หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 468 กล่องศิลาลึกลับ
เมื่อมองของมีค่ามากมายที่กองอยู่ตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที้หลอมวัตถุเวทและอาวุธเวท เขาเคยเห็นกองทรัพยากรมากมายเป็นภูเขาเลากามาแล้ว แต่ก็ยังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ตนเองชิงมาได้ในครั้งนี้อยู่ดี
เขาหายใจไม่เป็นจังหวะเมื่อมองกองทรัพย์สมบัติตรงหน้า รวมถึงสิ่งของมากมายในกระเป๋าคลังเก็บ หลายชิ้นเป็นของจำเป็นในการหลอมโอสถ หลายชิ้นจำเป็นในการหลอมวัตถุเวท แต่ของส่วนมากนั้นหวังเป่าเล่อไม่รู้จักว่าใช้ทำอะไร กระนั้นพลังปราณที่สิ่งของเหล่านี้ปล่อยออกมาก็บอกให้เขารู้ว่าแต่ละชิ้นมีคุณค่ามหาศาล
การปล้นมันเป็นเช่นนี้เองหรือนี่ … ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกาย เขาเริ่มมองเห็นเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง แม้จะเป็นทางที่เสี่ยงอย่างถึงที่สุด แต่หากทำสำเร็จก็คงนอนตีพุงสบายไปได้อีกสิบปี
ข้าว่าในนี้มีไม่กี่อย่างที่เป็นของสหพันธรัฐ ของส่วนมากน่าจะชิงมาจากดาวอื่นในจักรวาลมากกว่า… ชายหนุ่มพยายามปรับลมหายใจของตนให้กลับมาสงบอีกครั้ง ดวงตาของเขากระจ่างใสขณะมองไปที่ของแต่ละชิ้น ก่อนเหลือบไปมองวิญญาณวุธทั้งสามและสรรพสิ่งรอบตัวอีกครั้ง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
หากคนภายนอกล่วงรู้ว่าข้าฆ่าผู้ฝึกตนจากต่างดาวที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณสามคนได้ ข้าจะได้อวยยศไหมนะ แถมข้ายังยึดชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวกลับไปให้สหพันธรัฐได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างไรข้าก็บอกคนอื่นเรื่องนี้ไม่ได้… หวังเป่าเล่อสองจิตสองใจ เขามั่นใจว่าจะได้รับเกียรติยศจากทางการแน่นอนหากประกาศว่าตนเป็นผู้จัดการสามคนนี้ แต่เรื่องวัตถุเวทแห่งความมืดก็จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเช่นกัน และแน่นอนว่ามันจะทำให้เขามีปัญหาต่อไปในอนาคต
แม้ปัญหานั้นจะไม่ทำให้เขาถึงชีวิต แต่ก็จะทำให้เขาติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเสื่อมเสีย เหมือนที่อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงบอกไว้ว่า คนเราเชื่อในความเมตตาของผู้อื่นได้ แต่ไม่ควรฝากฝังตนไว้กับความเมตตาของใคร ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรเปิดช่องให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบเราได้!
มิเช่นนั้นแล้วทุกคนรอบตัวจะต้องเดือดร้อน นอกจากนี้สหายหรือผู้อาวุโสที่เคยมีเมตตาต่อกัน ก็จะเริ่มคิดสกปรกและเข้ามายุ่งวุ่นวายได้!
หลังจากผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ว่าตนเองควรทำอย่างไร เขาคิดได้แล้วว่าจะไม่บอกใครว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ส่วนทรัพยากรของสหพันธรัฐที่ชิงมานั้น เขาจะใช้ไปก่อน แล้วค่อยนำกลับมาคืนภายหลังเมื่อมีอำนาจพอที่จะทำได้
หวังเป่าเล่อไม่ใช่พ่อพระผู้ใจบุญ แต่เป็นเพียงแมลงตัวจ้อยเท่านั้น เมื่อตัดสินใจได้ เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ชายหนุ่มหันไปมองวิญญาณวุธทั้งสามก่อนเอ่ยออกมา
“จากวัตถุดิบทั้งหมดนี้ มีชิ้นใดที่ใช้ฟื้นฟูวัตถุเวทแห่งความมืดได้หรือไม่”
ราชครูและเด็กชายมองสิ่งของตรงหน้าและรู้สึกโลภขึ้นมาทันที แต่หวังเป่าเล่อได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะซ่อมแซมเรือสำปั้นแห่งความมืดก่อน แม้ทั้งสองจะอยากได้ทรัพยากรเหล่านั้นมาซ่อมวัตถุเวทของตน แต่ก็ทำได้เพียงแสดงความต้องการผ่านแววตาเท่านั้น ชายร่างหนาดูสงบนิ่งเสมอต้นเสมอปลาย ดูเหมือนกำลังวิเคราะห์วัตถุดิบแต่ละชิ้นอยู่ จากนั้นเขาก็คารวะหวังเป่าเล่อก่อนพูดด้วยเสียงทุ้ม
“นายท่าน ว่ากันตามทฤษฎีแล้ว ของเหล่านี้ใช้ซ่อมแซมเรือสำปั้นแห่งความมืดได้ขอรับ โดยเฉพาะภูเขาชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาวที่จะช่วยอย่างมากในการทำให้เรือสำปั้นกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง แม้ชิ้นส่วนเหล่านี้จะมีคุณภาพธรรมดาก็ตามที
“วัตถุดิบตรงด้านนั้นมีพลังปราณสะสมอยู่ และมีคุณลักษณะพิเศษที่จะช่วยให้เรือกลับมาทรงพลังอีกครั้ง โดยเฉพาะชุดเกราะเหล่านั้น หากนำมาแยกชิ้นส่วนและสกัดเอาแก่นของมันออกมา จะนำมาใช้ซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดได้ขอรับ!
“ต่อไปก็ตะขาบตัวนี้ มันมีโลหิตพิเศษไหลเวียนอยู่ในกาย แต่ดูเหมือนจะได้รับการหลอมมาแบบผิดๆ หากนำมาสะกดไว้ภายในเรือสำปั้นแทน พลังของวัตถุเวทแห่งความมืดจะใช้ดูดซึมและพัฒนาขีดความสามารถมันได้ ทำให้มันทรงพลังยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียก็คือเมื่อรวมตะขาบนี้เข้ากับวัตถุเวทแห่งความมืดแล้ว จะไม่สามารถแยกออกมาได้อีกขอรับ
“ส่วนธาราจอมตะกละนั้น ข้าขอเสนอให้นายท่านใช้วัตถุเวทแห่งความมืดสยบมัน และลบรอยสลักออกจากกายของมัน เมื่อพลังปราณของท่านบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ ท่านจะสามารถใช้ธาราจอมตะกละนี้ท่องอวกาศได้ขอรับ!”
หวังเป่าเล่อรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ยินรายงานของวิญญาณวุธร่างหนา แต่ก็ปวดใจไม่แพ้กัน เขาดีใจที่สิ่งของเหล่านี้นำมาใช้ซ่อมแซมวัตถุเวทแห่งความมืดได้ แต่ก็เสียใจที่ต้องพรากจากพวกมันไปทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้งาน
“แล้วพวกวัตถุดิบที่น่ารักเหล่านี้จะทำให้เรือสำปั้นกลับมาใช้งานได้ร้อยละเท่าไหร่หรือ” หวังเป่าเล่อถามทันทีหลังจากที่สะกดความรู้สึกปวดใจลงไปได้
“ประมาณร้อยละสิบของรับนายท่าน!” วิญญาณวุธประจำเรือสำปั้นตอบหลังคำนวณอยู่สักพัก
“ร้อยละสิบเองหรือ” หวังเป่าเล่อปวดใจขึ้นอีกเมื่อได้ยิน ส่วนวิญญาณเรือสำปั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยและนิ่งเงียบ เด็กชายและราชครูที่อยู่ข้างกายกลับรู้สึกดีใจเมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองยังรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยว่าการกลับมามีเจ้านายให้รับใช้นั้นเป็นเรื่องดี อย่างน้อยก็สามารถกินอะไรก็ได้ที่ตนเองต้องการ เพียงแค่เอ่ยปากสั่งเท่านั้น ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นมากเลยทีเดียวเมื่อมาเป็นวิญญาณวุธ
ความคิดของหวังเป่าเล่อตีกันอยู่ในหัวสักพัก เขามองทรัพย์สินมากมายตรงหน้าและลูบมันทีละชิ้นด้วยความรัก เขายังตัดสินใจไม่ได้ จนวิญญาณเรือสำปั้นพูดสำทับอีกครั้ง
“นายท่านขอรับ เมื่อเรือสำปั้นคืนสภาพกลับมาร้อยละสิบ จะสามารถปล่อยพลังของอาวุธเทพระดับสูงออกมาได้ วัตถุดิบเหล่านี้ช่างไร้ค่าเมื่ออยู่เดี่ยวๆ ต่อให้เรือสำปั้นคืนสภาพกลับมาเพียงร้อยละหนึ่ง ก็ยังสามารถสร้างเกราะที่ต้านทานการโจมตีทุกรูปแบบจากผู้ที่มีปราณต่ำกว่าขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ สำหรับท่านที่เคลื่อนย้ายวัตถุเวทเหล่านี้ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ การมีเกราะป้องกันติดตัวถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วขอรับ!”
“ข้ารู้… งั้นก็หลอมสิ่งที่ควรหลอม สะกดสิ่งที่ควรสะกดไปเลยก็แล้วกัน แล้วก็… เปลี่ยนไอ้ที่มันควรจะเปลี่ยนด้วย!” หวังเป่าเล่อถอนใจ แต่ก็ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อแยกกระบี่เหาะเหินสามสี แถบผ้า เกล็ดที่เหลืออยู่สามเกล็ด แผ่นหยก โอสถทั้งหมด รวมถึงสมบัติเวทอีกสองสามชิ้นที่คิดว่าจะมีประโยชน์กับตนเองออกมา
“พวกนี้นำไปหลอมไม่ได้ ส่วนที่เหลือจัดการตามที่เจ้าเห็นสมควรได้เลย!” ชายหนุ่มพูดด้วยหัวใจเจ็บปวด เขาทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงรีบหยิบกล่องหยกขึ้นมาเปิดแต่ก็เปิดไม่ได้ จึงหันไปมองวิญญาณวุธเรือสำปั้นเพื่อถาม
“ไอ้นี่มีค่าใช่หรือไม่”
วิญญาณเรือสำปั้นยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาโบกมือเพื่อเก็บวัตถุดิบทั้งหมดที่หวังเป่าเล่ออนุญาตให้ใช้เอาไว้ รวมถึงตะขาบที่ต้องนำไปรวมกับวัตถุเวทแห่งความมืด และธาราจอมตะกละที่ต้องนำไปดัดแปลงด้วย หลังจากนั้นชายร่างหนาก็มองกล่องหยกด้วยดวงตาสงสัย
“กล่องศิลานี้… ข้าไม่ทราบว่ามันคือสิ่งใด ดูเหมือนว่าจะเอาไว้เก็บเครื่องประดับของสตรีกระมังขอรับ”
ขณะวิญญาณวุธเรือสำปั้นพูด วิญญาณราชครูชุดคลุมแห่งความมืดก็มีสีหน้าอิ่มเอมใจ เขากระแอมกระไอแต่ยังไม่พูดอะไรออกมา
หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองชายชรา หลังจากเดาได้ว่าราชครูเฒ่าต้องการอะไร เขาก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ พลางคิดว่าตนเองอ่านอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงมาอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อบัดนี้ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นสูงและเจ้าเมืองแล้ว เขาก็คุ้นชินกับการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อไม่ต้องคิดมากมายว่าจะทำอย่างไร เขาหันไปถามเด็กชายทันที
“เจ้ารู้หรือไม่”
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ถามเขา ราชครูชราก็มีสีหน้าประหลาดใจ เด็กชายข้างกายเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อนเอ่ยออกมา
“ข้าว่าคงเป็นกล่องเครื่องเขียนกระมัง…”
ชายชรายิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชาย เขาเงยหน้าขึ้นรอคำถามของหวังเป่าเล่อ คิดเอาไว้ว่าจะใช้คำตอบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าตนเองมีค่าที่สุดในบรรดาวิญญาณวุธทั้งสาม
“นั่นสิ ข้าก็ว่าคำตอบของพวกเจ้าทั้งสองมีเหตุผล คงใช่จริงๆ นั่นล่ะ” หวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยสีหน้าพอใจ เขาโยนวัตถุดิบจากกองที่เลือกเก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้ให้เด็กชาย
“นี่คือรางวัลของเจ้า!”
เด็กชายคว้าสมบัติเวทเอาไว้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะกลืนมันเข้าไปเต็มคำ วิญญาณของเขาเปล่งประกายขึ้นมาทันทีเหมือนได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี
“เอาละ พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้ ข้าจะเริ่มกระบวนการหลอมของข้าเองแล้ว เห็นทีข้าจะต้องขอตัวไปก่อน พวกเจ้าอยู่ที่นี่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้าให้มาก อย่าไปก่อกวนทำให้เกิดฝูงอสูรหลั่งไหลเข้าเล่า นครข้างบนสุสานใต้ดินนี้เป็นนครของข้า!” หวังเป่าเล่อโบกมือและกำลังจะลาจาก ราชครูกระวนกระวายใจเมื่อเห็นวิญญาณชายหื่นและเสี่ยวเปาได้รับรางวัล เขาจึงไม่เล่นลูกไม้อะไรอีกและพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน ข้ารู้ว่ากล่องหยกนั่นคือสิ่งใด”
“อ้าว ไม่ใช่กล่องเครื่องเขียนหรอกหรือ” หวังเป่าเล่อพออกพอใจอยู่ข้างใน แต่ทำเป็นดึงสีหน้าประหลาดใจ เขามองราชครูและหันไปมองเสี่ยวเป่า สายตานั้นทำให้เด็กชายตัวแข็งทื่อ ก่อนหันไปมองราชครูด้วยแววตาไม่พอใจ
เด็กชายคงไม่แสดงความไม่พอใจออกมา หากหวังเป่าเล่อไม่ได้ให้รางวัลเขา แต่ในเมื่อเขากินรางวัลนั้นเข้าไปแล้ว เสี่ยวเป่าจึงไม่พอใจที่ราชครูพูดหักหน้าตน
ราชครูถอนหายใจเมื่อรู้ว่าเจ้านายตนไม่ใช่คนที่จะเล่นลูกไม้ด้วยได้ง่ายๆ หวังเป่าเล่อใช้เพียงคำพูดไม่กี่คำในการทำให้เขาหมางใจกับวิญญาณไม้พายตะเกียงแก่หงำเหงือกที่ชอบทำตัวเป็นเด็กน้อย แต่จากอุปนิสัยของเจ้านายเขาคนนี้ วิญญาณชุดคลุมสีดำรู้ว่าหากตนยังเก็บข้อมูลไว้เป็นความลับ หวังเป่าเล่อจะต้องหาทางลงโทษตนอย่างแน่นอน
ดังนั้นราชครูเฒ่าจึงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนค้อมตัวคำนับลงต่ำและพูดอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน กล่องศิลานี้คือซองจดหมาย ข้างในน่าจะมีจดหมายอยู่ขอรับ!
“ในตอนที่ข้าลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ข้าเจอบันทึกโบราณที่เขียนความลับเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นเอาไว้ เอกสารหนึ่งในนั้นเขียนว่า เมื่อนานนมมาแล้ว เทพเจ้าแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นได้สร้างซองจดหมายพิเศษจากชิ้นส่วนต้นกำเนิดดวงดาว ทว่าผู้ที่สร้างเป็นใครนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้…”