หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 481 ยอดดวงใจ
วานรเพชรเบื่อหน่ายยิ่งนักช่วงที่หวังเป่าเล่อไม่อยู่ บรรดาศิษย์ต่างก็ทั้งเคารพทั้งกลัวเจ้าวานร ทำให้ไม่มีใครกล้ามาเล่นด้วย มันจึงคิดถึงหวังเป่าเล่อหนักขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาหุ่นเชิดของวานรเพชรก็พังหมดเพราะมันเล่นด้วยแรงเกินไป เจ้าวานรไม่ได้รับหุ่นเชิดตัวใหม่มาเป็นเวลานานแล้ว มันจึงคิดถึงสหายรักเช่นหวังเป่าเล่อมากขึ้นทุกที
เดงนั้นมื่อมันได้กลิ่นหวังเป่าเล่อ เจ้าวานรเพชรก็ทั้งดีใจทั้งวุ่นวายใจ มันส่งเสียงร้องคำรามพลางวิ่งตรงเข้าไปหาชายหนุ่ม พลังปราณของวานรเพชรในขณะนี้อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลาง
หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขและวิ่งเข้ามายืนเคียงข้างวานรเพชรอย่างรวดเร็ว แม้ว่าชายหนุ่มจะตัวเล็กกว่า แต่รัศมีของเขาก็รุนแรงกว่าของวานรเพชรมากนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจลดพลังของรัศมีลง พลางกระโจนขึ้นไปบนฟ้าและลงมานั่งบนบ่าของเจ้าวานรพอดิบพอดี พลางยกมือตบไหล่มันอย่างรักใคร่
วานรเพชรมีความสุขเสียจนจามออกมาไม่หยุด มันยกมือขึ้นทุบอกเสียงดัง ก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว!” หวังเป่าเล่อหัวเราะก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นหุ่นเชิดสามตัวก็ร่วงลงมาจากกระเป๋าคลังเก็บของชายหนุ่ม ทันทีที่เจ้าวานรเห็นหุ่นเชิดทั้งสามก็ส่งเสียงคำรามด้วยความตื่นเต้นยินดี ก่อนจะกอดหุ่นเอาไว้แน่น เมื่อมันหันมองหวังเป่าเล่อ สายตาของมันนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เสียยิ่งกว่าตอนมองเจ้าของเสียอีก
หลังจากทักทายกับวานรเพชรเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กำลังจะกลับออกไป ในตอนนั้นเอง วานรเพชรได้กลิ่นน่าสงสัยจากกายของชายหนุ่มจึงส่งสีหน้าฉงนมา หากเป็นคนอื่นคงไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังคิด แต่หวังเป่าเล่อนั้นเป็นผู้ที่ศึกษาวานรเพชรมาอย่างดี หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็เข้าใจทันที เขาก้มศีรษะลงและหยิบคลังเก็บอสูรขึ้นมา หวังเป่าเล่อเทมันลงและเจ้าลาก็กลิ้งออกมาในทันที
ตั้งแต่กลับมายังโลก หวังเป่าเล่อก็เก็บเจ้าลาไว้ในคลังเก็บอสูรมาโดยตลอด เพราะเมื่อมีบิดามารดาอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มก็อดกังวลไม่ได้ว่าเจ้าลาจะออกมาทำเรื่องหยาบคายต่อหน้าพวกท่านทั้งสอง เขาคงลืมเจ้าลาไปเสียสนิทหากวานรเพชรไม่ได้จับกลิ่นมันได้เสียก่อน
วานรเพชรจ้องมองเจ้าลาด้วยนัยน์ตาเบิกโพลงพลางส่งเสียงขู่ เจ้าลาที่ยังคงหลับอยู่ ลืมตาขึ้นหลังจากที่ร่วงลงกระแทกพื้น มันงุนงง หลังจากที่มองเห็นวานรเพชรตรงหน้า มันก็กะพริบตาก่อนจะส่งเสียงร้องออกมา
“ลูกข้า!”
