หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 497 มารดาของเจ้าคือ...
หวังเป่าเล่อเดาได้ทันทีว่าใครเป็นใครจากข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ทั้งสามคือเฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรัน และสตรีผู้นั้นก็คือเฟิ่งชิวหรันนั่นเอง
ศิษย์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งสามล้วนมีสีหน้าเช่นเดียวกับผู้เป็นอาจารย์ ศิษย์สองคนเบื้องหลังโยวหรันหลับตาตกอยู่ในห้วงคิดของตน ขณะที่สองคนเบื้องหลังเฟิ่งชิวหรันแม้สีหน้าจะไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่ก็มีแววตาใจดี
เบื้องหลังเมี่ยเลี่ยจื่อมีศิษย์อยู่เพียงคนเดียว เขาดูอายุยังไม่ถึงสามสิบปี และมีสีหน้าเย็นชาเข้าถึงยาก ขณะมองหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ
แม้จะเข้าใจสถานการณ์ภายในสำนักวังเต๋าไพศาลมาบ้าง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังลอบถอนใจอยู่ภายในเมื่อมาอยู่ในสถานที่จริง เขารู้สึกตกที่นั่งลำบาก การได้ยินเรื่องราวผ่านคนอื่นกับการมายืนอยู่ตรงที่เกิดเหตุจริงนั้นไม่มีอะไรเหมือนกันแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหัวเสียกับภารกิจที่ตนเองได้รับมอบหมาย
เจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน และพันธุ์กล้าคนอื่นๆ ก็คิดเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างก้มหน้างุด หัวใจถาโถมด้วยความรู้สึกหลากหลาย บางคนก็เริ่มรู้สึกอย่างเสียมิได้ว่าตนเองตัดสินใจผิดที่เข้าร่วม บางทีการอยู่ที่เดิมอาจจะดีเสียกว่า
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไม่มีมารยาทกันหรอกหรือ มีผู้ทรงอำนาจอยู่เบื้องหน้า แต่กลับไม่แม้แต่จะทำความเคารพ ช่างต่ำช้าไร้อารยะอะไรเช่นนี้” ขณะที่เหล่าพันธุ์กล้าสหพันธรัฐกำลังก้มหน้าอย่างกระวนกระวายอยู่นั้น ผู้อาวุโสที่มีปราณระดับจุติวิญญาณซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งชั้นล่าง ก็หัวเราะออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้อาวุโสผู้นั้นมีผมยาวสีแดงเพลิงเตะตาเป็นอย่างยิ่ง เขาดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ทั้งน้ำเสียงยังเย้ยหยันเด่นชัด
ทันทีที่ผู้อาวุโสผมแดงพูด เฟิ่งชิวหรันก็มุ่นคิ้ว สีหน้าดูไม่พอใจพอตัว แต่ก็ไม่ได้ติเตียนอันใด คำพูดนั้นรวมถึงบรรยากาศอันตึงเครียด ทำให้บรรดาพันธุ์กล้าที่ได้ยินได้เห็นเริ่มกระสับกระส่าย พวกเขารู้สึกโดนดูแคลน ต่างพากันหายใจหอบด้วยความกดดัน
คำปรามาสที่ว่าพวกเขาต่ำช้าไร้อารยะนั้น คงไม่มีใครทำใจปล่อยผ่านไปได้อย่างแน่นอน
เจ้าเยี่ยเหมิงกำหมัดแน่น จั่วอี้ฟานหรี่ตามอง ส่วนกงเต๋าชักสีหน้าไม่พอใจชัดเจนที่สุด รังสีดุร้ายแผ่ออกจากกายของเขาอย่างปิดไม่มิด แม้พลังปราณของเขาจะด้อยกว่า แต่กงเต๋าก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความใจสู้ออกมาให้เห็น ขณะที่พันธุ์กล้าบางคนยังคงก้มหน้าต่ำนั้น ส่วนใหญ่กลับเชิดคางขึ้นชักสีหน้าเพื่อแสดงว่าพวกเขาไม่ใช่ใครที่จะยอมทนคำเหยียดหยาม
หวังเป่าเล่อไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ ให้เห็นทั้งสิ้น เขาไม่ได้ค้อมศีรษะลงต่ำตั้งแต่แรก แต่เชิดหน้าเอาไว้ตลอดเหตุการณ์ เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสผู้นั้น ชายหนุ่มก็หันไปมอง ก่อนจะก่นด่าในใจว่าไอ้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหัวแดงคนนี้ก็เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น ไม่ใช่คนที่เขาต้องเกรงกลัวแต่อย่างใด ในเมื่อตัวเขานั้นเคยสังหารผู้ที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณมาแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึก ก้าวออกมาข้างหน้าท่ามกลางโถงที่เงียบงัน ก่อนจะยกมือทำความเคารพผู้นำที่มีปราณระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามซึ่งนั่งสูงอยู่บนบัลลังก์
“ข้ามีนามว่าหวังเป่าเล่อ เป็นอุปทูตจากสหพันธรัฐ ข้าได้รับการแต่งตั้งจากท่านประธานสหพันธรัฐให้เป็นผู้นำของเหล่าผู้ฝึกตนจากอาณาจักร ให้มาประจำการที่สำนักวังเต๋าไพศาล และมาเข้าพบท่านผู้อาวุโสทั้งสาม!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยเสียงดังฟังชัด โดยเน้นคำว่า ‘อุปทูตจากสหพันธรัฐ’ เป็นพิเศษ
ขณะที่เสียงของชายหนุ่มก้องกังวานไปทั่งโถง เหล่าพันธุ์กล้าเบื้องหลังชายหนุ่มก็พากันสูดหายใจเข้าลึก ทำมือคารวะเฟิ่งชิวหรันและผู้นำอีกสองคน
“ผู้ฝึกตนกระนั้นหรือ” เสียงเหยียดหยันดังมาจากที่นั่งยกสูงอีกครั้งเมื่อได้ยินคำของหวังเป่าเล่อ ผู้ที่เอ่ยนั้นไม่ใช่ศิษย์ในอาณัติของเฟิ่งชิวหรัน หากแต่เป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเมี่ยเลี่ยจื่อที่มีสีหน้าดูถูกอย่างชัดเจน
“เหลียงหลง ช่างไร้มารยาทเสียจริง!” แววเย็นวาบสะท้อนผ่านดวงตาของเฟิ่งชิวหรัน แม้สีหน้าของนางจะยังนิ่งไร้อารมณ์ก็ตาม ชายหนุ่มนามว่าเหลียงหลงตอบรับด้วยการทำมือคารวะเฟิ่งชิวหรัน รวมถึงเมี่ยเลี่ยจื่ออาจารย์ของเขาในทันที
“ข้าขอน้อมรับผิด เพียงแต่หลังจากที่ได้ยินสิ่งมีชีวิตด้อยปัญญาพวกนี้เรียกตนเองว่าผู้ฝึกตนแล้ว ข้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ จนลืมสิ้นซึ่งการควบคุมตน โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด ท่านผู้อาวุโส ท่านอาจารย์!”
คราวนี้เมี่ยเลี่ยจื่อที่นั่งอยู่ข้างเฟิ่งชิวหรัน ชิงพูดขึ้นก่อนโดยไม่รีรอ
“ท่านผู้อาวุโสเฟิ่ง ข้าจะกำราบศิษย์ของข้าเอง! เหลียงหลง เจ้าจงถือสันโดษเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อให้หลาบจำ!”
