หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 479 ข้าเองละแซ่เจ้า!
หวังเป่าเล่อตอบรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะกุลีกุจอตามผู้อาวุโสสูงสุดเข้าไปในโถงของตำหนักหลอมโอสถ ในนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน หลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดก้าวเข้าไปในโถง เขาก็หันกลับมาจ้องมองหวังเป่าเล่อ
ชายชรายังคงมีรอยยิ้มที่กึ่งๆ จะไม่ใช่รอยยิ้มอยู่บนสีหน้า หวังเป่าเล่อเริ่มขนลุก จึงพยายามส่งยิ้มชนิดที่ดูจริงใจมากขึ้นให้ เขากะพริบตาก่อนจะพยายามแสดงด้านที่น่าเอ็นดูให้อีกฝ่ายเห็น
ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้เอ่ยว่ากระไร เพียงแต่ยิ้มต่อไป หวังเป่าเล่อเริ่มจะกังวล เขารู้สึกว่าผู้อาวุโสสูงสุดนั้นคล้ายจิ้งจอกเฒ่า เมื่อชายหนุ่มไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ จึงทำได้เพียงสงสัยว่าควรเปลี่ยนกลยุทธ์ดีหรือไม่ หวังเป่าเล่าพยายามตีหน้าซื่อจึงยืนจ้องตากับผู้อาวุโสสูงสุดอยู่เช่นนั้น
“เป่าเล่อ พลังปราณของเจ้าน่าประทับใจทีเดียว” ผู้อาวุโสสูงสุดมองเห็นว่าหวังเป่าเล่อสลับเปลี่ยนลักษณะนิสัยได้ในพริบตา ก่อนจะยกมือไพล่หลังและพูดอย่างสบายๆ
“ความสำเร็จของศิษย์ในบัดนี้ ส่วนหนึ่งนั้นแลกมาด้วยเลือด หยาดเหงื่อ และหยดน้ำตาของตน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการดูแลและสั่งสอนของสำนัก” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกทันทีที่ได้ยินและเปลี่ยนท่าทีไปเป็นผู้น้อยที่นอบน้อม
“เจ้าหยุดประจบประแจงข้าเถิด จริงอยู่ว่าการเรียนการสอนของพวกเรานั้นมีประโยชน์ แต่พวกเราก็ดูแลและสั่งสอนศิษย์มามาก ข้าไม่เคยเห็นใครอื่นเลยที่ประสบความสำเร็จเช่นเจ้า” หลี่ซิงเหวินพึงใจการโต้ตอบของหวังเป่าเล่ออยู่เงียบๆ ทว่าเขารู้ดีว่าความสำเร็จของหวังเป่าเล่อในขณะนี้เป็นเพราะชายหนุ่มฉกฉวยโอกาสที่ผ่านมาเอาไว้ได้เสียมากกว่า
“เป่าเล่อ ข้าจะพาเจ้าลงไปดูสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สักหน่อย มีเรื่องบางอย่าง…ที่เจ้าสามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้แล้ว เพราะระดับพลังปราณของเจ้าในขณะนี้สูงพอแล้ว” หลี่ซิงเหวินมองหวังเป่าเล่อขณะที่พูดอย่างเนิบๆ สายตาที่จ้องมองมานั้นเปี่ยมความหมาย
หวังเป่าเล่อมองเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุด เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบคำ
“แผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ควรมีใครออกจากแผนกลางคัน ถึงกระนั้น ทั้งต้วนมู่ฉีและตัวข้าเองก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ก่อนที่แผนจะลุลวงเสียอีก”
“ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือก เจ้าจะร่วมอยู่ในแผนพันธุ์กล้าต่อไป…หรือเจ้าจะออก” หลี่ซิงเหวินไม่ได้พูดต่อไป กลับกัน ชายชรารอฟังคำตอบจากหวังเป่าเล่อเสียก่อน
หวังเป่าเล่อถึงกับขมวดคิ้ว ชายหนุ่มไม่อาจเข้าใจเจตนาที่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดเพิ่งพูด ข้อมูลที่เขามีนั้นไม่ครบถ้วน เขาจึงไม่อาจหาคำตอบได้ และเห็นได้ชัดว่าชายชราจงใจให้เป็นเช่นนั้น
สิ่งนี้เป็นการทดสอบอีกด่านหนึ่งอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อลอบถอนหายใจอย่างลับๆ ก่อนจะยกมือขึ้นถูหน้าผาก ชายหนุ่มพยายามชั่งน้ำหนักว่าควรจะตอบว่าอย่างไร โดยเริ่มคิดทบทวนข้อมูลที่เคยอ่านมาเกี่ยวกับแผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ
ตามที่เขาได้เรียนรู้มานั้น แผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการดวงอาทิตย์ปักกระบี่ เป็นสิ่งที่สนับสนุนปฏิบัติการนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเตรียมการเอาไว้เพื่อให้สหพันธรัฐขึ้นไปที่กระบี่สำริดเขียวโบราณได้สำเร็จ
