หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 473 การกลับมาครั้งยิ่งใหญ่
ขณะที่สื่อและเครือข่ายวิญญาณทุกๆ เมืองบนดวงดาวต่างๆ ของสหพันธรัฐกำลังแพร่ภาพหวังเป่าเล่อ เรื่องในวัยเด็กของชายหนุ่มก็เริ่มเผยสู่สาธารณชนผ่านกลุ่มคนที่รู้เรื่องราว
“ข้าเป็นสามีเก่าของครูตอนประถมของเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อ ข้าเห็นแววว่าเขาจะขึ้นมาเป็นวีรบุรุษตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทั้งตั้งใจเรียนอยากหนัก คอยช่วยเหลือนักเรียนหญิงที่อ่อนแอ ช่างเป็นคุณสมบัติของบุคคลที่น่ายกย่อง! นอกจากนี้ยังพาเพื่อนๆ ลดน้ำหนักอยู่เป็นประจำ ช่างเป็นเด็กดีเสียเหลือเกิน เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อเตรียมร่างกายเพื่อนๆ ให้พร้อมสร้างความดีความชอบให้แก่สหพันธรัฐ!”
“ข้าเป็นเพื่อนรักของเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อ นั่งอยู่หลังเขาในห้องเรียนมาสามปี เขาเป็นแรงบันดาลใจของข้าตลอดทั้งสามปี เขามีความสำคัญกับชีวิตข้ายิ่งนัก เป็นหวังเป่าเล่อผู้นี้เองที่สอนข้าให้คอยพัฒนาตนอยู่เสมอ!”
“เจ้าเมืองหวังเป่าเล่อเคยจีบข้า ข้าไม่อยากขวางอนาคตเขาเลยบอกปฏิเสธไป แต่ตอนนี้ข้าอยากบอกว่า หวังเป่าเล่อ ข้ารอเจ้าอยู่ที่นครปักษาเพลิงนะ!”
เรื่องราวมากมายเริ่มผุดขึ้นและแพร่กระจายผ่านสื่อต่างๆ เรียกความสนใจจากประชาชนได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีเสียงเห็นต่างผุดขึ้นมาเช่นกัน บ้างก็ว่าหวังเป่าเล่อเป็นโรคจิต บางคนบอกว่าตอนเป็นเด็ก ชายหนุ่มคอยตีสนิทแต่คนมีอำนาจเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัว บางส่วนบอกว่าเขาเป็นอันธพาลในโรงเรียน…
ข่าวด้านลบโดนกระแสชมเชยกลบไปหมด แทบไม่ได้พื้นที่ในสื่อเลย พิธีกรคนหนึ่งในเครือข่ายวิญญาณออกมาตีข่าวเรื่องการเลื่อนขั้นของชายหนุ่ม
“สหายเก่า เจ้าจำข้าได้ไหม ข้าเต๋าน้อยเอง ข้ามาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เคยผ่านอะไรกับเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อมามาก เคยรายงานข่าวสุดพิเศษไปหลายเรื่องแล้ว วันนี้รอติดต่อชมกันให้ดีเพราะข้าจะพาพวกท่านเข้าไปในโลกของเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อเพื่อจะได้รู้จักเขาให้มากขึ้น!” เต๋าน้อยผู้ที่เคยเป็นพิธีกรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ใช้โอกาสนี้กลับไปที่สำนักศึกษาเต๋าอีกครั้ง เขากลับไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ในสำนักพร้อมรายงานข้อมูลสุดพิเศษเกี่ยวกับชีวิตวัยเรียนของหวังเป่าเล่อไปด้วย อาจจะฟังดูเกินจริงไปสักหน่อยแต่ก็ดังระเบิดเลยทีเดียว
การเลื่อนขั้นครั้งนี้บรรลุเป้าหมายที่สหพันธรัฐตั้งไว้ นั่นก็คือการดึงความสนใจจากประชาชน โศกนาฏกรรมบนดาวพุธจมหายเข้าไปลึกสุดในใจ ไม่ได้มาปรากฎเด่นชัดอยู่ตรงหน้าหรือในหัวอีกต่อไป
เมื่อหวังเป่าเล่อพบว่าทางสหพันธรัฐตีข่าวการเลื่อนขั้นของตนผ่านเครือข่ายวิญญาณและข้อความเสียง เขาก็ตื่นเต้นดีใจ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านบทความข่าวเกี่ยวกับตัวเองบนเครือข่ายวิญญาณพลางลูบท้องหยิบขนมกินพร้อมหัวใจอันพองโต
อาจเป็นเพราะอารมณ์ดีจนเผลอกินมากเกินไป หรือเพราะไม่ได้ออกกำลัง หรือเพราะหลี่หว่านเอ๋อร์ใกล้จะบรรลุขั้นการฝึกตนจึงเก็บตัวฝึกวิชาทำให้มาช่วยเขาออกกำลังกายไม่ได้ ชายหนุ่มจึงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขณะลูบหน้าท้อง จากประสบการณ์การลดน้ำหนักมากมายทำให้หวังเป่าเล่อบอกได้ว่า…ตนอ้วนขึ้นอีกแล้ว
