หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 494 อ่อนแอถึงเพียงนั้น
หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ตั้งใจฟังต้วนมู่ฉีอย่างเคร่งเครียด ทุกคนรู้ดีว่าข้อมูลที่กำลังจะได้รับ จะทำให้ชีวิตของพวกเขาบนกระบี่สำริดเขียวโบราณสะดวกสบายยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่าเหล่าพันธุ์กล้าตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ต้วนมู่ฉีก็เงียบลงหลังจากที่อธิบายโครงสร้างของกระบี่สำริดเขียวโบราณเรียบร้อย เขามองหลี่ซิงเหวินที่พยักหน้าตอบรับ เพื่อทำหน้าที่แนะนำสำนักที่อาศัยอยู่บนกระบี่สำริดโบราณต่อ
“บนกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้น มีสำนักที่มีพลังปราณก้าวล้ำหน้าสหพันธรัฐไปมาก นามของสำนักนั้นคือ… สำนักวังเต๋าไพศาล!
“สำนักวังเต๋าไพศาลมีผู้ปกครองอยู่สามคนด้วยกัน ขั้นปราณของทั้งสามแซงหน้าขั้นจุติวิญญาณไปแล้ว โดยอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณ นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณอยู่หลายสิบคน และผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นกำเนิดแก่นในอยู่มากมายนับไม่ถ้วน!”
เมื่อได้ยินที่หลี่ซิงเหวินพูด จั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า และคนอื่นๆ ก็ตกใจเป็นอันมาก หลี่อี้และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในกลุ่มพันธุ์กล้าสหพันธรัฐต่างตกใจไม่แพ้กันจนเบิกตากว้าง ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้าใส่พวกเขา ด้านหนึ่งชื่อของปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทำให้พวกเขารู้ว่ามีขั้นที่สูงไปกว่าขั้นจุติวิญญาณ และอีกด้านหนึ่ง จำนวนผู้ที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นทำให้พวกเขาตื่นตกใจมาก
สำหรับพันธุ์กล้าเหล่านี้ สำนักวังเต๋าไพศาลฟังดูยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเหลือกัน จนสามารถบดขยี้สหพันธรัฐให้แหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย และความจริงที่ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ที่พวกเขากำลังจะไปเยือน ก็ทำให้ทุกคนตระหนกเป็นอันมาก
มีเพียงหวังเป่าเล่อคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เขากระพริบตาปริบๆ หลายครั้ง ก่อนจะเบ้ปากลงด้วยความประหลาดใจในทางตรงกันข้าม เขาไม่ได้มองสำนักวังเต๋าไพศาลว่าแข็งแกร่ง หากแต่คิดว่าเป็นสำนักที่อ่อนแอมากต่างหาก…
มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่เพียงสามคนเองหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ยังถือว่าเป็นสำนักขนาดเล็ก แต่หากเป็นสำนักเล็ก เหตุใดจึงยึดครองกระบี่โบราณ และนำพาระบบสุริยะให้เข้าสู่ยุคกำเนิดวิญญาณได้เล่า หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาทนรอไม่ไหวจึงกระซิบถามแม่นางน้อยในใจถึงเรื่องดังกล่าว
“แม่นางน้อย เจ้ามาจากสำนักวังเต๋าไพศาลใช่หรือไม่ สำนักของเจ้ามีฤทธิ์เพียงเท่านี้เองหรือ”
แม่นางน้อยที่ไม่ยอมพูดคุยกับหวังเป่าเล่อตั้งแต่ที่เขาได้วัตถุเวทแห่งความมืดมาครอบครอง ก็กลับมาพุดคุยกับเขาในที่สุด เสียงของนางดูสับสนงุนงง นางตอบคำถามอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ
“มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล จากที่ข้าจำได้สำนักของข้านั้นมีผู้นำผู้ฝึกตนระดับดาราจักรอยู่หลายคน นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์และระดับดาวนพเคราะห์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน… นอกจากนี้ผู้ที่จะเข้าเป็นศิษย์สืบทอดของสำนักวังเต๋าไพศาลได้ ต้องบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะเป็นอย่างต่ำ!
