หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 489 ข้าคือเทียนไสว่จื่อ!
กำแพงชั้นที่สองนั้น…เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าชั้นแรง พลังวิญญาณที่มันแผ่ออกมาทำให้ทุกคนในสุสานใต้ดินถึงกับผงะไป!
กำแพงสีม่วงขยายตัวออกทันทีที่ปรากฏ ดูคล้ายผ้าม่านสีม่วงผืนบางที่ขยายออกมาเป็นระลอกคลื่น และเข้าปะทะกับหลี่ซิงเหวินผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของกลุ่มคนเข้าอย่างจัง
ชายชรามีสีหน้าตื่นตกใจ เขาไม่อาจโต้กลับได้จึงถูกแสงนั้นผลักกระเด็นออกมา เจ้านครและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่อาจป้องกันแสงนั้นได้ ต่างก็ถูกแสงผลักกระเด็นไปคนละทิศละทาง
เจ้านครถึงกับลมหายใจขาดช่วง นางหงายหลังล้มลงไปด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้มาก่อน นางไม่คิดว่าจะมีกำแพงสีม่วงอีกชั้นหนึ่งซ่อนอยู่ภายใต้กำแพงชั้นแรก เจ้านครรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังควบคุมการปรากฏตัวของกำแพงชั้นที่สองนี้
หรือว่า…อาวุธเทพชิ้นนี้ วัตถุเวทแห่งความมืดนี้จะมีเจ้าของแล้ว คำถามมากมายผุดขึ้นในใจของเจ้านคร นางปรายตามองไปทางหลี่ซิงเหวินขณะที่กำลังล่าถอย และเห็นแววตาเคลือบแคลงใจปรากฏอยู่บนในหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ากำแพงแสงนี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเหล่าผู้ฝึกตนแต่อย่างใด มันเพียงผลักพวกเขาออกไปโดยไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บ ถึงอย่างนั้นพลังของมันก็ยังส่งทุกคนให้หมุนคว้างไปด้วยความตื่นตกใจ
หวังเป่าเล่อเองก็ถูกอัดกระเด็นมาเช่นกัน ความตกตะลึงฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้า ชายหนุ่มถึงกับส่งเสียงร้องออกมา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…ความแข็งแกร่งของกำแพงนั้นสูงเกินกว่าที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้มาก ขณะที่ทุกคนล่าถอยออกมานั้น นัยน์ตาของหลี่ซิงเหวินก็หดเล็กลง พลันมีแผ่นหยกปรากฏขึ้นในมือเขา หากเขาหักมันเมื่อใด ระเบิดต้านทานวิญญาณและวงแหวนปราณระบบสุริยะก็จะเปิดใช้งานในทันที ชายชรายังคงรีรอ แววตาสงสัยและไม่แน่ใจฉาบเคลือบอยู่ในดวงตาขณะที่ชำเลืองมองไปยังหวังเป่าเล่อ
ในวินาทีนั้นเอง พลังวิญญาณอันมหาศาลที่รุนแรงจนอาจสั่นคลอนสวรรค์ได้ก็ปะทุออกมาจากภายในเกราะกำแพงสีม่วงราวกับเป็นพายุขนาดใหญ่!
พลังวิญญาณนั้นรุนแรงจนเกินกว่าขั้นกำเนิดแก่นใน และแรงพอที่จะกดดันพลังของขั้นจุติวิญญาณเอาไว้ได้ พลังนั้นแผ่ไปทั่วสุสานใต้ดินก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นดวงจิตที่พุ่งผ่านทุกคนไม่เว้นกระทั่งหวังเป่าเล่อ ทุกในนั้นเริ่มเวียนศีรษะ ราวกับว่าจิตใจของพวกเขาถูกดวงจิตนั้นสัมผัสโดยตรง
มีเสียงที่ดุดัน ทรงอำนาจ และแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจดังขึ้นในใจของทุกคนพร้อมๆ กัน!