“ขอรับท่านอาจารย์!” เหลียงหลงยกมือคารวะเมี่ยเลี่ยจื่อ เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาที่มองหวังเป่าเล่อนั้นกลับดูเย้ยหยันยิ่งกว่าเดิม เฟิ่งชิวหรันที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเมี่ยเลี่ยจื่อด้วยแววตาประหลาด บรรยากาศในห้องโถงปกคลุมด้วยความเครียดขึงมากยิ่งกว่าเดิม
หวังเป่าเล่อและเหล่าพันธุ์กล้าที่ถูกดูหมิ่นถึงสองครั้งสองคราตั้งแต่มาถึง ต่างพากันนิ่งเงียบและกดความไม่พอใจเอาไว้ในใจ หลายคนกำหมัดแน่น แต่ก็ปล่อยอารมณ์ออกมาไม่ได้ จึงทำได้เพียงกดมันลงไปเท่านั้น
แววตาของหวังเป่าเล่อเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เขาเป็นชายอารมณ์ร้อนที่มีผู้ทรงอำนาจหนุนหลัง อีกทั้งแม่นางน้อยก็ตื่นจากการหลับไหลแล้วด้วย นอกจากนั้นจากการคาดการณ์ของชายหนุ่ม การที่ต้วนมู่ฉีกล้าส่งพวกเขามาประจำที่นี่ แปลว่าต้องมั่นใจพอสมควรว่าจะไม่เกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตขึ้น แม้จะมีภัยอยู่บ้างประปราย
แม้ชายหนุ่มจะไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่เขารู้สึกว่าหากพันธุ์กล้ายอมก้มหน้ารับคำปรามาส ในอนาคตพวกเขาย่อมต้องคอยทนกับการโดนดูถูกเช่นนี้อยู่เป็นอาจิณแน่นอน แทนที่จะทำเป็นอดทนไม่รู้ร้อนรู้หนาว อาจดีกว่าถ้าพูดความไม่พอใจนี้ออกมา และใช้โอกาสนี้แสดงให้สำนักวังเต๋าไพศาลเห็น ว่าสหพันธรัฐคิดอย่างไรกับการกระชับสัมพันธ์ในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงทวีความโกรธขึ้นอีก ประกายสว่างวาบในดวงตาของชายหนุ่ม เขาพุ่งเป้าโจมตีไปที่เหลียงหลง ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเมี่ยเลี่ยจื่อ ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นก้าวยาวไปข้างหน้า
“เมื่อสมัยที่ยังอยู่ที่สหพันธรัฐ ศิษย์น้องคนนี้ได้ศึกษาตำราอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมา อัตชีวประวัตินั้นกล่าวไว้ว่า ทุกคนมักใช้สองมาตรฐานกับทั้งตนเองและคนรอบกาย
“ข้าเคยคิดว่าความคิดเช่นนี้จะมีอยู่แค่ในสหพันธรัฐเสียอีก แต่วันนี้ ศิษย์น้องคนนี้ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ทัศนคติเช่นนั้นก็มีอยู่ที่นี่เฉกเช่นเดียวกัน!”
“เหล่าสหายผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐและตัวข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ และยังไม่ทันได้ปรับร่างกายให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่แห่งนี้ จึงทำให้พวกเรารู้สึกกระวนกระวายใจเป็นปกติ ทว่ากลับมีคนใช้เหตุนี้ตำหนิติเตียนว่าเราไม่มีมารยาท นอกจากนี้สหายเต๋าเหลียงหลงยังพูดแทรกข้า ขณะที่ข้ากำลังทำความเคารพท่านผู้อาวุโสทั้งสามด้วย กิริยาเช่นนี้น่ะหรือที่พวกท่านเรียกกันว่ามีมารยาท มีอารยะ ข้าอยากถามเหตุผลจากสหายเต๋าเหลียงหลง ว่าเหตุใดจึงพูดแทรกข้าอย่างไร้มารยาทเช่นนี้!” ขณะที่หวังเป่าเล่อเอ่ยโต้ เหล่าพันธุ์กล้าเบื้องหลังเขาต่างพากันตกใจ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจพวกเขา กระนั้นก็ยังมีบางคน เช่น หลี่อี้ ที่รู้สึกโกรธกับการกระทำของหวังเป่าเล่อ เพราะคิดว่าชายหนุ่มเดินหมากผิด
สำหรับพวกเขา เรื่องนี้ย่อมผ่านพ้นไปหากทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ไม่มีความจำเป็นอันใดเลยที่จะต้องทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