“โฮก!”
วานรเพชรคำรามตอบ ทว่าในเวลาไม่นานนัก ทั้งลาและวานรเพชรก็ดูเหมือนจะเริ่มพูดคุยกันผ่านเสียงคำราม และเหมือนว่าพวกมันจะเข้าขากันได้ดี
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง ชายหนุ่มอยากจะนั่งดูอยู่ต่อ แต่เสียงนุ่มใสของกระต่ายน้อยก็ดังผ่านแหวนสื่อสารมาเสียก่อน
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ท่านอยู่ที่ไหนเจ้าคะ ตอนนี้ข้าว่างแล้ว”
สายตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของโจวเสี่ยวหยา ชายหนุ่มไม่คิดจะวุ่นวายกับเจ้าลาอีก แต่ก่อนที่เขาจะเดินจากไป หวังเป่าเล่อหันไปเตือนเจ้าลาว่าอย่ากินสิ่งใดเด็ดขาด หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจมันอีก เขายกแหวนสื่อสารขึ้นส่งข้อความตอบโจวเสี่ยวหยา ก่อนจะพุ่งทะยานมุ่งหน้าไปยังตำหนักหลอมโอสถทันที!
เมื่อหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว เจ้าลาก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นในทันที หลังจากที่คำรามคุยกับวานรเพชรอยู่อีกสักพัก ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะบรรลุข้อตกลงกันได้ แล้วจึงพากันเดินจากไปพร้อมหุ่นเชิดทั้งสาม…
บรรดาศิษย์รอบข้างที่มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดวานรเพชรและลาตัวนั้นจึงดูตื่นเต้นและลุกลี้ลุกลนนัก…
สายตาของหวังเป่าเล่อที่มองไปยังกระต่ายน้อยนั้นแตกต่างไปจากครั้งก่อน โดยเฉพาะหลังจากความประทับใจที่หลี่หว่านเอ๋อร์ได้มอบไว้ ขณะนี้ ณ ตีนเขาแห่งตำหนักหลอมโอสถที่รายล้อมไปด้วยพืชพรรณซึ่งมีสรรพคุณทางยา ทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อนั้นดูบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง
เมื่อมองมาจากที่ไกล จะเห็นว่ามีสตรีใบหน้างดงามกำลังยืนมองช่อดอกไม้ช่อหนึ่งอยู่ นางมีเรือนร่างผอมบาง ผมยาวสลวยของนางผูกเอาไว้ด้วยเส้นด้ายสีชมพู รูปลักษณ์ของนางจากด้านข้างนั้นช่างงดงามไร้ที่ติ
กระโปรงสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายเป็นประกายแวววาว ความสวยงามของมันนั้นถูกขับเน้นให้โดดเด่นด้วยดอกไม้โอสถรอบข้าง ยิ่งรายล้อมไปด้วยเมฆหมอกโอสถที่มีอยู่เฉพาะในตำหนักหลอมโอสถแล้ว ก็อาจทำให้ผู้ที่พบเห็นนั้นลมใส่ได้ง่ายๆ เพราะความประทับใจ
เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อดังมาตามลม สตรีนางนั้นก็หันขวับมาทันที เผยให้เห็นใบหน้าสะสวยที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มสดใส อาจเป็นเพราะนางถือสันโดษมาตลอดหลายปี ทำให้ผิวของนางขาวนวลราวหิมะ สตรีนางนี้ทั้งเยาว์และมีรูปโฉมงดงามเกินจะเปรียบ
นางก็คือโจวเสี่ยวหยานั่นเอง!