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุบเอาด้วยพลังทั้งหมดเมื่อพบว่าตนอ้วนขึ้น ใจนึกอยากจะโยนน่องไก่ในมือที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งทิ้ง แต่ครุ่นคิดอยู่สักพักก็ไปยืนมองรูปร่างตัวเองในกระจก พอพบว่ายังดูผอมเพรียวอยู่ก็ลังเลใจขึ้นมา
นี่จะเป็นน่องสุดท้ายของวันนี้ กินเสร็จ ข้าจะเริ่มลดน้ำหนักวันพรุ่งนี้! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น มองดูน่องไก่ในมือราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน เขากัดกินหมดเกลี้ยงภายในสองสามคำ หลังจากนั้นก็นั่งลงสูดหายใจลึก นัยน์ตาฉายแววมุ่งมั่น
เป็นคนรูปงามที่สุดในสหพันธรัฐก็ต้องคอยรักษารูปลักษณ์ของตัวเองไว้ น่าปวดหัวจริงๆ หวังเป่าเล่อก้มมองหน้าท้องตนเอง ตระหนักแล้วว่าหลายวันมานี้ตนปล่อยตัวมากเกินไป แม้ว่าหลังจากยกระดับนครใหม่ขึ้นเป็นเขตนครพิเศษแล้วภาระงานจะมากขึ้น แต่เขาก็มีประสบการณ์จากการขยายนครอยู่สองสามครั้งรวมทั้งการแก้ปัญหาเหตุอสูรหลั่งไหลในสุสานใต้ดิน ทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผน
จินตั้วหมิงและคนอื่นๆ เองก็ได้เลื่อนยศและตำแหน่ง ทำให้มีอำนาจในมือมากขึ้น หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ตนก็จะมีเวลาว่างล้นเหลือ
ข้าจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ได้… หวังเป่าเล่อลูบหน้าผาก นั่งคิดอยู่สักพักก็ตัดสินใจจะเดินทางกลับโลก เขาตั้งใจจะกลับโลกตั้งแต่กลับมาถึง แต่เพราะหลี่หว่านเอ๋อร์ยังเก็บตัวฝึกวิชาประกอบกับการยกระดับนครทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจจะดูแลการจัดการภายในนครไปสักพักก่อน
กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าของข้ายังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น ข้าต้องกลับไปเลือกเคล็ดเวทขั้นกำเนิดแก่นในที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…น่าเสียดายที่เคล็ดเวทในนิมิตมืดมีความข้องเกี่ยวกับปราณมืดแทบทั้งหมด ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับปราณมืดก็ต้องบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะก่อนถึงจะฝึกได้…ช่างดูถูกขั้นกำเนิดแก่นในเสียจริง หวังเป่าเล่อถอนหายใจ
แม้การกลับไปเอาเคล็ดเวทที่สำนักจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่หากมีแค่เรื่องนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปด้วยตนเอง ชายหนุ่มพูดคุยกับบิดามารดาผ่านแหวนสื่อสารเป็นพักๆ แต่เขาไม่ได้เจอทั้งสองมานานแล้ว
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงคิดอยากกลับโลกไปหาพ่อแม่และรับเคล็ดเวทที่สำนักศึกษาเต๋า มีอีกเรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจเขาเช่นกัน ชายหนุ่มกำลังคิดว่าควรจะให้พ่อแม่ของตนพักอยู่ที่นครปักษาเพลิงต่อไปดีหรือไม่
แม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับคนแก่ทั้งสองที่จะออกจากบ้านเกิด แต่ด้วยสถานะและขั้นการฝึกตนที่มากขึ้น ทั้งด้วยความรู้และความเข้าใจสิ่งต่างๆ หวังเป่าเล่อคิดว่าแม้สหพันธรัฐจะปลอดภัย แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นโศกนาฏกรรมบนดาวพุธขึ้น
นอกจากนี้ ถึงแม้ระบบการปกครองในสหพันธรัฐจะดูมั่นคงดี แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่ามีหลายคนที่คิดอิจฉา มีความแค้นฝังใจ หรือเห็นไม่ตรงกันกับเขาอยู่
หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจว่านครปักษาเพลิงจะปลอดภัยพอหรือไม่ เขาคงวางใจไม่ได้แม้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะส่งคนไปช่วยคุ้มกันอย่างลับๆ ก็ตาม
