หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 474 กลับบ้าน
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าชายตรงหน้าเป็นใคร แต่เขาก็ทำงานในฝ่ายปกครองสหพันธรัฐมานานจนเคยชินกับมารยาททางสังคมในวาระเช่นนี้ ชายหนุ่มเดินลงจากเรือบิน โค้งคำนับให้กับกลุ่มคนที่มารอต้อนรับ จากนั้นก็กุมมือก้มหัวทักทายชายวัยกลางคนพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อชายที่เป็นหัวหน้าต้อนรับเห็นหวังเป่าเล่อก้มหัวทักทายตนก็ยิ้มออกมา เขาได้ยินชื่อหวังเป่าเล่อมาหลายครั้งหลายครา ตอนนี้ได้มาพบตัวจริง ก็สามารถบอกได้จากท่าทีเล็กๆ น้อยๆ ของหวังเป่าเล่อได้ว่าชายผู้นี้รู้ว่าต้องทำตนต่อหน้าฝูงชนอย่างไร
ชายหนุ่มชอบคนเช่นนี้ แม้ว่าจะดูรับมือยาก แต่ก็เหมาะกับสถานการณ์ของสหพันธรัฐในตอนนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อแย้มยิ้มออกมา ชายตรงข้ามก็หัวเราะเสียงดัง เขาก้าวเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย หวังเป่าเล่อก็ได้รู้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นใคร
เขาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองเช่นกัน แต่ต่างจากหวังเป่าเล่อที่เป็นตัวแทนขึ้นไปปกครองเมืองอาณานิคมใหม่ ชายผู้นี้เป็นหัวหน้าฝ่ายเลขานุการประจำสำนักผู้นำสหพันธรัฐ เปรียบเหมือนมุขมนตรีของเหมืองหลวงและผู้เป็นใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ของผู้นำสหพันธรัฐ
การต้อนรับของเขาเป็นการแสดงออกทางทัศนคติของผู้นำสหพันธรัฐที่มีต่อหวังเป่าเล่อ หลังจากทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ชายหนุ่มก็ทราบเหตุผลที่ชายผู้นี้มาปรากฎตัว เขายิ้มกว้างขณะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อรู้เหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงอยากเดินทางไปยังเมืองปักษาเพลิง ชายวัยกลางคนก็รีบจัดแจงเรือบินให้
“แม้ว่าเราจะมีหน้าที่ปกป้องมนุษยชาติและสหพันธรัฐ ทว่าแก่นของพวกเราก็ยังเป็นผู้ฝึกตน พวกเราเดินทางไปมาในอวกาศไม่ได้จึงต้องใช้เรือบิน แต่ตอนนี้ข้าได้กลับมายังดาวบ้านเกิดอีกครั้ง จึงไม่จำเป็นต้องใช้เรือบินอีก ข้าเหาะไปเองได้” หวังเป่าเล่อยิ้มและบอกปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิง ชายวัยกลางคนตีความคำตอบของชายหนุ่มอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจไม่รบเร้าไปมากกว่านี้
หวังเป่าเล่อสั่งให้นักการยุทธ์ที่ติดตามเขามาให้รออยู่ในนครหลวง จากนั้นก็กล่าวลาหัวหน้าฝ่ายเลขานุการ เขาก้าวไปข้างน้อยเล็กน้อยก่อนจะโบกมือเรียกกระบี่บินออกมาจากกำไลคลังเวท จากนั้นก็ขึ้นเหยียบบนกระบี่บินก่อนจะทะยานขึ้นบนฟากฟ้า แหวกสรวงสวรรค์เป็นทางสายรุ้ง
คณะต้อนรับมองตามหวังเป่าเล่อจากพื้นเบื้องล่าง ลมพัดผ่านใบหน้า เส้นผมปลิวไหวไปตามสายลม แม้จะมีรูปร่างอ้วนกลมแต่เขาก็ดูเหมือนเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ละจากทางโลก ชายหนุ่มพุ่งทะยานหายไปในอากาศ
“ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราก็ควรเป็นให้ได้เช่นนั้น!” หัวหน้าฝ่ายเลขานุการประจำสำนักผู้นำสหพันธรัฐยิ้มและพูดขึ้น ถ้อยคำของเขาดังก้องไปในอากาศ ดวงตาของทุกคนฉายแววริษยาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศในระยะทางไกลๆ ได้ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ได้เพียงแค่ระยะทางสั้นๆ เท่านั้น หากไกลเกินไปก็จะคุมสถานะไว้ไม่ไหว
“เมื่อไหร่เราถึงจะเหาะข้ามเมืองด้วยกระบี่บินเช่นเจ้าเมืองหวังเป่าเล่อได้บ้างนะ!” ฝูงชนถอนหายใจก่อนจะกระจายตัวกันออกไป ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นก็กำลังเหาะข้ามเขตนครหลวง มุ่งหน้าไปยังเมืองปักษาเพลิงบนกระบี่บิน