เมื่อคิดในแง่นี้ ข้อความของหลี่ซิงเหวินก็ชัดเจนขึ้น…
หากว่าแผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐเกี่ยวข้องกับการขึ้นไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ หากข้าถอนตัวตอนนี้ มิเท่ากับว่าข้าต้องทิ้งโอกาสที่จะขึ้นไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อใคร่ครวญ ชายหนุ่มเชื่อว่าการเข้าร่วมปฏิบัติการดวงอาทิตย์ปักกระบี่มีความเสี่ยง และนี่เป็นสาเหตุว่าเหตุใดผู้อาวุโสสูงสุดจึงถามคำถามนั้นกับเขา
หลี่ซิงเหวินเฝ้ารอคำตอบอย่างอดทนขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เมื่อเขาเห็นแววตาที่เหมือนคิดได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ชายชราจึงยิ้มออกมาบางๆ
“เจ้าคิดถี่ถ้วนแล้วใช่หรือไหม”
“มันอันตรายเพียงใดขอรับ” หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามคำถามที่มีในใจออกไปแทน มีแสงประหลาดส่องประกายอยู่ในแววตาขณะที่ชายหนุ่มจ้องมองผู้อาวุโสสูงสุด
หลี่ซิงเหวินแสดงสีหน้ายอมรับหวังเป่าเล่ออีกครั้งเมื่อได้เห็นแสงนั้นและได้ยินคำตอบจากปากอีกฝ่าย ชายชราชอบพูดคุยกับผู้คนที่ฉลาดเฉลียว และยังนิยมคนหนุ่มสาวที่พูดจาตรงไปตรงมา ชายชราจึงเอ่ยออกมาช้าๆ “เจ้ากลัวตายหรือไม่เล่า”
“ข้าเสี่ยงแล้วจะได้อะไรหรือขอรับ”
ประกายตายอมรับในแววตาของหลี่ซิงเหวินยิ่งแกร่งกล้าขึ้นเมื่อได้ยินคำถามนี้ ชายชราหัวเราะเสียงลั่นก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้ไปทางหวังเป่าเล่ออยู่ซ้ำๆ จนในที่สุดเขาก็กวาดชายเสื้อไปด้านข้างและตอบว่า
“มีมากมายทีเดียว พลังปราณของเจ้าจะรุดหน้าอย่างรวดเร็ว แถมเจ้ายังจะได้รับโอกาสที่เกินจินตนาการมากมาย เจ้าอาจจะได้พบอารยธรรมการฝึกตนที่แตกต่างจากของสหพันธรัฐอย่างสิ้นเชิง เจ้าอาจจะ…ได้เรียนรู้ต้นกำเนิดของอารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าทำสิ่งใดสำเร็จ เจ้าก็จะได้รับการปูนบำเหน็จเป็นยศ การจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคนต่อไปก็เริ่มจะเป็นไปได้ขึ้นมา!” หลี่ซิงเหวินไม่ได้วางแผนจะพูดส่วนสุดท้าย แต่เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อดูไม่ใส่ใจเท่าใด เขาจึงจงใจใส่เรื่องการเป็นผู้นำสหพันธรัฐเข้าไปด้วย
แล้วก็เป็นตามที่เขาหวังไว้ เมื่อได้ยินส่วนสุดท้ายนั้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไปทันที ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายกล้า
“ทุกสิ่งที่ศิษย์มีวันนี้ ศิษย์ได้รับมาจากสำนัก หากสำนักต้องการข้า ข้าก็จะขึ้นเขาลงห้วยโดยไม่ปริปากบ่น!” หวังเป่าเล่อทุบอกและประกาศด้วยเสียงอันดัง ชายหนุ่มบัดนี้ดูเป็นผู้ที่ยอมเสียสละตน ราวกับว่าจะยอมทำทุกสิ่งเพื่อสำนัก
หลี่ซิงเหวินถึงกับอึ้งในความสามารถในการปฏิญาณตนต่อทุกสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อ เขาหัวเราะออกมาด้วยความอ่อนใจ
“ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐต่อไป ข้าเชื่อว่าในไม่ช้าเจ้าจะได้รู้เหตุผลที่แผนนี้ถูกสร้างขึ้นมา ดังนั้นข้าจะไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้
“ส่วนเรื่องโจวเสี่ยวหยา…เจ้าอย่าไปถือโทษโกรธผู้อาวุโสชั้นสูงของตำหนักหลอมโอสถนักเลย ความสามารถในการหลอมโอสถของนางนั้นธรรมดายิ่ง ทว่าวิญญาณของนางมีคุณสมบัติพิเศษ เพราะเหตุนี้ นางจึงทำได้ดีมากเมื่อต้องหลอมโอสถเห็นธรรมที่เป็นของตระกูลข้า”
“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงสอนเคล็ดวิชาฝึกปราณให้นาง เคล็ดวิชานี้ช่วยให้นางเห็นธรรม ดังนั้นนางจึงต้องถือสันโดษครั้งละนานๆ พอนางบรรลุธรรมเมื่อใด ข้าจะรับนางเข้ามาเป็นศิษย์เอกของข้า!” หลี่ซิงเหวินอธิบายสถานการณ์ของโจวเสี่ยวหยา หากชายชราไม่ได้อธิบายก็คงจะไม่เป็นไรนัก แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ถึงกับต้องหายใจเข้าลึก
“บรรลุธรรมหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อไม่ค่อยชอบสาขาปรัชญาเต๋าสักเท่าใดนัก เมื่อครั้งที่เขายังอยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง ชายหนุ่มคิดว่าคนของสาขานั้นเสียสติกันไปหมดแล้ว และจากสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดเพิ่งจะบอกเขา ขณะนี้กระต่ายน้อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสาขาปรัชญาเต๋าอย่างอ้อมๆ เสียแล้ว
“ทำไม เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ” หลี่ซิงเหวินจ้องมองมา
หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนใจเพราะพลังปราณอันน่าพรั่นพรึงของชายชรา ชายหนุ่มตอบรับอย่างเศร้าสร้อย “นางเป็นหญิงสาวอายุน้อยหน้าตาสวยงาม ผู้ซึ่งหลงผิดและกำลังหมดเปลืองเวลาชีวิตไปในห้องลับกับการถือสันโดษ ต่อให้นางจะสามารถเห็นธรรมได้เช่นหลี่อู๋เฉิน นางก็คงไม่อาจจะต่อสู้ได้…”
“ไร้สาระ สาขาปรัชญาเต๋าของข้าไร้เทียมทาน เจ้าคอยดูเถิด พอโจวเสี่ยวหยาเห็นธรรมเมื่อใด นางจะขยี้เจ้าราวกับมดปลวกเลยเชียว!” หลี่ซิงเหวินยิ้มเยาะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดตามที่พูด แต่ก็ต้องยืนหยัดปกป้องเกียรติของสาขาปรัชญาเต๋าหลังจากที่เห็นท่าทีรังเกียจของหวังเป่าเล่อ
“หากท่านอาจารย์มีความสุข…แต่คนเราก็ไม่ควรถือสันโดษอยู่ตลอดเวลานะขอรับ คนเราควรมีสมดุลในการใช้ชีวิตบ้าง…” หวังเป่าเล่อถอนใจพลางจ้องมองอย่างวิงวอนไปยังผู้อาวุโสสูงสุด
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ทีหลังและให้นางพักสักสองสามวันแล้วกัน” หลี่ซิงเหวินกระแอมกระไอ เขาเริ่มรู้สึกว่าตนเองอาจจะโหดเกินไปหน่อย ที่ปล่อยให้มีหญิงสาววัยเปล่งปลั่งต้องถูกขังให้ถือสันโดษทุกวันๆ…ชายชรายอมตกลงพร้อมโบกมืออย่างตัดรำคาญ เช่นนั้นเองหลี่ซิงเหวินก็เตรียมพร้อมที่จะจบการสนทนา
“โปรดรอก่อนขอรับท่านปู่ผู้อาวุโสสูงสุด ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าหมายถึงว่า…ข้ามาถึงขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว แต่ยังไม่มีเคล็ดวิชาในขั้นนี้เลย ท่านผู้อาวุโสสูงสุดผู้ทรงเกียรติ ท่านปู่ที่รักของข้า มีเคล็ดวิชาฝึกตนดีๆ จะแบ่งให้ข้าบ้างไหมขอรับ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเร่งรีบ สายตาเป็นประกายด้วยความคาดหวัง
“ข้าได้ให้คนไปจัดการรวบรวมเคล็ดวิชาฝึกปราณของขั้นกำเนิดแก่นในทั้งหมดที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มีเอาไว้ให้แล้ว ไปถามหาเจ้าน้อยเถอะ เขาจะอธิบายให้เจ้าฟังโดยละเอียด ในช่วงนี้ขอให้เจ้าอยู่ที่สำนักไปก่อน อย่าเพิ่งกลับดาวอังคาร อยู่อีกสักสองสัปดาห์…ข้าจะสร้างโอกาสอันดีให้กับบรรดาศิษย์ของสำนักเรา!” หลี่ซิงเหวินหัวเราะอย่างโอหังก่อนจะเดินออกจากโถงหายลับไป
หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มพอจะเดาออกว่าผู้อาวุโสสูงสุดหมายถึงสิ่งใด เขาตื่นเต้นเล็กน้อยและอยากจะให้มันเกิดขึ้นเร็วๆ หวังเป่าเล่อสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับเจ้าน้อยที่ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวถึง หลังจากที่คิดอยู่เป็นนาน เขาก็ไม่อาจทราบได้ว่าคนๆ นั้นคือใคร
ด้วยความสงสัยหวังเป่าเล่อจึงส่งข้อความเสียงไปหาประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
“ประมุขสำนักขอรับ ผู้อาวุโสสูงสุดสั่งให้ข้าตามหาเจ้าน้อยเพื่อเรียนเคล็ดเวท เขาคือใครหรือขอรับ ข้าครุ่นคิดมาเป็นวันก็ยังคิดไม่ออก”
เสียงจากปลายสายนั้นเงียบสนิท หลังจากความเงียบครู่ใหญ่ เสียงแหบพร่าของประมุขสำนักก็เข้ามากระทบโสตประสาท
“ข้าเองละแซ่เจ้า!”