หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 495 เหยียบกระบี่สำริดเขียวโบราณ!
หากส่งกระบวนเวทกลับมาครบสิบกระบวนเวท ข้าจะได้เลื่อนยศ ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง แปลว่าข้าต้องหากระบวนเวทมาให้ได้สามสิบกระบวนเวท ก็จะได้เป็นขุนนางระดับหนึ่งชั้นสูง! ไม่ใช่สิ ต้องสี่สิบต่างหาก สิบกระบวนเวทสุดท้ายก็เพื่อที่ข้าจะผ่านขั้นขุนนางระดับหนึ่งชั้นสูง ไปเป็นประธานสหพันธรัฐ!
สี่สิบกระบวนเวทใหม่!
หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนตนเองจะระเบิด เขาหน้าร้อนตัวร้อน ดวงตาแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียว เลือดภายในกายไหลเวียนสูบฉีดซาบซ่าน การไปเยือนกระบี่สำริดเขียวโบราณครั้งนี้ อาจเป็นก้าวสุดท้ายที่จะทำให้เขาได้เป็นประธานสหพันธรัฐ!
ความรู้สึกที่ฝันเข้ามาใกล้เพียงเอื้อมมือนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อเกือบระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น แต่ก็ปรามตัวเองเอาไว้ทัน รอบกายเขามีคนอยู่มากมาย และหากกระบวนเวทที่แต่ละคนส่งกลับมาซ้ำกัน ใครจะเป็นผู้ตัดสินเล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจะมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งหรือไม่
ขณะที่หวังเป่าเล่อคิดถึงปัญหานี้อยู่ ต้วนมู่ฉีก็พูดต่อพอดี
“พวกเจ้าทุกคนจะได้รับแผ่นหยกสื่อสารพิเศษ แผ่นหยกนี้ใช้ติดต่อสื่อสารกันได้และยังใช้บันทึกเสียงได้ด้วย นอกจากนี้ศิษย์พี่โมเกาจื่อยังดัดแปลงให้พวกเจ้าสามารถเข้าเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐได้ แม้จะอยู่บนดวงอาทิตย์”
“เครือข่ายวิญญาณคือช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับให้พวกเจ้าพูดคุยกันภายใน กระบวนเวทแต่ละวิชาที่ส่งมาจะบันทึกอยู่ในนี้ ซึ่งจะทำให้ไม่มีการส่งกระบวนเวทมาซ้ำกัน สหพันธรัฐจะนับเฉพาะกระบวนเวทที่บันทึกไว้เป็นครั้งแรกเท่านั้น!” ต้วนมู่ฉีหันไปมองหลี่ซิงเหวินอีกครั้ง
ผู้อาวุโสสูงสุดนิ่งเงียบ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่มีสิ่งใดจะกล่าวเพิ่มเติม ประธานสหพันธรัฐหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกสะบัด
“บัดนี้การเคลื่อนย้ายจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าขอให้พวกเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ และกลับมาอย่างปลอดภัย!”
เมื่อสิ้นสุดคำพูด วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ส่งเสียงดังออกมา เสาทุกต้นสั่นสะเทือน ผลึกแก้วที่รายล้อมกะพริบแสงอย่างรวดเร็ว แสงจากผลึกแก้วสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นทะเลแห่งแสงที่เข้ามาโอบล้อมทุกคนบนเสาเอาไว้ รวมถึงพื้นที่ทั่วบริเวณนั้นด้วย
ในตอนนั้นเอง ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และโมเกาจื่อก็เหินขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งสามนั่งขัดสมาธิล้อมกันเป็นมุมสามเหลี่ยม ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อปล่อยพลังปราณของตนออกมา ส่งให้วงแหวนปราณทำงานอย่างเต็มรูปแบบ!
ณ เวลานั้น ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่พวกเขาทั้งสาม!
ณ เวลานั้น ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของยุคกำเนิดวิญญาณแห่งสหพันธรัฐได้ถือกำเนิดขึ้น!
และ ณ เวลานั้นเองที่การเคลื่อนย้ายเริ่มดำเนินการ!
ลำแสงขนาดมหึมาพุ่งจากพื้นดาวพุธขึ้นไปบนห้วงอวกาศ ดาวทั้งดวงสั่นสะเทือน ลำแสงนั้นปล่อยคลื่นพลังกระจายออกเป็นวงกว้างไปทั่วดาว
ภาพนี้ดูยิ่งใหญ่น่าประทับใจมากเมื่อมองจากระยะไกล เรือบินของกองทัพลอยอยู่ทั่วท้องฟ้าของดาวพุธ เรือบินเหล่านี้สหพันธรัฐเป็นผู้สั่งการมา เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้น
วินาทีที่การเคลื่อนย้ายเริ่มต้นขึ้น วงแหวนปราณระบบสุริยะและการเตรียมการทั้งหมดที่สหพันธรัฐเตรียมพร้อมไว้ก็เดินหน้าเต็มสูบไปพร้อมๆ กัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่สหพันธรัฐจะได้ทำลายวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายได้ทันท่วงทีหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดเคลื่อนย้ายเข้าหรือออกจากอาณาเขตที่โลกปกครองได้อีก!
หวังเป่าเล่อและพันธุ์กล้าคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้ดี พวกเขารู้ว่าอันตรายจากภารกิจนี้ไม่ได้อยู่แค่บนกระบี่ หากแต่เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเขาเริ่มกระบวนการเคลื่อนย้าย หากใช้เหตุผลวิเคราะห์จะเห็นได้ว่า สำนักวังเต๋าไพศาลนั้นอาจจริงใจในการร่วมมือกับสหพันธรัฐจริง แต่อารมณ์ของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ที่สุด
ด้วยเหตุนี้ แม้จะได้รับการยืนยันซ้ำหลายครั้ง สหพันธรัฐก็ยังเตรียมการมาเต็มรูปแบบเพื่อรับมือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอยู่ดี ทันทีที่เริ่มการเคลื่อนย้าย ระเบิดต้านทานวิญญาณจำนวนมากใต้วงแหวนปราณก็เริ่มประจำที่ และจะทำงานทันทีที่ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน หรือคนอื่นๆ บัญชาการ
ผู้ฝึกตนทั้งที่อยู่บนพื้นผิวดาวพุธและที่ล้อมดาวเอาไว้ตื่นตัวเป็นอันมาก แม้แต่หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉียังระวังตัวถึงขีดสุด ทั้งสองมองลำแสงที่พุ่งขึ้นไปบนอวกาศ คนหนึ่งขยับตัวเข้าใกล้โมเกาจื่อ ส่วนอีกคนก้าวไปข้างหลังเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน
โชคดีที่กระบวนการเคลื่อนย้ายซึ่งกินเวลาสิบห้านาที ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกับโมเกาจื่อหรือวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย นอกจากนั้น โมเกาจื่อกับสหพันธรัฐยังตกลงกันไว้แต่แรกว่าการเคลื่อนย้ายครั้งแรกจะเป็นทางฝ่ายสหพันธรัฐเท่านั้นที่เดินทางไป ดังนั้นเมื่อลำแสงค่อยๆ จางหายจนดับสนิทไปในที่สุด หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติดี
วงแหวนปราณระบบสุริยะยังคงตรวจหาความผิดปกติทั่วดาราจักรเพื่อให้แน่ใจเต็มร้อย เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแน่ๆ เรือบินกองทัพที่ล้อมดาวพุธเอาไว้ก็ลดระดับความเข้มงวดลง ผู้ฝึกตนระดับสูงทั้งหลายต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก กระนั้นระเบิดต้านทานวิญญาณก็ยังทำงานอยู่เพื่อป้องกันไว้ก่อน ระเบิดจะยังอยู่บนนี้ต่อไป พร้อมหลี่ซิงเหวินที่รับหน้าที่เฝ้าระวังภัยบนดาวพุธ
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสหพันธรัฐเริ่มต้นขึ้นแล้ว… เมื่อสถานการณ์ลดระดับความตึงเครียดลง ต้วนมู่ฉีและโมเกาจื่อก็เตรียมตัวลาจาก ตอนนั้นเองหลี่ซิงเหวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่นอกวงแหวนปราณก็เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์หนึ่งเดียวตรงหน้า พร้อมกระบี่เล่มยักษ์ที่ปักอยู่ตรงกลางกลาง ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เจ้าอ้วน อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า จงกลับมาบ้านของเรา… อย่างปลอดภัย!
ขณะเดียวกันนั้นเอง หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ออกจากการถือสันโดษ นางบรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในเป็นที่เรียบร้อย ทว่าก็พลาดโอกาสที่จะได้พบหวังเป่าเล่อ หญิงสาวทำได้เพียงมองไปทางทิศที่ดาวพุธอยู่เท่านั้น นางตกอยู่ในความเงียบงันเป็นเวลานาน
หลิวต้าวปินและหลินเทียนหาว รวมถึงสหายและครอบครัวของพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ต่างก็กำลังมองไปที่ดวงอาทิตย์จากทุกสถานที่ที่พวกเขาอยู่ พวกเขามองกระบี่ที่ปักกลางดวงอาทิตย์ เฝ้ารอวันเวลาที่คนสำคัญของตนจะกลับมา และอวยพรให้คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จ
บิดามารดาของหวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในนั้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะเดินทางไปดาวพุธ เขาบอกคนทั้งคู่เรียบร้อยว่าตนเองจะไปปฏิบัติภารกิจที่กระบี่สำริดเขียวโบราณ แม้ทั้งสองจะเป็นห่วงจับใจ แต่ก็เข้าใจว่าตนเองทำสิ่งใดไม่ได้ ดังนั้นพวกท่านจึงทำได้เพียงอวยพรให้บุตรชายประสบความสำเร็จ แม้จะมีความกังวลอันแสนหนักอึ้งที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอยู่ในใจ
ขณะที่บรรดาสหายและครอบครัวของพันธุ์กล้ากำลังจับจ้องดวงอาทิตย์ที่กำลังเผาไหม้ด้วยความร้อนบรรลัยกัลป์ เสียงกึกก้องก็ดังออกจากกระบี่ที่ปักดวงอาทิตย์อยู่ เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นนั้นไม่ได้อุบัติมานานหลายปีดีดักแล้ว!
เสียงดังสนั่นนั้นดังขึ้นตรงบริเวณด้ามจับ บรรยากาศรอบด้ามจับบิดเบี้ยวด้วยความร้อนรุนแรงที่เผาไหม้ แสงสว่างจ้าโอบล้อมกระบี่เอาไว้ แม้จะมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นภายในกันแน่ แต่แสงนั้นก็ทรงพลังมากเสียจนป้องกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้กระบี่สำริดเขียวโบราณยังคงสภาพอยู่ภายในดาวฤกษ์สว่างจ้าต่อไปได้โดยไม่แหลกสลาย
หากเดินทางทะลุผ่านแสงจ้านั้นไปได้ จะเห็นว่ากระบี่ที่อยู่ภายใต้แสงนั้นก็เหมือนโลกอีกใบหนึ่งที่ดำเนินไปตามครรลองของมัน โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ไร้ซึ่งผืนดิน หากแต่เป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา!
มหาสมุทรนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยน้ำ หากแต่เป็นทะเลเพลิงและลาวา!
มหาสมุทรเพลิงนั้นเหมือนไฟอเวจีที่ไม่มีวันดับ บนทะเลเพลิงนั้นมีหมู่เกาะมากมายกระจัดกระจายอยู่ เกาะส่วนมากมีรูปร่างแหลมเหมือนขุนเขา!
มีตำหนักมากมายกระจายตัวอยู่บนเกาะ รวมถึงร่างของผู้คนที่บินขวักไขว่อยู่ในอากาศ เดินทางจากเกาะน้อยใหญ่ ไปยังเกาะที่ขนาดกว้างที่สุดซึ่งอยู่ตรงกลาง!
เมื่อเทียบกับเกาะที่อยู่ตรงกลาง เกาะอื่นๆ ดูเหมือนเด็กเล็กกำลังหัดเดิน เป็นเพราะเกาะกลางนั้นใหญ่โตมโหฬารจนเทียบไม่ติด และตั้งอยู่ตรงนั้นเหมือนยักษ์ปักหลั่นที่ใครก็ไม่อาจมองข้ามได้
บนเกาะใหญ่นี้มีลานจัตุรัสสาธารณะขนาดยักษ์ พร้อมด้วยวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายโบราณตั้งอยู่บนนั้น ขณะนี้วงแหวนปราณกำลังส่องแสงสว่างไสว ผู้คนมากมายจากทุกทิศทางต่างพากันมายืนล้อมวงแหวนปราณไว้ มีทั้งหญิงและชาย เด็กและคนชรา ทุกคนล้วนแต่งกายในชุดคลุมยาวโบราณที่มีหน้าตาแตกต่างจากชุดคลุมที่ใส่กันบนโลก และต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็สงสัยใคร่รู้ บ้างก็ตื่นเต้นคาดหวัง บ้างก็ยโสเย้ยหยัน บ้างก็ป่าเถื่อนดุร้าย
ทุกสายตาจับจ้องไปที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์กลางลานสาธารณะ แสงสว่างจากวงแหวนปราณทวีความเข้มขึ้นก่อนค่อยๆ จางหายไป และร่างของผู้คนมากมายเริ่มปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสว่างนั้น
ตอนแรกร่างเหล่านั้นยังคงพร่าเลือนอยู่ แต่เมื่อแสงสว่างค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ ผู้คนจากต่างโลกก็เริ่มมีเค้าโครงชัดเจนขึ้นตามลำดับ สุดท้ายแล้วเมื่อแสงหายไปจนหมดสิ้น พันธุ์กล้าสหพันธรัฐก็ปรากฏให้เห็นเต็มตัว
ทุกคนค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นขณะที่กระบวนการเคลื่อนย้ายปิดฉากลง เหตุการณ์ทั้งหมดเหมือนเป็นความฝันสำหรับพวกเขา ก่อนหน้านั้นพวกเขายังอยู่ที่สหพันธรัฐบ้านเกิด แต่บัดนี้กลับมาอยู่ที่กระบี่สำริดเขียวโบราณเรียบร้อยแล้ว ผลข้างเคียงจากการเคลื่อนย้ายมาเป็นระยะทางไกลถาโถมเข้าใส่ร่างกาย ทั้งความวิงเวียน คลื่นไส้ และความรู้สึกไม่สบายตัวปะทุขึ้นพร้อมกันในกาย
หลายคนแทบล้มลงกับพื้น พวกเขามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือด หายใจไม่เป็นจังหวะ หัวใจเต้นระส่ำเหมือนจะระเบิดออกจากอก ทว่าหวังเป่าเล่อกลับยืนนิ่งมั่นคงอยู่กับที่ เขาไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนย้ายแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงเป็นคนแรกที่ลืมตาตื่นมองดูฝูงชนที่รายล้อม และเป็นคนแรกที่เห็นสีหน้าของคนเหล่านั้น
พวกนี้คงจะเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าไม่ชอบสายตาของคนพวกนี้เอาเสียเลย! ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายตื่นตัวระแวดระวัง เขาปลุกกำไลคลังเก็บที่มือขวาของตนขึ้นช้าๆ เพื่อเตรียมตัวงัดอาวุธเวทมาสู้ หากมีภัยอันตรายเกิดขึ้น