หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 464 เทพเจ้าแห่งความตาย!
หนึ่งปีในนิมิตมืดเทียบเท่าหนึ่งวันในโลกแห่งความจริงเท่านั้น!
หวังเป่าเล่อหายตัวไปเพียงวันเดียว ตามความรับรู้ของผู้ฝึกตนต่างดาวทั้งสามที่ติดอยู่ในโลกใต้ดินชั้นที่สามที่วัตถุเวทแห่งความมืดสร้างขึ้นมา
ทั้งสามโกรธเกรี้ยวแน่นอก อยากจะฆ่าหวังเป่าเล่อให้ตายไปเสียที แต่ทั้งสามก็ไม่ได้ลุกลี้ลุกลนจนเสียกระบวน ประสบการณ์และความรู้บอกพวกเขาว่า โลกใต้ดินที่สร้างขึ้นโดยวัตถุเวทแห่งความมืดนี้เป็นโลกปิด เมื่อหาทางออกไม่ได้ ทั้งสามก็ตัดสินใจเดินหน้าลึกเข้าไปอีก เพื่อตามหาเป้าหมายของตนเองต่อไป
พวกเขาตั้งใจว่าจะตามหวังเป่าเล่อ หรือไม่ก็ทางออก ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง และมีโอกาสมากด้วยที่จะเจอทั้งสองอย่าง
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย พวกเขามีทรัพยากรพรั่งพร้อม มีเคล็ดเวทที่ผู้อาวุโสของอารยธรรมตนถ่ายทอดมา หนึ่งในนั้นเป็นเคล็ดเวทที่ใช้ปัดเป่าเวทอันตรายให้พ้นตัว พลังของเคล็ดเวทนี้ต้องใช้ผู้ฝึกตนหลายคนร่วมกันเสก แต่ก็ทำหน้าที่ได้เห็นผลชะงัดในการต้านพลังของวงแหวนปราณ
หากมีเวลาอีกหลายวัน ทั้งสามอาจหาทางออกจากโลกใต้ดินได้ หรือไม่ก็ตามหาหวังเป่าเล่อเจอในที่สุด
ทว่า… ทั้งสามไม่ได้คาดคิดเลยว่า ภายในวันเดียว เหตุการณ์จะกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
ตอนนี้ พวกเขาตรวจพบจุดบอดที่ชั้นสองของโลกใต้ดิน และกำลังรวมพลังกันเพื่อทลายกำแพงนั้นออกไป ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือนเมื่อพายุหมุนก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ในตอนแรก พายุหมุนนั้นหมุนอย่างช้าๆ แต่เมื่อทั้งสามเดินหน้าร่ายเคล็ดเวทต่อไป พายุนั้นกลับกรรโชกแรงยิ่งขึ้น
พายุที่โกรธเกรี้ยวแหวกอากาศตรงกลางออกเป็นทางเดิน แม้ตอนแรกจะดูยังไม่นิ่งนัก แต่สักพักพายุนั้นก็เริ่มหมุนวนด้วยอัตราเร็วคงที่ เชื่อมโลกชั้นหนึ่งและชั้นสองเข้าด้วยกัน
เมื่อทั้งสามไปถึงชั้นหนึ่งได้ ก็มีโอกาสมากที่จะสร้างทางออกจากโลกใต้ดินได้สำเร็จ พวกเขาตั้งใจว่าจะสร้างทางหนีทีไล่ไว้ให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงจะบุกตะลุยลงไปชั้นล่างเพื่อล่าหวังเป่าเล่อ!
“เมื่อเราไปถึงชั้นแรกและเปิดทางเสร็จเรียบร้อย เราจะผนึกมันไว้ก่อน จากนั้นค่อยไปตามหาไอ้อ้วนนั่นกัน! ชื่อจั่วอี้เซียนที่มันบอกคงไม่ใช่ชื่อมันจริงๆ แน่ นอกจากว่ามันจะโง่บัดซบจริงๆ มิเช่นนั้นมันจะบอกชื่อเสียงเรียงนามกับเราเพื่อสิ่งใดกันเล่า”
“ช่างหัวมันปะไร เดี๋ยวมันก็ตายหยังเขียดแล้ว! ไอ้หมอนี่มันก็แค่หนูสกปรกที่เอาแต่ขุดรูหนีหัวซุกหัวซุนเท่านั้น!”