“หนวกหูอะไรอย่างนี้!”
เสียงนั้นคำรามก้องราวฟ้าผ่า มันระเบิดดังขึ้นในสุสานใต้ดิน และสะท้อนก้องอยู่ในหูของทุกคน ผู้ฝึกตนทุกคนต่างก็ตกตะลึง พวกเขาสัมผัสได้ถึงความมีอายุในน้ำเสียงนั้น เจ้าของเสียงต้องมีชีวิตอยู่มาเป็นเวลานานมากๆ แล้ว น้ำเสียงของเขาฟังดูเก่าแก่ราววันเวลาและแผ่ไพศาลราวห้วงอากาศ
สายตาของทุกชีวิตในถ้ำต่างตื่นตกใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น หลายคนคาดเดาเรื่องอาวุธเทพไปต่างๆ นานา แถมยังรู้สึกได้ว่าเจ้าของอาวุธเทพชิ้นนี้อาจอาศัยอยู่ภายในตัวอาวุธเทพนั่นเอง แต่สหพันธรัฐคิดว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นน้อยนิดเหลือเกิน
มาบัดนี้ น้ำเสียงดุดันที่สะท้อนก้องไปทั่วสุสานใต้ดินได้พิสูจน์แล้วว่าโอกาสน้อยนิดที่ว่านั้นกลายมาเป็นความจริงเสียแล้ว เจ้าของอาวุธเทพแห่งดาวอังคารอาศัยอยู่ด้านในอาวุธเทพจริงๆ เสียด้วย!
เห็นได้ชัดว่าบุคคลผู้นี้มีบุคลิกลึกลับยากหยั่งถึง ภาษาที่เขาใช้ไม่เหมือนภาษาในอารยธรรมใดๆ แต่เป็นเหมือนเจตจำนงจากดวงจิตที่เข้าไปดังก้องอยู่ในใจของผู้ฟัง เป็นการแลกเปลี่ยนผ่านจิตใจที่ก้าวผ่านกำแพงของภาษาไปอย่างสิ้นเชิง เป็นวิธีที่ทำให้ทุกคนถึงกับผงะด้วยความตกใจกลัว
มีคนอยู่ด้านในจริงๆ ด้วย! เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารหรี่ตาลง สิ่งนี้เป็นอาวุธเทพบนดาวของนาง แต่นางเพิ่งจะได้รู้วันนี้เองว่ามีผู้ฝึกตนจากต่างดาวกบดานอยู่ด้านในตลอดมา เจ้านครพลุ่งพล่านไปด้วยอารมณ์และรีบระวังตัวขึ้นมาทันที โศกนาฏกรรมบนดาวพุธยังคงฉายชัดอยู่ในใจนาง!
หวังเป่าเล่อเองก็ตาเบิกโพลง แสดงสีหน้าตกใจสุดขีด กระทั่งหยุดลมหายใจไปชั่วขณะเลยทีเดียว ก่อนจะแสร้งทำเป็นถอยหนีตามสัญชาติญาณ หลี่ซิงเหวินแม้จะสงสัยว่าหวังเป่าเล่อมีความเกี่ยวข้องกับวัตถุเวทแห่งความมืด ทว่าตอนนี้เขากลับเคลือบแคลงขึ้นมา ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวถอยหลังไประยะหนึ่ง ก่อนจะยกมือประสานและหันไปทางกำแพงสีม่วงพลางกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรามาจากอารยธรรมบนโลกมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งในระบบสุริยะ ดาวดวงนี้…เป็นถิ่นอาศัยของอารยธรรมเรา เราไม่รู้ว่าท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่จึงได้ทำการล่วงเกิน ข้าขอให้ท่านโปรดเมตตาด้วย”
หลี่ซิงเหวินพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้จิตสัมผัสวิญญาณพร้อมๆ ไปกับการพูด และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะส่งความปรารถนาดีออกไปพร้อมจิตสัมผัสวิญญาณนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ตกใจและหวั่นเกรงพลังของกำแพงสีม่วงอยู่ไม่น้อย
จิตใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินหลี่ซิงเหวินพูด ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง น้ำเสียงเคลือบแคลงใจก็ดังออกมาจากกำแพงสีม่วงอีกคำรบ