“โอ้โห กระต่ายน้อย เจ้าโตขึ้นนะ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อลุกโพลง เป็นเวลาหลายปีมาแล้วตั้งแต่ที่ทั้งคู่ได้พบกันครั้งสุดท้าย โจวเสี่ยวหยา ผู้ซึ่งบัดนี้เติบโตเป็นสาว ก็ยิ่งดูน่ารักและงดงามกว่าแต่ก่อน ทำให้หวังเป่าเล่อลุ่มหลงจนโงศีรษะไม่ขึ้น เขาส่งเสียงกระแอมกระไอก่อนจะพูดจาหยอกเย้านาง
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ โจวเสี่ยวหยาก็ยืนเตะขาตนเองด้วยความเขินอาย
“ศิษย์พี่เป่าเล่อนี่ ชอบล้อข้าเล่นอยู่เรื่อย!”
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น แต่โจวเสี่ยวหยาก็รู้สึกปลาบปลื้มใจ เมื่อหญิงสาวมองหวังเป่าเล่อ จิตใจของนางก็เต็มล้นไปด้วยความสุข ในชีวิตอันเรียบง่ายของนางนั้น หวังเป่าเล่อเป็นชายอายุไล่เลี่ยกับนางคนแรกที่ก้าวเข้ามา และเขายังเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดที่นางเคยพบในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน โจวเสี่ยวหยาได้เห็นหวังเป่าเล่อสร้างชื่อของตนเองเอาไว้ตั้งแต่ครั้งที่อยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง และยังคงไต่เต้าความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ แม้จะอยู่บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงแล้วก็ตาม
แม้จะถือสันโดษอยู่เป็นนิจ แต่นางก็พักเพื่อติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกอยู่เนืองๆ
ชื่อของหวังเป่าเล่อเป็นที่รู้จักผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อได้มองเห็นชายหนุ่มที่นางมอบหัวใจให้ประสบความสำเร็จ ก็ทำให้โจวเสี่ยวหยา ผู้ซึ่งหลงรักหวังเป่าเล่ออยู่ตั้งแต่ต้น รู้สึกชื่นชมเขามากขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ
อาจกล่าวได้ว่า โจวเสี่ยวหยานั้นทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสา นางช่างแตกต่างจากหลี่หว่านเอ๋อร์ผู้เสียงดัง และเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่โดดเด่นคล้ายเทพธิดา โจวเสียวหยาไม่มีความทะเยอทะยานอันสูงส่ง เป็นเหมือนหญิงสาวบ้านใกล้เรือนเคียงทั่วๆ ไป ขณะนี้เมื่อได้จ้องมองไปยังชายที่นางชื่นชมและไม่ได้พบเจอมาเป็นเวลานาน นางก็แย้มรอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์ และเปล่งเสียงหัวเราะดังกังวานราวกระฆัง เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขอันแท้จริงที่ไม่ว่าใครก็สัมผัสได้
หวังเป่าเล่อเมื่อได้จ้องมองนางก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เมื่อได้พาโจวเสี่ยวหยาท่องไปทั่วสำนักศึกษาเต๋า ผ่านวันเวลา ผ่านจักรวาลทั้งปวง เฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้น และฝากรอยเท้าเอาไว้บนทุกยอดและหุบเขาที่พวกเขาย่างกรายไป
สำหรับโจวเสี่ยวหยาแล้ว แค่ได้จับมือหวังเป่าเล่อก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของนางสั่นระรัวและใบหน้าแดงก่ำ นางหลุบศีรษะลงต่ำ เขินอายเสียจนไม่อาจมองหน้าเขาได้ตรงๆ แต่ขณะเดียวกันความสุขก็เอ่อล้นหัวใจของนางจนแผ่ซ่านไปทั้งกาย
กระต่ายน้อยชอบฟังหวังเป่าเล่อเล่าถึงประสบการณ์ของเขาบนดาวอังคารและดวงจันทร์ บางครั้งนางก็ส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ นางตั้งใจฟังทุกคำที่ออกมาจากปากชายหนุ่มและดื่มด่ำไปกับเรื่องราวที่เขาเล่า
ความบริสุทธิ์ของนางก่อให้เกิดคลื่นกระทบในใจของหวังเป่าเล่อที่สะท้อนออกไปไกล ทำให้เวลาดูราวกับว่าจะเดินช้าลง ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่บัดนี้ การได้ใช้เวลากับกระต่ายน้อยช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข
ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ทั้งคู่สนุกสนานกับการมีอีกฝ่ายอยู่เคียงข้าง พวกเขาได้พบสหายที่คุ้นเคยมากหน้าหลายตา เช่น เจ้าตำหนักแห่งตำหนักหลอมอาวุธเวทและผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่หวังเป่าเล่อไม่ค่อยถูกชะตาเพราะชอบก่อปัญหาให้เขาอยู่เสมอ เมื่อผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นผู้นั้นเห็นหวังเป่าเล่อ เขาก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะยกมือขึ้นทักทายอยู่ห่างๆ
หวังเป่าเล่อไม่เคยใส่ใจเจ้าตำหนักเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้ก็ไม่คิดใส่ใจด้วย ชายหนุ่มเพียงแค่ยิ้มและผงกศีรษะให้ ราวกับจะลบล้างเอาความบาดหมางทั้งหมดระหว่างกันออกไป เมื่อชายหนุ่มเดินออกมา เจ้าตำหนักก็จ้องมองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาว คลื่นอารมณ์อันมหาศาลพลุ่งพล่านอยู่ในใจขณะที่ก้มหัวลงคำนับหวังเป่าเล่อ พลางจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ค่อยๆ ห่างออกไปช้าๆ
นอกจากนั้น หวังเป่าเล่อยังพาโจวเสี่ยวหยาไปเยี่ยมเฉินอวี่ถง ผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับจากไปปฏิบัติภารกิจหมาดๆ ตอนนั้นเฉินอวี่ถงเลือกที่จะอยู่ที่สำนัก และตอนนี้เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักหลอมอาวุธเวทเรียบร้อย พลังปราณของเขาอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นกลาง ห่างจากชั้นปลายอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เฉินอวี่ถงตื่นเต้นมากเมื่อเห็นหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
ทั้งคู่พากันไปพูดคุยในถ้ำที่พักของเฉินอวี่ถง โดยมีกระต่ายน้อยทำหน้าที่ชงชาให้ศิษย์พี่ทั้งสอง นางจะเกยคางมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาเคลิ้มฝันอยู่เป็นครั้งคราว ดวงใจของหญิงสาวเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขที่ฉายชัดออกมาผ่านสายตา ราวกับว่าดวงตาของนางได้แปรเปลี่ยนไปเป็นพระจันทร์เสี้ยว ส่งผลให้นางยิ่งดูน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก
ทั้งหวังเป่าเล่อและเฉินอวี่ถงต่างพากันนึกย้อนไปถึงสาเหตุที่พวกเขามาสนิทสนมกันได้ ทั้งคู่จึงนึกถึงเซี่ยไห่หยางขึ้นมา!
“เซี่ยไห่หยางแห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง… จนกระทั่งบัดนี้ ข้าก็ยังไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า เจ้าพนักงานระดับสูงคนใดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสนิทสนมด้วย ถึงไม่มีสิ่งใดในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เขาทำไม่ได้…” เมื่อพูดถึงเซี่ยไห่หยาง เฉินอวี่ถงก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ชายผู้นั้นเป็นนักธุรกิจ นี่เขายังอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ” ภาพของเซี่ยไห่หยางลอยขึ้นมาในมโนสำนึกของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ชายหนุ่มนึกไปถึงการเจรจาธุรกิจครั้งแรกระหว่างพวกเขา
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว เขาเรียนจบไปตั้งแต่ปีที่สองหลังจากที่เจ้าไปดวงจันทร์ ข้าจำความสามารถของเขาได้ดีเพราะหลังจากที่ข้าขึ้นเป็นผู้อาวุโส ข้าก็ใช้ความพยายามอย่างมากในการควานหาตัวเขา แต่ดูเหมือนเขาจะหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย”