หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 500 แต้มการรบสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด!
กระบวนเวทนี้มีคำอธิบายอยู่ประโยคเดียว
สวรรค์และผืนดินเปลี่ยนผันด้วยปลายดรรชนีอัสนีนิรันดร์!
แม้จะฟังดูยิ่งใหญ่ตระการตา แต่ในความเป็นจริง คำอธิบายอีกหลายวิชาที่หวังเป่าเล่อได้อ่านมา บรรยายไว้อลังการกว่านี้มาก หนำซ้ำคำบรรยายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงนั้นดูแห้งๆ อย่างไรชอบกล
หวังเป่าเล่อรู้สึกลังเลเมื่ออ่านจบ แต่เมื่อคิดว่าตลอดมาแม่นางน้อยพึ่งพาได้มากเพียงใด เขาก็ตัดสินใจแลกแต้มการรบเพื่อวิชานี้ แม้แม่นางน้อยจะดูไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเรื่องวัตถุเวทแห่งความมืด แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าตนไม่ควรทำให้นางไม่พอใจ โดยเฉพาะตอนที่อยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณอันเป็นบ้านเกิดของนาง
เมื่อตัดสินใจได้ หวังเป่าเล่อก็ตรวจสอบจำนวนแต้มการรบที่ต้องใช้แลกเปลี่ยน ก่อนจะใช้แต้มเพื่อเปิดดูวิชานั้นในทันที และเมื่อแผ่นหยกเปิดออก จิตใจของชายหนุ่มก็ปั่นป่วนบ้าคลั่ง รังสีพลังแผ่กระจายออกจากแผ่นหยกและพุ่งเข้าใส่จิตของเขาทันที วิชากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงฉบับเต็มประทับตราลงในสมองของเขาโดยพลัน
กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงมีทั้งหมดสี่ขั้นและหนึ่งกระบวนท่าพิเศษ
ทั้งสี่ขั้นนั้นคล้ายคลึงกับขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย และขั้นสมบูรณ์ของปราณกำเนิดแก่นในทั่วไป ส่วนกระบวนท่าพิเศษนั้น เป็นเคล็ดเสริมหนึ่งเดียวที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในบรรลุปราณขั้นจุติวิญญาณได้!
กระบวนเวทขั้นต้น มีนามว่ากระบวนเวทเสริมอัสนี!
กระบวนเวทขั้นต้นนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา เมื่อฝึกฝนขั้นนี้สำเร็จ ผู้ฝึกกระบวนเวทจะสามารถเรียกสายฟ้าเข้าไปในร่างกายของตน รวมถึงสมบัติเวทที่ตนครอบครอง เพื่อเพิ่มพลังการโจมตี และทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียความรู้สึกชั่วขณะ หากได้ใช้จะต้องเป็นกระบวนเวทที่ทรงพลังมากอย่างแน่นอน
ตั้งแต่ขั้นที่สองเป็นต้นไป กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงก็เริ่มทวีความลึกลับขึ้นเรื่อยๆ ขั้นที่สองนี้มีนามว่าอัสนีอวตาร คือการสร้างร่างอวตารจากสายฟ้า โดยมีพลังส่วนหนึ่งของผู้ใช้กระบวนเวทอยู่ในกายด้วย เมื่อร่างอวตารระเบิดตัวเอง พลังทำลายล้างจะมหาศาลมากจนอาจถึงชีวิต
ขั้นที่สามมีนามว่าอัสนีตีจาก วิชานี้ตรงตามชื่อ เพราะเป็นการใช้ศาสตร์เวทอสนีบาตเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหว จากที่เร็วอยู่แล้วเป็นเร็วมากขึ้นอีกจนยากหาผู้ใดทัดเทียม นอกจากนี้กระบวนเวทอัสนีตีจากยังมีเคล็ดลับอยู่อีก คือการใช้กระบวนเวทนี้สลับกับอัสนีอวตารซึ่งเป็นขั้นที่สอง เพื่อเคลื่อนย้ายและเปลี่ยนถ่ายร่างของตนตามใจชอบ จากร่างอวตารหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง!