“ส่วนผู้มีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณนั้น… จากที่ข้าจำได้ เป็นเพียงศิษย์สำนักในธรรมดาทั่วไปเท่านั้น…”
แม่นางน้อยดูเคลือบแคลงใจเป็นอันมาก หลังจากเงียบอยู่เป็นเวลานาน เสียงของนางก็ดังก้องในใจหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“ข้าจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้สัมผัสด้วยตนเอง เมื่อไปถึงที่…”
หวังเป่าเล่อประหลาดใจเมื่อได้ยินคำตอบของแม่นางน้อย ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นสำนักที่อ่อนแอ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่นางน้อยอธิบาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ในความเป็นจริง หลังจากที่ไปเยือนดวงดาวแห่งความมืด เขาก็เข้าใจลำดับขั้นของปราณทั้งหมดอย่างถ่องแท้ เขารู้ดีว่าผู้นำที่มีปราณขั้นดาราจักรนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
จากบันทึกของสำนักแห่งความมืด ผู้ฝึกตนชั้นสูงถึงเพียงนั้นมีพลังอำนาจมากพอจะทำลายดาราจักรให้ราบเป็นหน้ากลองได้ ดาราจักรนั้นกว้างใหญ่ไพศาลจนบรรจุดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนไว้ภายใน เพียงเท่านี้ก็คงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าผู้นำที่มีปราณขั้นดาราจักรนั้นทรงพลังจนน่าหวั่นกลัวเพียงใด
หากมีผู้นำชั้นสูงถึงเพียงนั้นอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นดารานิรันดร์และดาวนพเคราะห์ หวังเป่าเล่อตกใจกับคำอธิบายนี้มาก เขารู้สึกยำเกรงความยิ่งใหญ่ทรงอำนาจของกระบี่สำริดโบราณขึ้นมาทันที
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตกใจอยู่นั้น หลี่ซิงเหวินก็อธิบายข้อมูลที่สหพันธรัฐทราบให้พันธุ์กล้าฟังต่อไป
“ที่ตั้งของสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่ที่เขตแรกของกระบี่ อันเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ด้ามจับมากที่สุด จากที่เราทราบ ผู้นำทั้งสามของสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นคือ ศิษย์พี่เฟิ่งชิวหรัน ศิษย์พี่เมี่ยเลี่ยจื่อ และศิษย์พี่โยวหรัน จากทั้งสามท่านนี้ ศิษย์พี่เฟิ่งชิวหรันคือผู้ที่ต้องการร่วมมือกับสหพันธรัฐเพื่อพัฒนาไปด้วยกันในฐานะบ้านพี่เมืองน้อง!”
“ส่วนศิษย์พี่เมี่ยเลี่ยจื่อนั้นไม่เห็นด้วยกับภารกิจนี้ และศิษย์พี่โยวหรันไม่ได้มีความสนใจเรื่องทางโลก เพียงแต่มุ่งมั่นกับการบรรลุธรรมแห่งเต๋าเท่านั้น” หลี่ซิงเหวินพูดอย่างตรงไปตรงมา แม้โมเกาจื่อจะยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็ตาม ตัวโมเกาจื่อเองก็ดูเห็นด้วยกับสิ่งที่หลี่ซิงเหวินพูด
ดวงตาของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคนเป็นประกาย ทุกคนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ตอนที่พวกเขามาเหยียบยังดาวพุธแห่งนี้ ทุกคนรู้มาบ้างว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ตอนนี้เมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากหลี่ซิงเหวิน พวกเขาก็อนุมานได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
หวังเป่าเล่อเองก็เข้าใจเช่นกัน เขารู้ในทันทีว่าเฟิ่งชิวหรันมีอุปนิสัยอ่อนโยน และโมเกาเจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้วนมู่ฉีคือคนที่เฟิ่งชิวหรันส่งมา ส่วนเมี่ยเลี่ยจื่อชมชอบความคิดที่จะยึดครองและกดขี่สหพันธรัฐให้เป็นทาสอาณานิคมมากว่า
นี่แปลว่าการไปเยือนครั้งนี้ คือการเชื่อมสัมพันธภาพครั้งแรกกับฝ่ายที่เป็นมิตร… หวังเป่าเล่อหรี่ตาให้กับความคิดนี้ ส่วนต้วนมู่ฉีกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนเริ่มบรรยายต่อจากหลี่ซิงเหวิน
“พวกเจ้ารู้สิ่งที่ควรรู้แล้ว ส่วนรายละเอียดต่อจากนี้นั้นพวกเจ้าต้องไปหากันเอาเองเมื่อเดินทางไปถึงสำนักวังเต๋าไพศาล พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเจ้าคือคนที่สหพันธรัฐส่งไปประจำที่สำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อฝึกวิชา ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะมีอนาคตที่สดใสที่นั่น!”
ต้วนมู่ฉีพูดต่อ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขึ้น เสียงทุ้มต่ำของเขากระจายไปทั่วบริเวณ
“ทว่า… พวกเจ้าอย่าลืมภารกิจตน แม้ศิษย์พี่โมเกาจื่อจะอยู่ตรงนี้ แต่ข้าขอกำชับอีกครั้งว่าพวกเจ้ามีสองภารกิจที่ต้องทำ!”