ข้าจะคุยกับท่านแม่ คงจะดีถ้าพวกท่านย้ายมานครศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นน่าจะปลอดภัยกว่า หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุป เขาจะกลับไปคุยกับมารดา ส่วนบิดาจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ตามความเข้าใจของชายหนุ่ม ในเมื่อป้าข้างบ้านเรียกบิดาเขาว่าตาแก่หวัง บิดาคงจะไม่ได้เป็นใหญ่ในครอบครัวสักเท่าไหร่
สงสารท่านพ่อจัง โลกใบนี้ช่างโหดร้าย ตาแก่หลี่ ตาแก่หลิว ตาแก่จางข้างบ้านก็ฟังดูไม่มีปัญหาอะไร แต่พอพวกเขาเรียกตาแก่หวังข้างบ้านละก็… หวังเป่าเล่อส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ ชายหนุ่มส่งคำร้องไปยังเจ้านครดาวอังคาร จากนั้นก็เรียกกงเต๋า จินตั้วหมิง หลินเทียนหาวและคนอื่นๆ มาฟังคำสั่ง ถัดมาในตอนเย็น เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาก็มาส่งเขาขึ้นเรือบินอวกาศของเขตนครพิเศษดาวอังคาร
ในฐานะที่เป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ทุกๆ การกระทำของเขาจำต้องรายงานให้สหพันธรัฐทราบ ทางสหพันธรัฐรับตารางการเดินทางของชายหนุ่มมา กองทัพประจำดาวอังคารจัดแจงเรือบินคุ้มกันสี่ลำให้เดินทางไปพร้อมด้วย
เรือบินสี่ลำนั้นบินรอบล้อมเรือบินหลักขณะท่องไปในอวกาศ เมื่อผ่านดวงจันทร์ เรือบินอีกสามลำจากฐานทัพบนดวงจันทร์ก็บินตามไปด้วยคำสั่งของสหพันธรัฐ บัดนี้เรือบินทั้งแปดลำกำลังพุ่งทะยานไปยังโลก
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในเรือบินหลัก เขาเตะเจ้าลาที่กำลังเลียพื้นเรือบินด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าอยากลองแทะชิมดูสักนิด จากนั้นก็เลื่อนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าดวงดาวสีฟ้าดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แววตาของชายหนุ่มก็แสดงออกชัดเจนว่าคิดถึงบ้านเกิด
ชายหนุ่มผุดคิดถึงตอนออกจากโลกครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเขายังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น เป็นเพียงขุนนางระดับห้าชั้นรอง เดินขึ้นเรือบินมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารไปพร้อมความฝัน เข้าประจำการในฝ่ายการศึกษา ฝ่าฟันผ่านการทดสอบมากมายกว่าจะมายืนในจุดนี้ได้
ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ระดับขั้นการฝึกตนบรรลุมาถึงขั้นกำเนิดแก่นใน สถานะและตำแหน่งในตอนนี้และตอนนั้นช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
จะได้กลับบ้านแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เรือบินลำที่เขาอยู่กำลังมุ่งหน้าไปยังโลกพร้อมเรือบินอีกเจ็ดลำที่บินอยู่ล้อมรอบ ไม่นานก็ผ่านวงแหวนปราณของโลกเข้าไปยังชั้นบรรยากาศ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังท่าอากาศยานประจำนครหลวงของสหพันธรัฐ!
ทางสหพันธรัฐเตรียมคณะต้อนรับที่อากาศยานไว้รอ คนที่มารอต้อนรับกว่าร้อยคน กำลังมองเรือบินที่แล่นลงจอดด้วยรอยยิ้ม เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นไปทั่ว กลุ่มคนที่ปรากฎตัวเป็นอันดับแรกคือนักการยุทธ์กว่าร้อยคนจากเรือบินคุ้มกันเจ็ดลำที่รับหน้าที่ปกป้องหวังเป่าเล่อ พวกเขาวิ่งออกมาตรวจตรารอบๆ หลังจากมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างปลอดภัยดี ประตูเรือบินหลักก็ค่อยๆ เปิดออก
ทันทีที่ประตูเปิด หวังเป่าเล่อที่เพิ่งจัดแจงชุดของตนเสร็จก็ตีหน้าขรึม ค่อยๆ เดินลงจากเรือบิน เจ้าลาเดินตามหลังมาด้วยความตื่นเต้น มองไปรอบๆ ไม่หยุดเพราะทุกอย่างรอบตัวดูแปลกใหม่ไปหมด
“เจ้าเมืองหวัง ขอต้อนรับกลับโลก!” คณะต้อนรับก้มหัวทักทายทันทีเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ!
ผู้ที่นำคณะต้อนรับคือชายวัยกลางคนขั้นกำเนิดแก่นใน เขาแย้มยิ้มอบอุ่นพร้อมกุมมือก้มหัวทักทายหวังเป่าเล่อ