เขาอารมณ์ดีเกินบรรยาย ชายหนุ่มเลือกไม่เดินทางด้วยเรือบินเพราะคิดว่าตนเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว คงจะไม่เหมาะกับระดับขั้นของตนเองถ้ายังเดินทางด้วยเรือบินอยู่
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในควรจะเหาะเอา เป็นวิธีเดียวที่เหมาะกับระดับของพวกเรา หวังเป่าเล่อแสนเปรมปรีดิ์ เขาเร่งความเร็วทะยานฝ่าคลื่นลม
ชายหนุ่มพุ่งไปในอากาศเกิดเป็นเสียงดังสนั่นจนอสูรเบื้องหลังตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยิน พลังขั้นกำเนิดแก่นในที่แผ่ออกมาทำให้อสูรระดับการฝึกตนโบราณและระดับลมหายใจเที่ยงแท้ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อชายหนุ่มพุ่งผ่านเมืองเล็กๆ คนในเมืองได้ยินเสียงกัมปนาทบนฟ้าก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นร่างพร่ามัวที่พุ่งผ่านฟากฟ้าไปราวกับเป็นอัสนีบาต
ทุกคนตื่นตะลึงไป ในสหพันธรัฐนั้นจะเคยชินกับผู้ฝึกตนระดับการฝึกตนโบราณและระดับลมหายใจเที่ยงแท้ อาจจะเคยเจอผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นบ้าง แต่สำหรับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนั้น…ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีอยู่จำนวนไม่มาก ยากมากที่จะมีโอกาสได้เห็นกับตา
หวังเป่าเล่อที่ใช้กระบี่บินเหาะไปในอากาศเรียกความสนใจจากผู้คนมากมายระหว่างทาง แม้ว่าคนจำนวนมากจะไม่รู้ระดับการฝึกตนที่แน่ชัดของหวังเป่าเล่อและไม่ได้เห็นเขาอย่างชัดเจน เหล่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่อยู่ในเมืองต่างๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังกล้าแกร่งของบุคคลที่เหาะผ่านข้ามเมืองไป! เป็นพลังที่ทำให้พวกเขาต้องสั่นกลัว!
“ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!”
“มีศิษย์พี่ขั้นกำเนิดแก่นในเหยียบกระบี่เหาะผ่านไป!”
เสียงตื่นตะลึงดังก้องไปทั่ว หวังเป่าเล่อเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนเป็นเส้นสายฟ้าที่เคลื่อนตัวไปในอากาศ เขาเหลือบตามองผู้โดยสารบนเรือบินสองสามลำที่ตนเหาะแซงหน้า เห็นสายตาตื่นตะลึงที่จ้องกลับมา
ข่าวเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเครือข่ายวิญญาณและสื่อต่างๆ
ผ่านไปไม่นานหวังเป่าเล่อก็เริ่มเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง…เขาคิดว่าการใช้กระบี่บินเหาะไปในอากาศคงจะเป็นเรื่องสนุก แต่พอได้ลองทำดูจริงๆ แล้ว ประกอบกับด้วยระยะทางที่ยาวไกล ชายหนุ่มก็ได้รู้ว่าสายลมแรงที่พัดกระทบใบหน้าเป็นอย่างไร และความหนาวเหน็บข้างบนนี้เป็นเช่นไร
ยิ่งเพิ่มความเร็ว ลมก็ยิ่งแรงขึ้น แรงปะทะก็มากขึ้น ถ้อยคำที่ว่าสายลมพัดกระทบใบหน้าอาจฟังดูไพเราะราวกับบทกลอน แต่พอได้มากระทบเข้าสักพักจริงๆ สายลมก็เป็นดังลมหนาวที่กรีดลึกเข้าไปถึงกระดูก หากจะปล่อยพลังปราณเพื่อใช้เป็นเกราะกำบัง ก็จะเป็นการใช้พลังปราณมากขึ้นอีก
หวังเป่าเล่อบ่นอุบกับตัวเอง จากนั้นพอผ่านไปได้ครึ่งทางก็ตัดสินใจล้มเลิกแผนเหาะกลับบ้าน ถ้าเทียบกับการได้อวดพลังแล้ว ความสุขสบายของตนเองย่อมต้องมาก่อน เขาได้บทเรียนจากความคิดที่ผิดพลาดเพราะความฮึกเหิมที่เพิ่งจะได้บรรลุขั้นกำเนิดแก่นในและได้ขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ชายหนุ่มจึงหยิบเรือบินออกมา และนั่งกินขนมสบายใจเฉิบขณะขับเรือบินมุ่งหน้าไปทางเมืองปักษาเพลิง
แม้ว่าเมืองปักษาเพลิงจะอยู่ห่างจากนครหลวงอยู่มาก แต่ด้วยการเสริมพลังจากหวังเป่าเล่อ เรือบินก็ทะยานไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง เมืองปักษาเพลิงก็ปรากฎให้เห็นเด่นในสายตา
มีฝูงชนหลายร้อยคนรอพบเขาอยู่ด้านนอกเมือง หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจกับภาพที่ได้เห็น จากที่ได้อ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ชายหนุ่มรู้ดีว่าขุนนางระดับสองชั้นรองที่เพิ่งกลับมายังเมืองจะต้องได้รับการต้อนรับจากเจ้าเมือง หากไม่เป็นเช่นนั้นคงจะถือว่ามีอะไรผิดแปลกไป
