หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 484 เจ้าอ้วน ไหนลองชกข้าหน่อย!
ทุกคนพากันชื่นชมยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณของหลี่ซิงเหวิน ผู้นำแห่สหพันธรัฐโทรมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง เช่นเดียวกับกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ที่ติดตามเหตุการณ์ใหญ่นี้อย่างใกล้ชิด!
ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นคณะเสนาบดี สำนักรุ่งสางจักรพิภพ ตระกูลนภาห้าสมัย หรือกระทั่งสำนักสหชุมนุมสกุณาก็ต่างรู้ดีว่าสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋านั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
แต่เดิมสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็เป็นขั้วพลังที่น่าเกรงขามมาตั้งแต่ต้น ความแข็งแกร่งนี้ยังขับเน้นด้วยสายสัมพันธ์อันแนบแน่นที่พวกเขามีต่อสหพันธรัฐ ทว่าการที่พวกเขานั้นแยกออกจากกันเป็นสี่ส่วน ส่งผลให้กลุ่มอำนาจการเมืองอื่นรู้สึกว่าสำนักทั้งสี่นั้นไม่อาจแตะต้องได้
ทว่าบัดนี้เมื่อหลี่ซิงเหวินบรรลุขั้น ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป ในอนาคตอีกระยะหนึ่งนับจากนี้ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะกลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า นอกเสียจากว่าต้วนมู่ฉีจะบรรลุขั้นได้เช่นกัน!
แต่แม้ต้วนมู่ฉีจะบรรลุขั้นได้ สถานะของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็รุดหน้าไปกว่าก่อนมากนัก เรียกได้ว่าเทียบเท่าสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวแล้วก็ว่าได้ เหตุการณ์ใหญ่ในวันนี้จะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องไปอีก ตัวอย่างเช่น บรรดาศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะได้รับการยอมรับมากขึ้นจากสังคม และกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ก็จะไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาหากไม่มีเหตุผลอันสมควร
ในส่วนของหวังเป่าเล่อนั้น หากหลี่ซิงเหวินบรรลุขั้นเร็วกว่านี้ ปัญหาทั้งหลายที่เขาต้องพานพบในฐานะเจ้าเมืองก็คงจะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก
อย่างไรเสีย ในตอนนี้หลี่ซิงเหวินก็เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐบนโลก!
ลักษณะนิสัยของเขาที่ชอบช่วยเหลือผู้คนใกล้ชิดซึ่งกำลังประสบปัญหา เป็นที่รู้กันดีในบรรดากลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ดังนั้นการบรรลุขั้นของเขาก็เหมือนเป็นการบีบกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ให้เจียมตัวลงพอสมควร ในเวลาเดียวกัน ช่องข่าวสารยอดนิยมของสหพันธรัฐก็พากันรายงานข่าวเรื่องนี้อย่างแข็งขัน แน่นอนว่าในสายตาของคนหมู่มาก หลี่ซิงเหวินไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนแรก ทว่าเรื่องนั้นไม่ถือเป็นไม่สำคัญ
ตอนนั้นเองหลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งบรรลุขั้นจุติวิญญาณมาหมาดๆ ก็ส่งคำเชิญไปยังกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ให้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่ที่จะจัดขึ้น ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
งานเลี้ยงใหญ่นั้นรวบรวมบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในสหพันธรัฐมาจนหมด นับเป็นงานเลี้ยงที่โอ่อ่าเป็นอย่างยิ่ง คนอื่นๆ อาจไม่ทำเช่นนี้ แต่เป้าหมายของหลี่ซิงเหวินคือการส่งสารออกไปถึงกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ว่าเขาได้บรรลุเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรมีใครมาดูหมิ่นตัวเขา สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หรือสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าอีกต่อไป!