แต่หวังเป่าเล่อยังพูดไม่จบ หลังจากที่ได้แสดงความไม่พอใจออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็หายใจเข้าลึก ก่อนจะคารวะเฟิ่งชิวหรันที่อยู่บนที่นั่งยกสูงอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ชิวหรัน ศิษย์น้องคนนี้ไม่อาจสะกดโทสะเอาไว้ในใจ หลังจากที่ได้ยินคำปรามาสว่าพวกเราด้อยสติปัญญา ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยขอรับ”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลต่างก็มองหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว ประกายวาบขึ้นในดวงตาขณะที่พวกเขาจ้องมองชายหนุ่ม ส่วนมากไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ที่มาจากสหพันธรัฐจะกล้าพูดจาไม่สุภาพทันทีที่เพิ่งมาถึง โดยเฉพาะเฟิ่งชิวหรันที่ตอนนี้กำลังมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาประหลาด
“ช่างบังอาจนัก!” ขณะที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนผมแดงที่มีปราณขั้นจุติวิญญาณซึ่งนั่งอยู่ในที่ที่ต่ำกว่า ก็พ่นลมออกจมูกอย่างขุ่นเคือง เสียงของเขาไม่ต่างจากอัสนีสวรรค์ที่ทำให้โถงทั้งโถงสั่นสะเทือน เหลียงหลงที่ยืนอยู่ข้างหลังเมี่ยเลี่ยจื่อหัวเราะด้วยน้ำเสียงดูถูก เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูดถึงตนเอง เขาอ้าปากเพื่อโต้กลับ
“เจ้า…” แต่ก่อนที่จะได้พูด หวังเป่าเล่อก็ระเบิดพลังปราณของตนออกมาเสียก่อน เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วโถง ร่างของชายหนุ่มเหมือนจะกลายเป็นพายุหมุนขนาดย่อมที่พัดโหมไปทั่วทิศ เขาหันไปมองผู้ฝึกตนผมแดงในทันใด
“ศิษย์พี่ เป็นท่านต่างหากที่ไร้มารยาท พูดจาดูถูกผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐโดยไม่มีเหตุผล!
“ส่วนเจ้า เหลียงหลง หุบปาก! ในฐานะอุปทูตจากสหพันธรัฐ ข้า หวังเป่าเล่อ เป็นตัวแทนของอาณาจักรที่มาทำความเคารพท่านผู้อาวุโสทั้งสาม นี่คือการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างอารยธรรมทั้งสอง เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดขัดและดูถูกพวกข้าเป็นครั้งที่สอง!”
“หากเจ้าอ้าปากอีกครั้ง ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!” รังสีสังหารวาบผ่านแววตาหวังเป่าเล่อ หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาเฟิ่งชิวหรันเพื่อทำมือคารวะอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ชิวหรันขอรับ สหพันธรัฐจริงใจเป็นอย่างมากกับการเชื่อมสัมพันธไมตรีครั้งนี้ ความจริงใจของพวกเรานั้นชัดเจนมาตั้งแต่แรก กงเต๋าและพวกเจ้าทุกคน จงแนะนำตัวให้ศิษย์พี่ชิวหรันรู้จักเถิด!” เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ กงเต๋าที่อยู่เบื้องหลังเขา ก็ยกมือคารวะเฟิ่งชิวหรันในทันที
“ข้าคือศิษย์น้องกงเต๋า บิดาของข้าคือต้วนมู่ฉี ประธานสหพันธรัฐคนปัจจุบันขอรับ!”
“ข้าคือศิษย์น้องโจวหลิน เป็นศิษย์สืบทอดของสำนักสหชุมนุมสกุณาขอรับ!”
“ข้าคือศิษย์น้องฟ่างมู่ บิดาของข้าเป็นเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐขอรับ!”
“ข้าคือศิษย์น้อง …”
ถ้อยคำแนะนำตัวเช่นนี้ดังออกจากปากของพันธุ์กล้าสหพันธรัฐอย่างไม่ขาดสาย และก้องไปทั่วโถงใหญ่ เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ดังมาจากเบื้องหลังของหวังเป่าเล่อเช่นกัน
“ข้าคือศิษย์น้องเจ้าเยี่ยเหมิง มารดาของข้าคือเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารเจ้าค่ะ!”
หวังเป่าเล่อไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับในทันทีเมื่อได้ยิน เขากำลังจะอ้าปากแนะนำตนเองอย่างมั่นใจ แต่เมื่อคำพูดนั้นซึมลึกเข้าไปในสมอง เขาก็หันขวับไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงที่อยู่เบื้องหลังด้วยดวงตาเบิกโพลง เจ้าเยี่ยเหมิงยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ สมองของหวังเป่าเล่อปั่นป่วนเหมือนมีฝูงผึ้งบินวนอยู่ภายใน
“มารดาของเจ้าคือ…”