“ภารกิจแรกคือ พวกเจ้าต้องเข้าไปในสำนักวังเต๋าไพศาลตามการจัดการของศิษย์พี่เฟิ่งชิวหรัน และช่วยเหลือท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้… ประการที่สอง พวกเจ้าจะต้องรวบรวมกระบวนเวทมาให้ได้มากที่สุด และส่งกระบวนเวทนั้นกลับมาให้สหพันธรัฐโดยใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้!” เมื่อพูดจบ ต้วนมู่ฉีก็หันไปทำมือคารวะโมเกาจื่อ
โมเกาจื่อที่มีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอดกลับหัวเราะออกมา และหันกลับไปทำมือคารวะต้วนมู่ฉีคืน เพื่อแสดงว่าตนเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีหลายความคิดที่แวบเข้ามาในหัวเช่นกัน เขาติดต่อพูดคุยกับสหพันธรัฐอยู่บ่อยครั้ง จนอาจพูดได้ว่าอารยธรรมการฝึกตนบนโลกนั้นขับเคลื่อนโดยโมเกาจื่อคนนี้
หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ชายชราเฝ้ามองความก้าวหน้าด้านการฝึกปราณที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วบนโลก จนมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเช่นเดียวกับเขากำเนิดขึ้น โมเกาจื่อประหลาดใจกับพัฒนาการนี้มาก ก่อนหน้านี้เขามาถึงโลกเพราะมีภารกิจที่ต้องปฏิบัติ แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าภายในเวลาไม่กี่สิบปี การฝึกปราณของโลกจะเดินหน้ามาถึงระดับนี้ได้
นี่เป็นเรื่องหายากยิ่งในประวัติศาสตร์ และอาจแปลได้ว่าโลกเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกตน มากกว่าสถานที่ที่เผ่าไพศาลอาศัยอยู่!
โดยเฉพาะถ้าดูในแง่ของขนาดสติปัญญา หลังจากที่ค้นคว้าหาข้อมูลมาหลายปี โมเกาจื่อก็พบว่ามนุษย์บนโลกส่วนมากมีระดับสติปัญญาสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัวแล้ว เขาอดคิดไม่ได้ว่าระบบสุริยะคือสถานที่เช่นใดเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้า ถึงทำให้เผ่าพันธุ์เช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้
ผลการค้นคว้านี้ทำให้เขาเสนอโครงการการร่วมมือกันพัฒนาอารยธรรมต่อเฟิ่งชิวหรัน ด้วยความมั่นใจและเสียงสนับสนุน นอกจากนี้โมเกาจื่อยังรู้สึกผูกพันกับโลก เขาต้องการเห็นโลกสร้างรากฐานที่แข็งแรงในอารยธรรมการฝึกปราณ อันถูกถ่ายทอดให้เห็นทั้งจากความพยายามและความกังวลมากมายของสหพันธรัฐ
ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินมองหน้ากันหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากโมเกาจื่อ ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณชายชราอย่างมากล้น แต่ความรู้สึกส่วนตัวจะเข้ามาเกี่ยวพันกับการบ้านการเมืองไม่ได้ ดังนั้นต้วนมู่ฉีจึงยังต้องพูดในสิ่งที่ควรพูดอยู่ดี
“สหพันธรัฐเพิ่งเริ่มฝึกปราณระดับจิตวิญญาณอมตะมาได้ไม่กี่สิบปีเท่านั้น แม้ปราณวิญญาณจะดูเหมือนไร้ขีดจำกัด แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ปริมาณปราณวิญยาณที่มีจำกัดนี้ คือจุดชี้เป็นชี้ตายว่าเราจะก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้หรือไม่ กระบวนเวทที่มีก็สำคัญมากเช่นกัน พวกเจ้าต้องระลึกถึงความจริงข้อนี้เอาไว้ให้ดี!
“สหพันธรัฐจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงามกับสิ่งที่พวกเจ้าทำให้อาณาจักรของเรา ข้าขอสัญญาว่าผู้ใดที่ส่งกระบวนเวทกลับมาได้ครบทุกสิบกระบวนเวท จะได้รับการปรับตำแหน่งขุนนางหนึ่งขั้น!”
“นอกจากนั้น เมื่อพวกเจ้าทำภารกิจสำเร็จและกลับมาเรียบร้อย จะได้รับทรัพยากรเพิ่มเติมตามผลงานที่พวกเจ้าทำได้!” คำพูดของต้วนมู่ฉีเด็ดขาดตรงไปตรงมา การที่มีหลี่ซิงเหวินและกลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ อยู่ ณ ที่นี้เพื่อเป็นสักขีพยานด้วย แสดงให้เห็นว่าสหพันธรัฐจริงจังเรื่องการเพิ่มคลังวิชากระบวนเวทมากเพียงใด
เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่ยืนอยู่บนเสารู้สึกถึงอารมณ์ที่ปั่นป่วนขึ้นภายในใจ ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญอันยิ่งยวดของภารกิจนี้เป็นอย่างดี และจดจำข้อมูลที่ได้รับทราบเมื่อครู่นี้ได้ขึ้นใจ มีหลายคนเช่น หลี่อี้ ที่กำลังหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น แววความทะเยอทะยานส่องประกายแรงกล้าออกจากดวงตา
แน่นอนว่า ผู้ที่ฉายความทะเยอทะยานและความกระตือรือร้นมากที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหวังเป่าเล่อ เมื่อได้ยินถ้อยคำของต้วนมู่ฉี ความคิดมากมายก็ตีกันอุตลุดอยู่ในหัวของชายหนุ่ม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และสุดท้ายก็เหลือเพียงความคิดเดียวที่แล่นพล่านไปมาภายในหัวของเขาไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าคลั่ง
“ปรับตำแหน่งขุนนาง! ปรับตำแหน่งขุนนาง!”