ดังนั้นระหว่างงานเลี้ยงใหญ่นี้ หลี่ซิงเหวินจึงไม่ได้ซ่อนรัศมีขั้นจุติวิญญาณของเขาเอาไว้แต่อย่างใด ชายชราปลดปล่อยพลังออกมาอย่างเต็มที่ พลังนั้นรุนแรงเสียจนกระทั่งผู้ที่มาร่วมงานต่างมีท่าทีนบนอบอยู่ภายนอกแต่กลับหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่ภายในใจ พลางสบถอยู่เบาๆ ด้วยความรู้สึกสิ้นหวังอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เริ่มต้นจวบจนจบงานเลี้ยง หวังเป่าเล่อไม่ปรากฏตัว ชายหนุ่มยังคงนั่งสมาธิอยู่ และหลี่ซิงเหวินก็สร้างเกราะกำบังปกคลุมสถานที่ที่ชายหนุ่มอยู่เพื่อจะได้ไม่มีใครไปรบกวน
งานเลี้ยงใหญ่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป แขกเหรื่อจากทั้งสามยอดสำนักศึกษาเต๋าและกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ต่างทยอยเดินทางกลับ เจ็ดวันผ่านไป หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนั่งหลับตาทำสมาธิมาโดยตลอด ก็ลืมตาขึ้นในที่สุด
วินาทีที่ชายหนุ่มลืมตาขึ้นนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าโลกตรงหน้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ราวกับว่าสีสันของสิ่งต่างๆ สดใสขึ้นกว่าเคยและทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นกว่าเก่า หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงของสายลมและใบหญ้าดังสะท้อนขึ้นมาจากพื้นดิน เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำ ทั้งยังได้ยินกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจที่ดังมาจากบรรดาศิษย์ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเสียงการไหลเวียนของโลหิตในกายพวกเขาด้วย!
ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าพึงใจอย่างบอกไม่ถูก หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปชั่วขณะจึงได้สติกลับมา เมื่อมองเข้าไปภายในกาย ชายหนุ่มจึงเห็นว่าภายในฝักบัวหลักของดอกบัวเขียวมีแก่นในสีเขียวปรากฏขึ้น!
สำเร็จ! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในความตื่นเต้นนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงรีบหันหลังกลับทันที จึงเห็นว่าหลี่ซิงเหวินมายืนอยู่ด้านหลัง ชายชราเข้าถึงตัวหวังเป่าเล่อโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวสักนิด
การฝึกฝนแก่นในหัวใจทำให้เกิดจิตสัมผัสวิญญาณเช่นนั้นหรือ หลี่ซิงเหวินดูแปลกใจที่หวังเป่าเล่อสัมผัสการมาถึงของเขาได้ ชายชราจึงจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่หลายอึดใจ
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสสูงสุดมาเยี่ยมเยียน หวังเป่าเล่อก็รีบผุดลุกขึ้นยืนและยกมือคารวะทันที ในเวลาเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงรัศมีจากกายของผู้อาวุโส เขารู้ดีว่ารัศมีนี้ไม่ใช่ขั้นกำเนิดแก่นในอีกต่อไป แต่เป็นขั้นที่ล้ำลึกกว่านั้นมาก มันให้ความรู้สึกแข็งแกร่งที่มากกว่าผู้ฝึกตนหน้าม้าและผู้ฝึกตนหน้าเหลี่ยมจากต่างดาว และละม้ายคล้ายรัศมีจากผู้ฝึกตนหน้าตะขาบซึ่งเป็นหัวหน้า
หวังเป่าเล่อตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าหลี่ซิงเหวินเพิ่งจะบรรลุขั้น การที่ชายชรามาถึงขั้นนี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นแสดงให้เห็นว่าหลี่ซิงเหวินแข็งแกร่งเพียงใด
ตาเฒ่าประหลาด…หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจด้วยความอิจฉา ถึงกระนั้น สิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ก็คือชายชราเองก็พึมพำเช่นเดียวกันอยู่ในใจ