“อารยธรรมของเจ้าเช่นนั้นหรือ ตอนที่ข้าเริ่มต้นถือสันโดษ ข้าจำได้ว่าจักรวาลแถบนี้เป็นของสำนักแห่งความมืด…” เสียงนั้นหยุดพูดไปชั่วขณะ และดวงจิตของมันก็ดูเหมือนจะปะทุขึ้นมาอีกครั้งก่อนหลั่งไหลออกมาภายนอก มันขยายตัวขึ้นอึดใจหนึ่งและอึดใจถัดมาก็หายวับไป หลังจากความเงียบงันอันยาวนาน ก็มีเสียงถอนหายใจดังมา
“เมื่อได้มาคิดว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้…”
ทั้งหลี่ซิงเหวินและเจ้านครต่างก็ตกตะลึงอีกครั้งเพราะการปรากฏตัวและจางหายไปอย่างฉับพลันของดวงจิตนั้น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ ก็พากันหายใจไม่ทั่วท้อง ทุกคนล้วนตัวสั่นเทา หลี่ซิงเหวินยังคงกำแผ่นหยกเอาไว้ในมือแน่น ชายชรายังชั่งใจอยู่ จากนั้นเขาก็หันกลับไปหากำแพงสีม่วงก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้งหนึ่ง
“ศิษย์พี่ ตอนนี้…ที่นี่เป็นอารยธรรมที่โลกได้สร้างขึ้น!”
ทันทีที่หลี่ซิงเหวินพูดจบ เสียงถอนหายใจก็ดังออกมาจากกำแพงสีม่วงอีกครั้ง
“ข้า เทียนไสว่จื่อ ได้ติดตามเต๋าสวรรค์มานับร้อยนับพันปีจนมาถึงที่นี่ แม้ว่าเต๋าในหัวใจของคนนั้นจะคงอยู่เป็นนิรันดร์ ทว่าเวลาในจักรวาลที่เหลือก็ยังคงไหลผ่านไป ใครจะไปรู้ได้ว่าดวงดาวได้เคลื่อนคล้อยจนยุคสมัยหนึ่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว…”
เสียงที่แก่ชราดังออกมาจากกำแพงสีม่วงอีกครั้งและสะท้อนก้องอยู่ในใจของทุกคน ชื่อเทียนไสว่จื่อฝังลึกลงในใจทุกคนขณะที่พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แตกตื่น ผู้ฝึกตนทุกต่างพากันโค้งคำนับเพื่อทักทาย
หวังเป่าเล่อเองก็โค้งคำนับทั้งที่ตัวสั่นอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ภายในใจของชายหนุ่มนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง สิ่งที่ทุกคนเข้าใจกันว่าเป็นเจ้าของอาวุธเทพแท้จริงนั้นคือราชครูชรา วิญญาณวุธของเขานั่นเอง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ บทพูดของราชครูก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อก็เป็นคนคิดขึ้นมา ชื่อเทียนไสว่จื่อก็เป็นความคิดอันชาญฉลาดของเขา แม้ว่าราชครูชราจะแทบออกเสียงชื่อนี้ไม่ได้ตอนที่หวังเป่าเล่อบอกเขาครั้งแรก แต่วิญญาณวุธชราก็ต้องยอมทำตามคำสั่งของชายหนุ่มและฝึกจนพูดได้
มาบัดนี้ ราชครูชราไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อผิดหวังแม้แต่น้อย กระทั่งชายหนุ่มเองยังเชื่อที่อีกฝ่ายพูดเลย
ส่วนกำแพงสีม่วงนั้นเป็นเกราะป้องกันที่เรือสำปั้นวัตถุเวทแห่งความมืดสร้างขึ้นหลังจากที่ฟื้นพลังมาได้ร้อยละสิบ ระดับพลังเทียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสูง ฉากที่น่าเกรงขามนี้เป็นเพียงขั้นแรกในแผนของหวังเป่าเล่อเท่านั้น!