หากบรรลุขั้นที่สามของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่ผู้ใช้วิชานี้จะถูกสังหาร การเพิ่มความเร็วอย่างไร้ผู้ใดเทียบเทียม และการเปลี่ยนถ่ายจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งได้ในทันที ทำให้แทบไม่อาจคาดเดาผู้ใช้วิชานี้ได้เลย!
ขั้นที่สี่นั้นมีนามว่า… พิกัดอัสนีนิรันดร์!
ผู้ที่สามารถฝึกขั้นที่สี่ของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงได้ต้องมีปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น พลังการต่อสู้ของขั้นที่สี่รุนแรงแซงหน้าสามขั้นก่อนหน้าไปมาก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นไพ่ตายของกระบวนเวทนี้เลยก็ว่าได้!
วิชาที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ ในความเป็นจริงแล้วควรจะมีผู้ใช้มากมาย แต่ผู้ที่ฝึกวิชานี้กลับมีไม่มากนัก เนื่องจากมีข้อจำกัดอยู่สองข้อ ข้อแรกคือ ผู้ฝึกตนผู้นั้นจะต้องเลือกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าเมื่อครั้งยังมีปราณขั้นรากฐานตั้งมั่น จึงจะสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่วิชาอัสนีนิรันดร์จำแลงได้หลังจากที่บรรลุปราณขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว
ข้อจำกัดข้อที่สองคือ วิชานี้ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไม่มีวิธีบรรลุเขียนกำกับไว้ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งยวดที่จะก้าวข้ามขั้นกำเนิดแก่นในไปยังขั้นจุติวิญญาณได้ ทำให้ท้าทายกว่าวิชาอื่นๆ มากนัก
ข้อจำกัดทั้งสองนี้ทำให้ทั้งราคาแต้มการรบและผู้ที่ฝึกวิชานี้มีน้อยนัก อย่างไรเสียที่ชั้นสองนี้ก็มีกระบวนเวทที่ทรงพลังพอๆ กับกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าอยู่ถึงเจ็ดหรือแปดวิชาด้วยกัน และมีอยู่หลายวิชาที่ทรงพลังยิ่งกว่ากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าไปหลายขุม แต่ก็มีราคาแพงหูฉี่จนต้องจ่ายถึงหลายหมื่นหลายแสนแต้มการรบ
กระบวนเวทที่ล่อตาล่อใจหวังเป่าเล่อที่สุด มีนามว่ากระบวนเวทเทพเจ้าอัสนีประพาส แต่กระบวนเวทนี้เป็นหนึ่งในวิชาที่แพงที่สุดในชั้นสอง โดยมีราคาสูงถึงหลายแสนแต้มเลยทีเดียว
ทุกอย่างต้องใช้แต้มการรบไปเสียหมด… กว่าเขาจะออกจากหอตำรากระบวนเวทไพศาลฟ้าก็มืดแล้ว ท้องฟ้านี้เปลี่ยนสภาพไปตามกลไกของวงแหวนปราณขนาดยักษ์จากกระบี่โบราณ ยามกลางวันเคลื่อนคล้อยเป็นเวลากลางคืน
แม้สีของท้องฟ้าจะเปลี่ยนไป แต่ลมร้อนระอุแห้งผากก็ยังคงพัดโหม ลมร้อนนั้นทำให้หวังเป่าเล่อหลับตาลง หลังจากมองยอดแต้มการรบของตนเองที่เปลี่ยนเป็นเลขศูนย์
หากจะฝึกปราณก็ต้องใช้แต้มการรบแลกโอสถ!
หากจะหลอมอาวุธเวทก็ต้องใช้แต้มการรบแลกวัตถุดิบ!
หากจะเรียนกระบวนเวทใหม่ก็ต้องใช้แต้มการรบปลดแผ่นหยก!
สรุปแล้วก็คือหากอยากเป็นประธานสหพันธรัฐ ก็ต้องใช้แต้มการรบแลกมา!