เจ้านี่เป็นเด็กหนุ่มที่ประหลาดนัก อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นเพียงเท่านั้น แต่ก็มีแก่นในอัสนีเสียแล้ว แถมยังมีแก่นในหัวใจอยู่ในร่างด้วย แถมยังมีรัศมีที่ไม่เหมือนใครแผ่ออกมาจากร่าง ยิ่งไปกว่านั้นจิตสัมผัสวิญญาณก็แหลมคมถึงเพียงนี้ บัดซบ ตัวข้ากว่าจะมีจิตสัมผัสวิญญาณก็ต้องบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้วเชียวนะ แต่เจ้านี่กลับมีเสียแล้ว! หลี่ซิงเหวินเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง
“เจ้าอ้วน ไหนลองชกข้าดูสักครั้งเสีย ข้าอยากรู้ด้วยตัวเองว่าแก่นในดวงใจจะทรงพลังเพียงใด”
“แก่นในหัวใจหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อตกตะลึง
“นี่เจ้าโง่หรืออย่างไร แก่นในหัวใจก็สิ่งที่เจ้าสร้างอยู่นั่นไง มันเทียบเท่ากับขั้นกำเนิดแก่นในสำหรับกายเจ้า!” หลี่ซิงเหวินพูด และหวังเป่าเล่อก็เข้าใจสิ่งที่ชายชราพูดในทันที ในเมื่อหลี่ซิงเหวินร้องขอและตัวชายหนุ่มเองก็อยากทดลองพลังการต่อสู้ของตนเอง ดังนั้นหลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึก หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยพลังของแก่นในทั้งสามในกายออกมาพร้อมๆ กัน ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น พร้อมสายฟ้าฟาดที่กำเนิดขึ้นมาและกระจายออกไปทั่ว เปลวไฟเย็นเยียบก็ก่อตัวขึ้นมาด้วย เมื่อชายหนุ่มออกหมัดไปก็ดูคล้ายกับว่าเทพสงครามกำลังชกใส่หลี่ซิงเหวินอยู่กระนั้น
กำปั้นนั้นทำให้สายลมและหมู่เมฆเริ่มหมุนวน และก่อเกิดแรงระเบิดอันมหาศาลขึ้นอย่างฉับพลัน แต่กระนั้น เมื่อหมัดเข้าถึงตัวหลี่ซิงเหวิน ชายชราก็หยุดมันเอาไว้ด้วยนิ้วชี้ขวาเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น!
เสียงกัมปนาทนั้นดังขึ้นเสียจนหูแทบดับ ราวกับว่ามีพายุหมุนขนาดยักษ์พัดเข้าใส่ระหว่างคนทั้งคู่ ผมของหลี่ซิงเหวินปลิวสยายใต้แรงลม เสื้อของเขาพัดเปิดขึ้น ชายชรายังคงมีท่าทีสงบ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
ด้านหวังเป่าเล่อนั้นตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงสะท้อนกลับที่ไหลสะท้านไปทั่วทั้งกาย ทำให้อวัยวะภายในของเขาแทบจะทนไม่ไหว ทว่าตอนที่ดอกบัวเขียวเริ่มสั่นสะท้าน แสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นจากในกายเขา และย้อนคืนทุกอย่างจนเข้าสู่สภาวะปกติ
แม้กระนั้น ชายหนุ่มก็อารมณ์เสียเป็นอย่างยิ่ง เพราะหมัดที่เขาชกออกไปสุดแรงนั้นถูกผู้อาวุโสสูงสุดหยุดไว้ด้วยนิ้วเดียว หวังเป่าเล่อผิดหวัง และหลังจากโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว เขาก็ทอดถอนใจออกมาเป็นการใหญ่
“เท่านี้เองหรือ ข้าจะถือว่าให้แค่ผ่านก็แล้วกัน เอาละ เจ้าอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มานานเกินไปแล้ว กลับดาวอังคารไปเสีย” ผู้อาวุโสสูงสุดลดมือลงและพูดอย่างหยิ่งยโส ราวกับว่ายอมรับหวังเป่าเล่ออย่างไม่เต็มใจนัก ชายชราสะบัดชายเสื้อและหันหลังเดินจากไป ทิ้งหวังเป่าเล่อผู้ที่ยังคงทอดถอนใจอย่างเจ็บปวดกับความอ่อนแอของตนเอาไว้ด้านหลัง
ทว่าเมื่อเดินไปถึงที่ลับตาคนแล้ว สีหน้าหยิ่งยโสของหลี่ซิงเหวินก็หายไปในทันที อวัยวะภายในของเขาบีบตัวกันแน่น ชายชรายกมือขึ้นกุมนิ้วมือไว้พลางกัดฟันกรอด เขาใช้มือลูบนิ้วอยู่นาน ขณะเดียวกันนั้นเอง ชายเสื้อของชายชราก็สลายกลายเป็นผง แถมเสื้อคลุมตัวยาวที่เขาใส่ก็ขาดวิ่น
เจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งเกินไป อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นเท่านั้น แต่ยังเกือบจะหักนิ้วข้าได้ด้วยการชกเพียงครั้งเดียว…หลี่ซิงเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเขาไม่ได้ใช้เคล็ดเวทใดๆ ในการต่อสู้ แต่ชายชราก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ และไม่ควรมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่ไร้ซึ่งท่าไม้ตายใดๆ จะเอาชนะเขาได้ หากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคิดจะต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณด้วยพลังปราณเพียงอย่างเดียว ฝ่ายหลังไม่ควรจะมีแม้กระทั่งรอยขีดข่วนเสียด้วยซ้ำ
แต่หวังเป่าเล่อกลับทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบาดเจ็บได้ด้วยการใช้กำลังกายเพียงอย่างเดียว สิ่งนี้ทำให้หลี่ซิงเหวินตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
แก่นในหัวใจนั้นทรงพลังยิ่ง แต่การที่เขามาถึงจุดนี้ได้แปลว่ารัศมีที่ซ่อนอยู่ในกายเขาก็มีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน…รัศมีนี้…อ้า จะดูถูกเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ทุกกลุ่มอำนาจการเมืองในสหพันธรัฐต้องการ…หากถูกฉวยเอาไป จะต้องเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน! หลี่ซิงเหวินยกมือขึ้นนวดหน้าผาก ก่อนจะพร่ำบ่นอยู่กับตัวเองขณะที่มีสีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมา
บางทีข้าอาจจะคิดมากเกินไป เขาอาจแค่ได้รับมันมาบ้างเล้กน้อยหลังจากที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนดาวอังคารก็ได้…หลี่ซิงเหวินส่ายศีรษะ ถึงกระนั้น ชายชราก็ยังมีความสุขเมื่อได้รู้ว่าศิษย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด หลังจากใช้จิตสัมผัสวิญญาณตรวจสอบดูว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น เขาก็รีบเปลี่ยนชุดคลุมเต๋าชุดใหม่ก่อนจะจากไป
ฝ่ายหวังเป่าเล่อนั้น ขณะนี้ก็ยังถอนหายใจอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงความอ่อนแอของตนเองอย่างหนัก เพราะเหตุนี้ ความต้องการที่จะยึดครองวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคารก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น โดยหวังว่าตนจะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานหากได้ครอบครองวัตถุเวทแห่งความมืด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มกังวลที่ตนจากดาวอังคารมาเนิ่นนาน ชายหนุ่มกังวลที่ตนทิ้งวัตถุเวทแห่งความมืดเอาไว้ เพราะมีผู้ทรงอิทธิพลในสหพันธรัฐมากมายที่หมายตาสมบัติชิ้นนั้น หวังเป่าเล่อไม่กล้าบอกใครว่าตัวเขาเป็นเจ้าของวัตถุเวทแห่งความมืดนั้น เพราะเหตุนี้ความต้องการที่จะกลับไปดาวอังคารจึงมากขึ้นเป็นกำลัง
ชายหนุ่มรีบแล่นไปแจ้งประมุขสำนักว่าเขาจะขอตัวกลับ จากนั้นก็ร่ำลากระต่ายน้อย หลังจากที่เห็นนางกลับไปยังเขตถือสันโดษ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มพบเจ้าลากำลังนอนเอกเขนกอยู่ข้างๆ วานรเพชรด้วยสีหน้าพึงพอใจ แล้วก็มองไปเห็นหุ่นเชิดพังๆ จำนวนหนึ่งกองอยู่ข้างๆ อสูรทั้งสอง ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง
ในที่สุด ชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเดินไปดึงหูเจ้าลาออกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไป เมื่อกลับมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าไปพูดคุยกับบิดามารดา ก่อนจะก้าวขึ้นเรือบินออกจากนครหลวงในเช้าวันถัดมา ท่ามกลางการอารักขาของเรือบินอีกแปดลำที่ถูกส่งมาเพื่อคุ้มกันเขา หวังเป่าเล่อก็เดินทางทะลุหมู่เมฆขึ้นมาถึงจักรวาล มุ่งหน้าไปยังดาวอังคารด้วยความเร็วสูง!