เมื่อเรือบินของหวังเป่าเล่อลงจอดด้านนอกเมืองปักษาเพลิง เขาก็ได้รับการต้อนรับจากเจ้าพนักงานประจำเมืองซึ่งนำโดยบิดาของหลิวต้าวปิน ที่บิดาของหลิวต้าวปินจัดคณะมาต้อนรับชายหนุ่มเป็นเพราะเขาได้เลื่อนขั้นมาเป็นเจ้าเมืองปักษาเพลิง
จริงๆ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่หลิวต้าวปินเป็นลูกน้องที่หวังเป่าเล่อไว้ใจ และได้ไปประจำการบนดาวอังคารด้วย
หลังจากการต้อนรับอย่างอบอุ่นผ่านไป บิดาของหลิวต้าวปินก็ไม่รบกวนเวลาของหวังเป่าเล่อมากนัก เนื่องจากรู้ดีว่าชายหนุ่มมาพบครอบครัว จึงพยายามคุมให้การต้อนรับเป็นไปอย่างกระชับแต่ก็แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความยินดีที่ได้เห็นอีกฝ่ายกลับมา
หวังเป่าเล่อสุขใจยิ่งนัก เขาเองก็ไม่อยากเสียเวลาตรงนี้มากเกินไป หัวใจของเขาร่ำร้องหาแต่บ้าน ชายหนุ่มรีบปลีกตัวออกมาและมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว
รอบๆ บ้านของเขาเปลี่ยนไปมากทีเดียว ไม่เหมือนภาพที่จำได้ในหัว มีคนแปลกหน้ามากมายรายล้อม หลายๆ คนเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ มีสามคนอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่น พวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ปรากฎตัวออกมาจากแต่ละมุมถนน ก่อนจะยกมือกุมโค้งทักทายชายหนุ่ม
พวกเขาเป็นศิษย์ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มอบหมายให้มาคุ้มกันครอบครัวของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งยังเป็นคนคุ้มกันรอบๆ เขตพักอาศัยที่มีการป้องกันภัยอย่างแน่นหนา
หวังเป่าเล่อพยักหน้าให้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นกุมและก้มหัวตอบก่อนจะเดินไปทางบ้านของตน พอเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงไม่พอใจของบิดาดังออกมาจากในบ้าน
“ทำไมข้าถึงไปรับลูกชายตัวเองไม่ได้ เจ้าหลิวน้อยก็บ้าพิธีการมากเกิน พอข้าบอกไปว่าอยากไปรับลูก เจ้านั่นก็หน้าตื่น บอกว่าเดี๋ยวรับผิดชอบเอง กลัวว่าเป่าเล่อจะเข้าใจผิดถ้าข้าไปด้วยตัวเอง!”
“พอได้แล้ว เขาเองก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าเป็นแค่ผู้นำกลุ่มโบราณคดี แค่ท่านเจ้าเมืองให้การเคารพเจ้าทุกครั้งที่เจอหน้าก็ดีแค่ไหนแล้ว!” เสียงมารดาดังตามมาติดๆ น้ำเสียงดูปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่พอนางพูดจบ บิดาตนก็เงียบไป
หวังเป่าเล่อแย้มยิ้มกว้างเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ลืมไปเลยว่าตนเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง เป็นถึงเจ้าเมืองเขตนครพิเศษและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน เขากลับมาเป็นตนเองเมื่อครั้งก่อนขณะที่ผลักประตูเข้ามาพร้อมตะโกนเสียงดัง
“แม่ พ่อ ข้ากลับมาแล้ว!”
ทันใดที่ประตูเปิดออก สิ่งแรกที่เขาเห็นคือม้านั่งตัวหนึ่ง บิดาของเขานั่งกอดอกอยู่บนม้านั่งตัวนั้น ขณะที่มารดาซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนกำลังวางจานขาหมูลงบนโต๊ะอาหาร ทั้งสองหันมามองหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงประตู
“เจ้าเด็กเฮงซวย ทำไมทักทายแม่ก่อนพ่อกัน” บิดาของหวังเป่าเล่อดีใจเมื่อได้เห็นลูกชาย กำลังจะลุกขึ้นแต่ก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรแปลกๆ เขาเหลือบมองหน้านิ่งพร้อมเอ่ยถามขึ้น
ทว่าขณะที่เหลือบมองไปทางลูกชาย ผู้เป็นภรรยาก็จ้องเขม็งมายังตนเสียก่อน
“ไปยกอาหารลงจากหม้อเร็ว!” มารดาของหวังเป่าเล่อไม่สนใจสามี เดินเข้าไปหยิกแก้มลูกชายด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“เป่าเล่อ อาหารบนดาวอังคารไม่อร่อยหรือ เจ้าผอมลงไปมาก แม่แทบจะจำเจ้าไม่ได้เลย…”