวาดใบหน้าแห่งซากศพเป็นประจำทุกวัน
แม้ในวันที่งานน้อยที่สุดเขาก็ยังต้องวาดกว่าหนึ่งหมื่นใบหน้า ในวันที่งานเยอะอาจจะมากถึงสี่หรือห้าหมื่นใบหน้าทีเดียว แม้ว่าเขาจะยังไม่ชำนาญกับวิชานี้นัก ทว่าเขาก็ใช้เวลาไม่นานในการเรียนรู้และวาดได้อย่างคล่องแคล่ว ชายหนุ่มพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อไม่ต้องมองเข้าไปในกระจกเสียด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นและวาด ความสามารถนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบอันใหญ่หลวงในการต่อสู้
เวลาผ่านไปสองสัปดาห์ตั้งแต่หวังเป่าเล่อกลับมาที่สำนักแห่งความมืด ในช่วงเวลานี้ นอกจากวาดรูปใบหน้าซากศพแล้ว ใบหน้าที่เขาเห็นบ่อยที่สุดคือใบหน้าตกกระของศิษย์พี่ผู้นั้น
หลังจากที่ได้รู้ว่าหวังเป่าเล่อนอนหลับและฝันไปขณะที่ตามอาจารย์ไปนำทางวิญญาณ แถมยังตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีงุนงง ศิษย์พี่ของเขา เฉินชิง ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มช่วยหวังเป่าเล่อจัดลำดับความทรงจำ ทำให้หวังเป่าเล่อค่อยๆ ระลึกและทำความเข้าใจความทรงจำของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ความทรงจำของเขาก่อนเข้ามายังสำนักแห่งความมืดยังคงไม่ชัดเจน ทว่าความทรงจำของเขาในสำนักแห่งความมืดชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มรู้ว่าเขาไม่ใช่ศิษย์เพียงคนเดียวของหมิงคุนจื่อ แต่ยังมีศิษย์พี่อีกนับร้อย…
ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของหมิงคุนจื่อ พวกเขาอายุต่างกัน โดยคนที่อายุมากที่สุดฝึกตนมาเป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ชายผู้นั้นก็มีลูกศิษย์เช่นกัน หวังเป่าเล่อเป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด แม้ว่าจะอายุน้อยและเข้าสำนักมาช้ากว่าใคร แต่ระดับของเขาก็สูงใช่ย่อย
ส่งผลให้ศิษย์คนอื่นๆ จำนวนมากพากันเรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านลุงปรมาจารย์หรือชื่อที่แสดงความเคารพอื่นๆ เมื่อพบเจอเขาในสำนัก ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งกับชื่อนั้น และยิ่งส่งเสริมความมุ่งมั่นของเขาในการก้าวขึ้นเป็นประมุขสำนักแห่งความมืดด้วย!
ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าเส้นทางนี้เหมาะสมกับตัวเขาที่สุด ผู้นำแห่งสหพันธรัฐเป็นเพียงตำแหน่งในความฝันเท่านั้น แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อยเมื่อนึกย้อนกลับไป หวังเป่าเล่อเฝ้าเตือนตนเองว่าเป็นเพราะเขาตื่นขึ้นมาเร็วเกินไปสักหน่อย หาไม่แล้ว ชายหนุ่มเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องได้ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐอย่างแน่นอน
เมื่อความทรงจำเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืดเริ่มกลับคืนมา หวังเป่าเล่อก็จำสถานะของสำนักแห่งความมืดในจักรวาลแถบนี้ได้อีกด้วย สำนักแห่งความมืดควบคุมความตายและการกำเนิดใหม่ของจักรวาลแถบนี้ทั้งหมด ทุกสรรพสิ่งที่ดับสูญไปต้องอยู่ภายใต้อาณัติของสำนักทั้งสิ้น สำนักแห่งความมืดยิ่งใหญ่อย่างมาก เหนือกว่าอารยธรรมหรือสำนักอื่นใดทั้งปวง สำนักแห่งความมืดเป็นตัวแทนแห่งความตาย!
เห็นได้ชัดเจนจากชื่อของจักรวาลบริเวณนี้ เพราะมันมีชื่อว่า…จักรวาลแห่งความมืด!
จักรวาลที่เป็นของสำนักแห่งความมืด!
ที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งในจักรวาลแห่งความมืดเท่านั้น สำนักแห่งความมืดแผ่อิทธิพลไปทั่วเขตแดนทั้งเก้าในจักรวาล พิกัดดาวทั้งเก้านี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วอวกาศ มีผู้อาวุโสชั้นสูงซึ่งเป็นประธานประจำอยู่ที่ละคน ดินแดนเขตนี้เป็นของประธานหมิงคุนจื่อ!
แม้สำนักแห่งความมืดนั้นทั้งเข้มแข็งและทรงอิทธิพล แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งศัตรู ศัตรูคู่แค้นของสำนักก็คือ…ตระกูลที่ตั้งขึ้นมาจากการรวบรวมองค์กรและอารยธรรมที่ไม่ต้องการตาย เป็นผลให้พวกเขามารวมตัวกันและก่อตั้ง…ตระกูลไม่รู้สิ้นขึ้นมา!
พวกเขามีชื่อว่าตระกูลไม่รู้สิ้นเพราะคำว่า “ไม่รู้สิ้น” หมายถึงการไม่รู้จักความตาย แสดงถึงความต้องการมีชีวิตอยู่ชั่วกัลปาวสาน พวกเขาจะไม่มีวันตายโดยเด็ดขาด แม้ว่าพวกเขาจะร่วงหล่นหรือล่มสลาย ก็จะฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นของตนเอง มิใช่จากวัฏสงสาร ซึ่งร่องรอยที่เหลือจากชีวิตที่แล้วถูกลบเลือนไปจนสิ้นก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง!
ทั้งสองกลุ่มเปรียบดั่งชีวิตและความตาย พวกเขาปะทะกันอยู่หลายครั้งหลายคราในอวกาศ แม้กระนั้น ก็ดูเหมือนว่าการทะเลาะวิวาทของทั้งคู่จะมีแบบแผนเช่นกัน ไม่เคยมีสงครามขนาดใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย ทั้งคู่ดำรงอยู่กันอย่างสมดุล นั่นเพราะตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นไม่มั่นใจว่าจะกำราบสำนักแห่งความมืดได้หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ
สำนักแห่งความมืดนั้นไม่มีความทะเยอทะยานแต่อย่างใด ภารกิจเดียวของพวกเขาคือการนำทางวิญญาณคนตาย พวกเขาทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนแห่งเต๋าสวรรค์!
พวกเขาไม่นิยมความรุนแรง เพราะอย่างไรเสีย สมดุลก็เป็นส่วนหนึ่งของเต๋าสวรรค์เช่นกัน!
ทุกๆ อย่างนี้ควรจะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับหวังเป่าเล่อ แต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความทรงจำที่คุ้นเคยซึ่งผุดขึ้นมาชัดเจนอยู่ในใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็บรรลุถึงความเข้าใจพื้นฐานเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสำนักแห่งความมืดและจักรวาลแห่งนี้
ชายหนุ่มยังนึกได้อีกด้วยว่า อนุสาวรีย์ศิลายักษ์ที่ฝูงอสูรและผู้ฝึกตนกำลังก่อสร้างอยู่บนดาวดวงก็คือ…
“นี่คืออนุสาวรีย์ของบุตรแห่งความมืด!” ศิษย์พี่หน้าตกกระของหวังเป่าเล่อพูด สายตาจับจ้องอยู่ที่อนุสาวรีย์ซึ่งอยู่ไกลออกไป มีสำเนียงแห่งความภาคภูมิใจและความเร่าร้อนปะปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา
“บุตรแห่งความมืดนั้นเป็นทั้งสถานะและสัญลักษณ์!”
“เมื่อได้เป็นบุตรแห่งความมืด บรรดาศิษย์จึงจะสามารถเดินทางรอนแรมไปคนเดียวและได้รับอนุญาตให้นำทางวิญญาณคนตายได้…มีวิธีการเป็นบุตรแห่งความมืดอยู่สองทาง ทางแรกคือสิ่งที่พวกเราทั้งคู่ได้ทำ คือเข้าเป็นศิษย์ของหนึ่งในเก้าผู้อาวุโสชั้นสูง เมื่อทำเช่นนั้น ผู้คนก็จะเห็นเจ้าเป็นบุตรแห่งความมืดทันที!”
“แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นคิดเท่านั้น…ไม่ได้แปลว่าเจ้าเป็นบุตรแห่งความมืดจริงๆ การจะเป็นบุตรแห่งความมืดที่แท้จริงมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือวิธีที่สอง ได้แก่…การที่ชื่อของเจ้าถูกสลักอยู่บนอนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืด!”
“เจ้าทำเองไม่ได้นะ มีเพียงผู้อาวุโสชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิสลักชื่อลงไป หลังจากนั้นชื่อของเจ้าจะยังอยู่บนอนุสาวรีย์หรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการยอมรับจากเต๋าสวรรค์!”
“เป่าเล่อ หากเต๋าสวรรค์รับรู้ตัวตนของเจ้า ชื่อเจ้าก็จะยังคงอยู่บนอนุสาวรีย์ศิลา หาไม่แล้วอนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืดก็จะลบมันออกไปหลังจากที่อาจารย์สลักลงไป!”
“ชื่อของข้านั้น…อาจารย์จะสลักลงไปหลังจากที่อนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืดชิ้นนี้เสร็จสิ้น ข้าเชื่อว่าเต๋าสวรรค์จะต้องรับรู้และยอมรับข้า เจ้าเองก็เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ เป่าเล่อ!” ดวงตาของเฉินชิงส่องประกายกล้า ในวินาทีนั้น เขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่วาดใบหน้าซากศพอยู่เคียงข้างหวังเป่าเล่ออีกต่อไป เขาคือหนึ่งในศิษย์ของหมิงคุนจื่อ ผู้ที่แม้พลังปราณจะไม่ได้สูงที่สุด แต่ก็มีพรสวรรค์โดยกำเนิดและความสามารถที่เหนือกว่าใคร!
หลังจากที่ได้รับความทรงจำกลับคืนมา หวังเป่าเล่อก็จำได้ว่าพรสวรรค์ของเฉินชิงนั้นยอดเยี่ยมเสียจนไม่มีใครเทียบได้ติด ผู้อาวุโสชั้นสูงคนอื่นๆ ในสำนักแห่งความมืดกล่าวว่าเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทุกอย่างไปหมดแล้ว และอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงคนที่สิบได้ในอนาคต!
พลังปราณของเขาขณะนี้ก็แข็งแกร่ง ในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ สำนักแห่งความมืดจัดระดับพลังปราณเอาไว้เป็นห้าระดับ ได้แก่ ระดับจิตวิญญาณอมตะ ระดับดาวพระเคราะห์ ระดับดารานิรันดร์ ระดับจักรพิภพ และระดับจักรวาล!
ระดับทั้งหมดนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นขั้นๆ ตัวอย่างเช่น ระดับจิตวิญญาณอมตะ แบ่งออกเป็นขั้นรากฐานตั้งมั่น ขั้นกำเนิดแก่นใน ขั้นจุติวิญญาณ ขั้นเชื่อมวิญญาณ และขั้นจิตวิญญาณอมตะ!
ระดับดาวพระเคราะห์ ระดับดารานิรันดร์ และระดับจักรพิภพก็คล้ายคลึงกัน ระดับจักรวาลนั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะเป็นระดับปริศนาที่ยากจะหยั่งถึง จนถึงปัจจุบัน มีเพียงผู้อาวุโสชั้นสูงคนที่เก้าเท่านั้นที่ไปถึงระดับจักรวาลแล้ว!
ผู้อาวุโสชั้นสูงคนอื่นอยู่ในระดับจักรพิภพชั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น การจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรวาลนั้นท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
เฉินชิงนั้นยังอายุไม่ถึงสามร้อยปี แต่พลังปราณของเขาก็รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด เขาบรรลุขั้นไปเมื่อหกเดือนก่อน ก้าวจากระดับดาวพระเคราะห์ขั้นสุดท้ายสู่ระดับดารานิรันดร์ขั้นแรก!
พรสวรรค์แต่กำเนิดเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นพรจากฟ้าอย่างแท้จริง!