ทั้งสามมีสีหน้าบูดเบี้ยวเหยเก พวกเขาไม่เคยเจอผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นที่มีกลเม็ดเด็ดพรายมากมายขนาดนี้ ซ้ำยังโหดเหี้ยมและมีความคิดแสนประหลาดจนทำให้จับตัวไม่ได้เสียที ไม่ว่าจะเป็นที่ดาวบ้านเกิดหรือตอนที่พวกเขาบุกไปปล้นสะดมอารยธรรมอื่น
เมื่อคิดว่าขั้นปราณของหวังเป่าเล่ออยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น สีหน้าของทั้งสามก็มืดมนลงอีก พวกเขายอมรับว่าประเมินหวังเป่าเล่อต่ำไปในคราวแรก ด้วยเหตุนี้จึงต้องการจับชายหนุ่มตัวเป็นๆ และไม่ใช้กระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงสุดที่ตนเองมี ทั้งสามต้องการให้หวังเป่าเล่อมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อที่จะได้นำตัวชายหนุ่มกลับดาวบ้านเกิดของตนได้
แต่การให้โอกาสนั้นกลับย้อนมาทำร้ายพวกเขาภายหลังเสียนี่
“เดี๋ยวเราจะเปิดทางก่อน แต่ไม่ต้องไปเสียเวลาตามหาตัวหมอนี่มาก เราต้องกลับไปดาวบ้านเกิดทันที เพื่อแจ้งข่าวให้ท่านผู้อาวุโสฟังว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง และหากไม่รีบกลับตอนนี้เราจะไปไม่ทันงานวันเกิดของท่าน ข้าว่าหีบศิลาที่พวกเราเจอที่อารยธรรมดาราเมฆาก็คงทำให้ท่านพอใจแล้ว หากนำข่าวเรื่องดาราจักรนี้กลับไปแจ้งร่วมด้วย ข้าว่าพวกเราจะต้องได้โอสถเชื่อมวิญญาณมาคนละเม็ดแน่นอน!” ชายหน้าตะขาบครุ่นคิด ก่อนพูดออกมาอย่างช้าๆ
ความรู้สึกแรงกล้าฉายขึ้นบนดวงตาของอีกสองคนเมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขากำลังจะเดินหน้าปลุกคาถาเวทต่อ เพื่อทำให้ทางเดินในพายุหมุนเสถียร
ทว่าทันใดนั้นเอง… เรื่องที่ไม่คาดคิดก็มาเยือน!
เสียงคำรามติดกันเป็นทอดๆ ปะทุออกจากทั้งพื้นดินและท้องฟ้าของโลกใต้ดิน สุสานที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นสั่นอย่างรุนแรง ขณะที่คลื่นอักขราจารึกพวยพุ่งออกจากชั้นสองของโลกใต้ดิน ราวกับว่าชั้นสองทั้งชั้นกลายสภาพไปเป็นผืนน้ำสองมิติ ที่ถูกหินโยนใส่จนกระเพื่อมเป็นคลื่นระลอก
ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ทำให้ทั้งสามตื่นตกใจ แต่ก่อนที่จะทันได้ตอบโต้ โลกทั้งใบก็พลิกกลับหัวในทันที ท้องฟ้ากลายเป็นผืนดิน ส่วนผืนดินที่เต็มไปด้วยหลุมศพกลับแทนที่ผืนฟ้าไปเสียได้!
คลื่นอักขราจารึกกวาดไปทั่วทั้งโลกใต้ดิน ทันใดนั้น หัวศพผียักษ์สองหัวปรากฏขึ้นใกล้ๆ พวกเขา หัวนั้นมีสีเขียวและน่าสยดสยองเหลือคณานับด้วยคมเขี้ยวและเขาแหลม ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยอักขราจารึกที่กะพริบสว่างสลับกับมืดดับ ทำให้ดูน่ากลัวและดุร้ายขึ้นไปอีก
ทันทีที่ศีรษะทั้งสองผุดขึ้นมา มันก็อ้าปากออกและพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนต่างดาวทั้งสาม หมายจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว!
หัวผีนั้นรวดเร็วมากจนหนีไม่ทัน ผู้ฝึกตนหน้าตะขาบที่เป็นผู้นำของกลุ่มและผู้ฝึกตนหน้ายาวเหมือนม้าที่อยู่ข้างกายรูม่านตาหดแคบ พยายามโยกตัวหลบไปข้างหลังอย่างเสียมิได้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของทั้งสองถูกหัวผียักษ์สองหัวกลืนกินเข้าไปทั้งตัว และอันตรธานหายไปในทันที!
ทันทีที่พวกเขาหายไป โลกใต้ดินก็กลับสภาพเดิมอีกครั้ง คลื่นอักขราจารึกมลายหายไปพร้อมกับปรากฏการณ์พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ตอนนี้เหลือเพียงผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมคนเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเขาสับสนด้วยความรู้สึกที่ตีกันมั่วไปหมด จิตใจสั่นไหวด้วยความตกใจกลัวเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ชายหน้าเหลี่ยมพยายามปล่อยพลังปราณของตนเองจนขีดสุดด้วยความหวาดกลัว เพื่อเพิ่มสัมผัสการรับรู้โดยจิต ก่อนถอยหลังด้วยท่าทีระแวดระวังสุดขีด
ชายผู้นั้นสร้างผนึกฝ่ามือมากมายไปด้วยขณะถอยหนี เกล็ดผุดขึ้นบนหน้าผาก ขอบตา และแขนขา มีทั้งหมดเก้าเกล็ดด้วยกัน เกล็ดทั้งหมดเป็นสีม่วง และแผ่พลังวิญญาณมหาศาลออกมา
นี่คือกระบวนท่าโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขา ทว่าการปล่อยพลังแต่ละครั้งจะดูดเอาพลังชีวิตของเขาออกมา ชายหน้าเหลี่ยมจึงมักไม่ใช้กระบวนท่านี้หากไม่จนมุมจริงๆ เขาเลือกใช้กระบวนท่านี้เพราะความสยดสยองที่เพิ่งเผชิญไป
ชายหน้าเหลี่ยมพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความระแวดระวัง เขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าราวสามสิบนาทีได้ ก่อนพบว่าทุกสิ่งรอบกายยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีอันตรายที่คาดไม่ถึงแสดงตัวออกมาแต่อย่างใด
เราเผลอไปปลุกกับดักอันใดในวัตถุเวทแห่งความมืดนี้เช่นนั้นหรือ ชายหน้าเหลี่ยมคิดสงสัย การปรากฏตัวของหัวผีและโลกที่กลับตาลปัตรนั้นน่าขนพองสยองเกล้ามาก สหายของเขาถูกกลืนกินเข้าไปทั้งเป็น ไม่อาจทราบชะตากรรมได้ว่าเป็นเช่นไร เขาทั้งกังวลและตื่นตกใจ แต่เมื่อดูเหมือนทุกอย่างจะปกติดี เขาก็เริ่มโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แม้จะยังคงสงสัยต้นตอของเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ตาม
พอเขาเริ่มสบายใจขึ้นเล็กน้อย หมอกมืดก็ปรากฏขึ้นโดยไร้สุ้มเสียง และเข้าห้อมล้อมผืนดินที่เต็มไปด้วยสุสานในทันที หมอกนั้นบางเบาในตอนแรก แต่ไม่กี่ลมหายใจต่อมาก็หนาแน่นขึ้นจนคลุมทั้งพื้นดินและท้องฟ้าของโลกใต้ดินทั้งใบเสียมืดมิด หากมองจากมุมบนจะเห็นว่าโลกทั้งใบได้กลายเป็นทะเลหมอกไปเสียสิ้น!
ภาพนี้ทำให้ผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมตกใจกลัว เขากำลังจะถอยหนี แต่ทันใดนั้นร่างทั้งร่างก็สั่นเทาอย่างไร้การควบคุม ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่าเขตแดนที่สุดขอบฟ้านั้นอาบไปด้วยทะเลโลหิตสีแดงฉาน เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงจันทร์สีเลือดก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า เหมือนหยดเลือดดวงใหญ่ที่สาดกระเซ็นลงไป
ดวงจันทร์สีเลือดปล่อยไอน่าขนลุกออกมา เสียงกระซิบแผ่วเบาสะท้อนก้องอยู่รอบกายท่ามกลางหมอกหนาจนมองสิ่งใดไม่เห็น
ชายหน้าเหลี่ยมพยายามฟังว่าเสียงกระซิบนั้นต้องการบอกสิ่งใด แต่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้ศัพท์ หัวใจเยือกแข็งด้วยความกลัวจับจิต ใบหน้าซีดเผือดเหมือนกระดาษขาว เขาระเบิดพลังปราณออกในทันใด เกล็ดสีม่วงบนร่างทั้งเก้าเกล็ดส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมา เหมือนไฟแห่งความกล้าท่ามกลางหมอกมืดแห่งความตาย เขาตะโกนลั่น “ผู้ใดกัน ผู้ใดพยายามทำให้ข้าตกใจกลัว”
ผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมรูม่านตาหดแคบขณะส่งเสียงออกไป เขาเห็นเค้าโครงของเรือเดียวดายลำหนึ่งในหมอกหนา เรือนั้นมีผู้โดยสารนั่งอยู่หนึ่งคน ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำสนิท ถือไม้พายตะเกียงส่องมาเบื้องหน้า โครงร่างของชายผู้นั้นพร่าเลือนด้วยหมอกที่ปกคลุม แต่ความกลัวจับจิตก็ยังเข้าเกาะกุมจิตใจของผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมไม่รู้คลาย
ราวกับว่า… เป็นความรู้สึกเกรงกลัวตามสัญชาตญาณที่ส่งออกมาจากก้นบึ้งของวิญญาณ ความกลัวนั้นเข้าผสมปนเปกับเลือดที่ไหลเวียนทั่วร่าง เป็นเหมือนมรดกทางสายเลือดที่ถ่ายทอด จากบรรพบุรุษเมื่อครั้งโบราณกาลมายังรุ่นสู่รุน เขารู้สึกกลัวภาพตรงหน้า ภาพของชายบนเรือเดียวดายในชุดคลุมสีดำ พร้อมตะเกียงในมือจับใจ!
ความรู้สึกนี้เหมือนกับคราที่ปุถุชนคนธรรมดาเห็นเทพเจ้าแห่งความตายผุดขึ้นจากโลกมรณะใต้ดินมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า!
ภาพนี้ทำให้เขาตัวสั่นเทา แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ เขาเห็นความตายมามาก และคร่าศัตรูด้วยน้ำมือของตนเองมามากเช่นกัน ดวงตาของชายหน้าเหลี่ยมแดงก่ำด้วยความหวาดผวา เขารู้ดีว่านี่คือเสี้ยววินาทีชี้เป็นชี้ตายสำหรับตัวเขา จึงคำรามก้องพร้อมกระโจนเข้าใส่เรือน้อยลำนั้น ชายหน้าเหลี่ยมสร้างผนึกฝ่ามือมากมาย เกล็ดทั้งเก้าบนร่างระเบิดลำแสงออก ลำแสงเจิดจ้าทั้งเก้าพุ่งไปข้างหน้า หมายทำลายเรือลำนั้นให้สิ้นซาก!
ลำแสงทั้งเก้าพุ่งเข้าปะทะเรือเดียวดายในหมอกมืด แต่เรือลำนั้นกลับเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ลำแสงนั้นพุ่งผ่านภาพเรือมายาไปปะทะพื้นดินที่อยู่ไกลในหมอก พร้อมเสียงระเบิดดังกัมปนาท
ความกลัวพุ่งเข้าเกาะกุมหัวใจของชายหน้าเหลี่ยมอีกครั้ง หน้าของเขาถอดสี ก่อนรีบถอยหลังหนีในทันที
ตอนที่เขากำลังจะเผ่นหนีไปนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น เอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ใบหน้าซากศพ!”