ไอ้เวรเอ๊ย… หากจะหาคู่รักในสำนักวังเต๋าไพศาล ก็มิต้องใช้แต้มการรบแลกมาด้วยหรือนี่! หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาตั้งมั่นว่าตนจะต้องหาแต้มการรบมาให้ได้ เนื่องจากแต้มนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่ง แต่ก่อนอื่นเขาต้องเข้าใจสำนักแห่งนี้ให้มากขึ้นก่อน รวมถึงหาเวลาฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วย
ส่วนเรื่องวิชาที่ไม่สมบูรณ์นั้น หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจมากนัก เขามั่นใจว่าตนเองจะต้องหาทางได้ในที่สุด เนื่องจากตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาก็สู้ด้วยลำแข้งของตนมาตลอด
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เมื่อคิดว่าเขามาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง แม้จะไม่ได้มาจากตระกูลสูงส่งหรือมีผู้ทรงอำนาจหนุนหลังก็ตาม
“แม่นางน้อย ข้าคงต้องพึ่งเจ้าเพื่อบรรลุปราณจากวิชาที่ไม่สมบูรณ์แล้วนะ” หวังเป่าเล่อส่งเสียงให้แม่นางน้อยทราบ ขณะเดินทางกลับไปยังห้องพักของตน แต่ก่อนจะนั่งขัดสมาธิเพื่อเริ่มฝึกปราณ ชายหนุ่มก็หยิบถุงขนมออกมาจากกระเป๋า เขาเลียขนมไปหลายรอบ ก่อนจะเก็บกลับเข้าที่เดิมเนื่องจากทำใจกินไม่ลง
ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง… ข้าต้องหาให้ได้ว่าบนกระบี่สำริดโบราณนี่มีขนมขายหรือไม่…
เวลาเดินหน้าผ่านไป หวังเป่าเล่อจดจ่ออยู่กับการฝึกปราณจนผ่านไปครึ่งเดือน ระหว่างนั้น ชายหนุ่มฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงไปด้วย และหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักวังเต๋าไพศาลและกระบี่สำริดเขียวโบราณไปด้วย ห้องสนทนากลุ่มกลายเป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารหลักและเป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างพันธุ์กล้าสหพันธรัฐด้วยกันเอง
แม้ทุกคนจะสงวนท่าทีปิดบังข้อมูลกันบ้าง และบางครั้งก็มีเรื่องที่ไม่ลงรอยกัน แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่าพวกเขามีแค่กันและกันเท่านั้นในยามที่จากบ้านมาไกลเช่นนี้
ดังนั้นทุกคนจึงแบ่งปันข้อมูลกันในห้องสนทนากลุ่ม ด้วยความร่วมมือของคนทั้งหนึ่งร้อยคน ไม่นานนักพวกเขาก็เข้าใจเรื่องราวของกระบี่สำริดเขียวโบราณและสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น สำนักวังเต๋าไพศาลประกอบไปด้วยหมู่เกาะประมาณสี่ร้อยเกาะ และมีประชากรอยู่หลายล้านคน แต่ละเกาะยกเว้นเกาะใหญ่สุดที่มีตำหนักหลักตั้งอยู่ ได้รับการแบ่งลำดับชั้นตามขั้นปราณแต่ละขั้น เกาะที่แข็งแกร่งและพรั่งพร้อมที่สุดปกครองโดยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ และผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในบางคน ส่วนที่เหลือนั้นแบ่งสันปันส่วนกันไประหว่างผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น และผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้
คุณภาพของแต่ละเกาะขึ้นอยู่กับปริมาณปราณวิญญาณที่แต่ละเกาะผลิตและไหลเวียนอยู่ภายใน เหล่าพันธุ์กล้าแต่ละคนถูกกระจายไปตามเกาะต่างๆ บางคนก็โดนแยกออกไปเสียจนโดดเดี่ยว แต่ก็ยังสรรหาทรัพยากรมาได้โดยง่าย บางคนได้ไปประจำการภายใต้การบัญชาของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน และไม่มีปัญหาเรื่องการหาสิ่งของจำเป็นมาช่วยในการฝึกปราณเช่นกัน
ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิวหรันตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะทำให้โครงการการทูตนี้ประสบความสำเร็จ เหล่าพันธุ์กล้าได้รับการปกป้องจากฝ่ายแสงสว่างของสำนัก และแต่ละคนก็ได้รับทรัพยากรในปริมาณที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก มีเพียงคนที่มีภูมิหลังดีเยี่ยมอย่างกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงเท่านั้น ที่ได้รับสิ่งต่างๆ มากกว่าคนอื่นเล็กน้อยเพื่อช่วยในการฝึกปราณ
ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆ ทว่าเมื่อเวลาเดินหน้าผ่านไปครึ่งเดือน และทุกคนได้รับหน้าที่บนเกาะที่ตนไปประจำเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา เพราะจนถึงบัดนี้เขายังคงอาศัยอยู่ในห้องพักเดิม และยังไม่รู้ชะตากรรมของตนว่าสำนักจะส่งเขาไปประจำที่ใด
เกิดสิ่งใดขึ้นกันนะ… หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกยุ่งยากใจ ชายหนุ่มต้องการรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน จึงยังไม่มีสหายแม้แต่คนเดียวในสำนักแห่งนี้ นอกจากนี้เขายังใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกพลังปราณอยู่คนเดียว และรับข้อมูลทั้งหมดจากการอ่านข้อความในห้องสนทนากลุ่ม จึงไม่ค่อยได้ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกมากนัก
จะมามัวรีรออยู่อย่างนี้คงไม่ได้การ… สามวันผ่านไป เมื่อหวังเป่าเล่อรู้แน่แล้วว่าเขายังไม่ได้รับมอบหมายงานใด ชายหนุ่มก็เริ่มคิดว่าตนเองควรหาแต้มการรบเพิ่ม
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลิกฝึกปราณและออกไปดูโลกภายนอก เขาตามหาจุดที่สำนักประกาศภารกิจจนเจอจากบนแผนที่ จุดประกาศนั้นเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาภายในสำนักวังเต๋าไพศาล
พลังกดดันที่แผ่นหินปล่อยออกมานั้นรุนแรง บนพื้นผิวมีอักษรโบราณส่องสว่างอยู่เต็มไปหมด พลังประหลาดที่แผ่นหินปล่อยออกมาทำให้เกิดคลื่นพลังงานกระจายออกไปทั่วบริเวณอยู่ตลอดเวลา
ตอนที่หวังเป่าเล่อมาถึง เขาพบศิษย์มากมายจากสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่ที่นั่น ศิษย์เหล่านั้นกำลังดูภารกิจบนแผ่นหิน หรือไม่ก็กำลังเลือกภารกิจที่ตนเองต้องการ ทั่วทั้งบริเวณอื้ออึงด้วยเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว
การจะดูภารกิจนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าไปแตะแผ่นหินแต่อย่างใด ตราบใดที่อยู่ในรัศมีก็สามารถจับพลังที่แผ่นหินปล่อยออกมาเพื่อเลือกดูภารกิจได้ ดังนั้นทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าไปใกล้ สมองของเขาก็เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายที่แผ่นหินส่งมาให้เลือก
ภารกิจนั้นมีมากมายหลายประเภท บางงานก็ให้ไปเก็บสมุนไพร บางงานก็ให้ไปหาวัตถุดิบบางประเภท ส่วนบางงานก็ให้หลอมสมบัติเวทขึ้นมา ทุกภารกิจมีมูลค่าต่างกัน หวังเป่าเล่อเลือกดูอยู่สักพักก็สังเกตได้ว่าภารกิจส่วนใหญ่ไม่ได้ให้แต้มการรบมากมายอะไร มีอยู่เพียงไม่กี่ภารกิจเท่านั้นที่ให้แต้มเกินหลักสิบ
น้อยขนาดนี้เชียว หวังเป่าเล่อตระหนักแล้วว่าการได้แต้มมานั้นแสนยากลำบาก ดังนั้นเขาจึงหันไปเลือกดูภารกิจที่มีระดับสูงกว่าแทน
ภารกิจที่ให้แต้มการรบมากที่สุดนั้นเกี่ยวกับการเก็บตราประจำตัว บนแผ่นหินไม่ได้บอกข้อมูลอื่นใดอีก บอกเพียงให้ไปตามหาได้ที่ตัวกระบี่สำริดเขียวโบราณซึ่งฝังอยู่ในดวงอาทิตย์เท่านั้น หน้าที่ของผู้รับภารกิจคือ การไปตามหาตราประจำตัวของศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เสียชีวิตแล้ว เพื่อนำมาแลกแต้มการรบ
ภารกิจนี้สำนักเป็นผู้ประกาศเอง และเลือกรับภารกิจได้ตลอดทั้งปี