ท่านปู่ผู้อาวุโสสูงสุดบอกใบ้ว่าข้าต้องทำให้สหพันธรัฐรู้สึกเกรงขามเพื่อไม่ให้พวกเขายึดอาวุธไป เท่านี้น่าจะพออยู่นะ ข้าไม่อาจทำเกินเลยมากกว่านี้ แผนข้าคงจบสิ้นแน่หากผู้อาวุโสสูงสุดยิงระเบิดต้านทานวิญญาณใส่! หวังเป่าเล่อกะพริบตา สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็เพียงรอให้ราชครูชราพูดขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะจบขั้นที่สองของแผนการ
แผนของเขาขั้นแรกคือการสร้างความตกใจและตื่นตะลึง ขั้นที่สองคือสร้างความหวาดกลัวที่จะป้องกันไม่ให้ผู้นำสหพันธรัฐหรือกลุ่มอำนาจการเมืองใดๆ กล้ามายุ่งกับวัตถุเวทแห่งความมืดอีก แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าสหพันธรัฐได้เตรียมการและเสียสละไปอย่างมากเพื่อจะได้อาวุธเวทแห่งดาวอังคารไปครอบครอง หากชายหนุ่มไล่พวกกลับไปมือเปล่า พวกเขาอาจไปคิดแผนการใหม่และกลับมาอีกครั้งก็เป็นได้
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงวางแผนจะให้อะไรพวกเขาติดมือกลับไปบ้าง ขณะที่สมองของชายหนุ่มกำลังทำงานอย่างหนัก ราชครูในกำแพงสีม่วงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงที่แก่ชรานั้นดังออกมาอีกคราหนึ่ง
“ในเมื่อดวงดาวได้คลาดเคลื่อนไป และสถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของอารยธรรมของพวกเจ้า ข้าเองก็คงไม่อาจจะบรรลุข้อตกลงที่มีต่อสำนักแห่งความมืดตั้งแต่เมื่อครั้งก่อนนั้นได้…ดีละ ในฐานะสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ข้าก็ไม่อาจอยู่บนดาวของพวกเจ้าโดยไม่ให้สิ่งใดตอบแทนได้ จากนี้ไป ผู้ที่มาฝึกตนอยู่นอกถ้ำของข้าจะมีโอกาสได้รับของขวัญแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นดังออกมา พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งก็ปะทุขึ้นจากภายในกำแพงสีม่วงอีกครั้ง เป็นพลังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต พวยพุ่งออกมาจากเขตนครพิเศษและเข้าไปหมุนวนอยู่ในพื้นพิภพและสรวงสวรรค์ พื้นดินภายใต้เมืองสั่นไหวและส่งเสียงคำรามลั่น ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกพากันผงะถอยหลังด้วยความตกใจเมื่อพลังชีวิตเข้มข้นปริมาณมหาศาลไหลบ่าท่วมนคร พืชพรรณงอกงามและดอกไม้ก็ผลิบานในชั่วอึดใจ ในเวลาเดียวกัน ทั้งผู้ฝึกตนและคนทั่วไปต่างพากันหายใจไม่ทั่วท้อง พวกเขาล้วนรู้สึกว่าร่างกายเบาลง รู้สึกถึงกระแสแห่งพลังที่พวยพุ่งออกมาช่วยให้จิตใจผ่อนคลายและร่าเริงขณะที่ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินนี้!
ฉากนั้นทำให้ทุกคนในสุสานใต้ดินตกตะลึงอีกครั้ง พวกเขาทั้งพูดไม่ออกและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ต่างคนต่างก็หันไปมองที่หลี่ซิงเหวินเป็นตาเดียว