หวังเป่าเล่อมองไปที่ศิษย์พี่ผู้มากความสามารถ ผู้ซึ่งแย่งเอาความเด่นดังไปจนหมด และลอบถอนหายใจอยู่คนเดียว ชายหนุ่มรู้สึกเครียดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อความทรงจำย้อนกลับมา เขาก็เริ่มจำได้ว่าศิษย์พี่ทั้งชายและหญิงของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด คนที่เก่งที่สุดนั้นขึ้นไปถึงระดับจักรพิภพแล้ว
คนที่ล้าหลังที่สุดก็ยังอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์…ชายหนุ่มเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ของระดับจิตวิญญาณอมตะ เขายังไปไม่ถึงขั้นกำเนิดแก่นในด้วยซ้ำ…
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังท้อใจอยู่เงียบๆ นั้นเอง เฉินชิง ผู้ซึ่งเมื่อครู่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและอารมณ์อันลึกซึ้งก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาหันมองไปรอบข้าง ก่อนจะก้มศีรษะลงและจับไหล่หวังเป่าเล่อเอาไว้ นัยน์ตาของเขาฉายแววลึกลับก่อนที่จะกระซิบว่า “เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าพบวิญญาณของใครตอนวาดใบหน้าซากศพเมื่อวาน”
หวังเป่าเล่อจ้องมองศิษย์พี่ของเขา ผู้ซึ่งพยายามทำตัวลึกลับ แต่กลับมีสีหน้าหื่นกระหายขึ้นมาแทน ก่อนจะกลอกตา
“ศิษย์พี่…ข้าได้ความทรงจำของข้ากลับมามากแล้ว ท่านไม่ต้องแกล้งขู่ข้าอีกแล้ว…”
“เมื่อสรรพสิ่งตายจาก หากไม่ใช่เป็นการตายหมู่อันเกิดมาจากดวงดาวถูกทำลาย โดยปกติแล้วพวกเราสำนักแห่งความมืดไม่จำเป็นต้องไปนำทางดวงวิญญาณด้วยตัวเอง เต๋าสวรรค์จะชี้นำและนำทางพวกเขาไปสู่ห้วงเหววัฏสงสารของสำนักแห่งความมืดที่ใกล้ที่สุด แล้วดวงวิญญาณก็จะมาปรากฏในกระจกใบหน้าซากศพของพวกเรา ถึงตอนนั้นพวกเราจึงวาดหน้าให้พวกเขาเพื่อไปใช้ในชาติภพถัดไป…
“เมื่อพวกเราวาดใบหน้าซากศพนั้น เจตจำนงแห่งเต๋าสวรรค์จะเข้ามาบอกเราว่าวิญญาณเหล่านั้นควรมีใบหน้าเช่นไรในชาติภพต่อไป พวกเราวาดหน้าของพวกเขาได้ แต่จะไม่รู้ว่าชาติก่อนวิญญาณนั้นเป็นใครหรือหน้าตาเป็นเช่นไร พวกเราจึงไม่อาจจำใครได้เลย ไม่ว่าใครจะมาปรากฏบนกระจกก็ตาม!”
นัยน์ตาของเฉินชิงจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันรีหันขวาง แล้วยื่นหน้ามากระซิบอย่างแผ่วเบา
“แน่นอนข้ารู้ดีว่าไม่อาจมองเห็นชีวิตที่แล้วของดวงวิญญาณได้ แต่ข้ามองเห็นชีวิตถัดไปของเขาได้ เมื่อวานนี้…ข้าพบวิญญาณดวงหนึ่งและมองเห็นชีวิตถัดไปของนาง นางจะได้มาเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของข้า! นางจะอยู่เคียงข้างข้า เราจะรักกันจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต จนกระทั่งเวลาสิ้นสลาย พวกเราจะมีลูกด้วยกันสามคน…”
“ข้าถึงได้ตื่นเต้นอย่างไรเล่า ข้าใช้พลังของข้าไปร้อยละร้อยยี่สิบเพื่อวาดให้นางงดงามที่สุด ทั้งเรือนร่างและใบหน้าของนางก็ตรงตามรสนิยมความงามของข้าไม่มีผิดเพี้ยน!” เฉินชิงยิ้มอย่างพึงใจ เขามีสีหน้าเหมือนกำลังรอคอย
“ท่านทำเช่นนั้นได้หรือ!” หวังเป่าเล่อตกตะลึง เขาแทบไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน