หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 501 เจ้าเกาะเพลิงเขียว
แต้มการรบที่ได้จากภารกิจรวบรวมตราประจำตัวนั้นจะแตกต่างไปตามตราประจำตัวแต่ละแบบซึ่งมีการระบุไว้ชัดเจนในรายละเอียดภารกิจ ยกตัวอย่างเช่น หากส่งมอบตราประจำตัวศิษย์สำนักนอกหนึ่งตรา จะได้รับแต้มการรบหนึ่งร้อยแต้มเป็นการตอบแทน!
หวังเป่าเล่อประหลาดใจมาก หากไม่มีตัวเปรียบเทียบอื่นๆ เขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้ เพราะเมื่อเทียบกับภารกิจส่วนใหญ่ก่อนหน้าที่ได้แต้มเพียงหลักหน่วยหรือหลักสิบแล้ว ตราประจำตัวศิษย์นอกสำนักเพียงตราเดียวมีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยแต้ม ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่สูงพอสมควร
แล้วข้าเป็นศิษย์แบบใดกัน ไม่เห็นจะได้ตราประจำตัวบ้างเลยตอนที่มาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล… หวังเป่าเล่อตกอยู่ในห้วงความคิด จำได้ว่าแม่นางน้อยเคยพูดถึงความแกร่งกล้าสามารถของสำนักวังเต๋าไพศาล หลังจากพิจารณาสภาพปัจจุบันของสำนักวังเต๋าไพศาล ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว
หรือว่านี่จะไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง สำนักวังเต๋าไพศาลของจริงน่าจะตั้งอยู่ในตัวกระบี่ซึ่งปักอยู่ในดวงอาทิตย์…และตราประจำตัวที่ภารกิจต้องการก็น่าจะเป็นตราประจำตัวของศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีต!
หวังเป่าเล่อไตร่ตรองขณะอ่านรายละเอียดภารกิจเพิ่มเติม เขาพบว่าตราประจำตัวของศิษย์สำนักในมีมูลค่าสูงถึงหนึ่งพันแต้ม!
ชายหนุ่มใจเต้นระส่ำ ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกจากเบ้าเมื่อเห็นรางวัลที่สูงขั้นขึ้นไปอีก
ศิษย์สืบทอดได้สองหมื่นแต้ม!
ตราประจำตัวผู้อาวุโส…ได้สองหมื่นห้าพันแต้ม!
สวรรค์…ตราประจำตัวผู้อาวุโสสูงสุดมีค่าถึง…ห้าล้านแต้ม! หวังเป่าเล่อยังพอข่มความตื่นตะลึงในใจได้เมื่อเห็นรางวัลช่วงแรก แต่พอได้เห็นรางวัลท้ายสุดของตราประจำตัวผู้อาวุโสสูงสุด เขาก็ได้แต่ส่งเสียงตื่นตะลึงออกมา
ผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลคนหนึ่งที่กำลังรับภารกิจอยู่ได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เขากลอกตามองชายหนุ่ม สีหน้าฉายแววดูแคลน แต่พอเห็นรูปร่างอีกฝ่ายได้ถนัดตาก็พลันเปลี่ยนสีหน้าไป แม้จะรู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลและเคยได้ยินข่าวลือเรื่องผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐบนโลก ทว่ารูปร่างของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขามองชายหนุ่มตรงหน้าเปลี่ยนไป ผู้ฝึกตนคนนั้นยิ้มและพูดขึ้น
“ถ้าข้าได้ตราประจำตัวผู้อาวุโสสูงสุดมา ข้าคงไม่โง่เอาไปแลกกับแต้มการรบห้าล้านแต้มหรอก…ตรานั่น…ถ้าเจ้าได้มา มันจะพ่วงมาด้วยอำนาจขนาดสั่งการทั้งสำนักได้เลยด้วยซ้ำ!”
ประโยคดังกล่าวทำให้หวังเป่าเล่อหันไปกะพริบตามอง ผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ข้างๆ มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราวเด็กหนุ่มจนเดาอายุจริงไม่ถูก ระดับฝึกตนอยู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้นเหมือนกัน ด้านสถานะนั้น ดูเหมือนว่าศิษย์ที่อยู่รอบๆ จะสุภาพกับเขามากทีเดียว
แต่เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญที่สุดคือ…รูปร่างของเขาล้ำหน้ากว่าศิษย์ผอมบางคนอื่นๆ ที่อยู่รอบกาย
ขณะที่หวังเป่าเล่อยืนมองรูปร่างชายตรงหน้า อีกฝ่ายก็จ้องพุงของชายหนุ่มกลับมาเช่นกัน ดวงตาพลันฉายแววยอมรับ เขายิ้มและพูดขึ้น
“สหายเต๋า เจ้าหุ่นดีไม่เบา”
ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแสง เขากระแอมกระไอและกล่าวตอบ
“ในเมื่อพวกเราทั้งคู่รูปร่างดีเหมือนกัน เรามาสนิทกันให้มากกว่านี้ดีหรือไม่” หวังเป่าเล่อหยิบถุงขนมที่เปิดแล้วออกมาจากกำไลคลังเวทและยื่นให้อีกฝ่าย
ผู้ฝึกตนอ้วนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นขนมก็ลืมสิ่งที่ตนจะพูดไปหมด เขาหยิบถุงขนมมาดมกลิ่นดู จากนั้นก็หยิบใส่ปาก พอได้ลิ้มรส ดวงตาของชายอ้วนก็เป็นประกาย
“รสชาติแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้แย่” ขณะพูด ชายอ้วนก็หยิบผลไม้หลายชนิดออกมาจากกระเป๋าคลังเวทและโยนให้หวังเป่าเล่อ
ทั้งสองสานสัมพันธ์ผ่านการแลกเปลี่ยนของกิน พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันต่อ แต่ก็แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันไว้ก่อนจะแยกทางกันไป
หวังเป่าเล่อไม่มีแผนจะทำอะไรเป็นพิเศษในสองสัปดาห์นี้ นอกจากฝึกวิชา ชายหนุ่มก็ใช้เวลานึกถึงผู้ฝึกตนอ้วนที่ชื่อ อวิ๋นเพียวจื่อ เขาแบ่งขนมให้อีกฝ่าย คู่หูสุดผอมเพรียวสานสัมพันธ์กันด้วยของกิน
แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน ยังไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกันมาก แต่ชายผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกตนของสำนักวังเต๋าไพศาลคนแรกที่หวังเป่าเล่อได้รู้จักตั้งแต่มาถึงที่นี่
อีกทั้งชายหนุ่มไม่ได้อยู่ฝ่ายเฟิ่งชิวหรันหรือฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่เป็นศิษย์ของโยวหรัน ความรู้สึกของชายผู้นี้ที่มีต่อสหพันธรัฐนั้นเป็นกลาง
ทั้งสองดูจะมีความสนใจหลายอย่างเหมือนกันจึงพูดคุยกันได้หลายเรื่อง หวังเป่าเล่อใช้โอกาสนี้สืบหาสาเหตุว่าเหตุใดตนจึงยังไม่ได้รับคำสั่งอะไรเลย ส่วนอวิ๋นเพียวจื่อนั้นมีเส้นสายพอสมควร ไม่นานเขาก็ทราบเหตุผลเรื่องนี้
ที่หวังเป่าเล่อต้องรอมาเป็นเดือนๆ โดยไม่ได้ถูกย้ายให้ไปประจำเกาะด้านนอกเหมือนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐคนอื่นๆ ไม่ได้เป็นเพราะสำนักวังเต๋าไพศาลต้องการกักตัวเขาไว้ในเกาะหลัก แต่เป็นเพราะชายหนุ่มเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเพียงคนเดียวในกลุ่มพันธุ์กล้า อีกทั้งยังเป็นผู้นำของคนเหล่านั้น เฟิ่งชิวหรันจึงตั้งใจจะส่งเขาไปยังเกาะที่มีปราณวิญญาณหนาแน่น ซึ่งมีระดับเป็นรองเกาะของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพียงเล็กน้อย เพื่อจะได้ให้หวังเป่าเล่อใช้ปราณวิญญาณและทรัพยากรต่างๆ บนเกาะให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เกาะที่ว่านั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในยี่สิบเกาะล้ำค่าในหมู่เกาะมากมายของสำนักวังเต๋าไพศาล มีเส้นปราณวิญญาณอยู่ในเกาะ นอกจากนี้เกาะดังกล่าวยังมีพืชที่ชื่อว่าหญ้าเพลิงเขียว พืชชนิดนี้ไม่ได้มีราคาแพง แต่เมื่อปลูกบนเกาะนี้แล้วกลับขึ้นดี กินพื้นที่กว้างขวางในเกาะ
ด้วยเหตุนี้เกาะเพลิงเขียวจึงมีมูลค่าสูง และเป็นเหตุให้ฝ่ายเมี่ยเลี่ยจื่อออกมาค้านเสียงแข็ง เพราะเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นมีชื่อคนที่อยากจะให้เป็นเจ้าเกาะอยู่ในใจอยู่แล้ว ข้อพิพาทระหว่างสองฝ่ายทำให้คำสั่งย้ายของหวังเป่าเล่อล่าช้าไป
“แต่ศิษย์น้องเป่าเล่อไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสทั้งสองได้ประนีประนอมกันแล้ว เจ้าน่าจะได้รับคำสั่งเร็วๆ นี้”
อวิ๋นเพียวจื่อคิดว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนคุยง่าย แต่ก็ไม่ได้คิดจะสนิทด้วยมาก เขารู้วิธีจัดการกับผู้คนและชอบลงทุนกับคนมาก ชายอ้วนเองก็ชอบหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน เขามองว่าการพูดคุยทำความรู้จักและการแบ่งปันข้อมูลเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง
คงจะดีถ้าเขาได้ประโยชน์จากการลงทุนครั้งนี้ในภายภาคหน้า แต่ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไร หลังจากแบ่งปันข้อมูลกับหวังเป่าเล่อเสร็จ อวิ๋นเพียวจื่อก็ลูบท้องก่อนจะกลับออกจากที่พักของอีกฝ่าย
หวังเป่าเล่อเดินออกไปส่งอวิ๋นเพียวจื่อ จากนั้นก็เดินกลับเข้าที่พัก เขาหรี่ตา ครุ่นคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายบอกมา ก่อนจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตาคอยสิ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลเตรียมไว้ให้
อย่างไรเสียชายหนุ่มก็ไม่อยากอยู่ในที่พำนักสำหรับแขกและต้องทนรับสายตาเย็นชา ไม่มีการทักทายใดๆ ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนทุกๆ ครั้งที่ออกไปข้างนอกอีก
ข้อมูลของอวิ๋นเพียวจื่อนั้นถูกต้องทุกประการ สามวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็ได้รับคำสั่งประจำการ เขาต้องไปรายงานตัวที่ตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวตอนเช้าวันรุ่งขึ้น โดยทางตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวจะเรียกตัวหวังเป่าเล่อและเหลียงหลง ศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อ มาเพื่อเจรจาร่วมจัดการเกาะและแบ่งทรัพยากร!
เหลียงหลงหรือ พอได้รับคำสั่ง หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วสูง ภาพผู้ฝึกตนหนุ่มที่กวนประสาทเขาตอนอยู่ที่ตำหนักปรัศนีสวรรค์ปรากฏขึ้นในหัว
พวกเขาอยากให้เราต่อสู้ให้เห็นดำเห็นแดงกันหรือ หวังเป่าเล่อหัวเราะ ดวงตาฉายแววเย็นยะเยือก เขานั่งขัดสมาธิ เข้าสู่ห้วงสมาธิเพื่อพักผ่อน ชายหนุ่มลืมตาขึ้นเมื่อรุ่งเช้ามาถึง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปยังตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว
หวังเป่าเล่อไม่ได้มาเร็วจนเกินไป เหลียงหลงมารออยู่ก่อนแล้ว ข้างๆ เขาเป็นชายสูงวัยขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย ชายสูงวัยแต่งกายในชุดคลุมเต๋า ตัวผอมบางจนเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูก ดวงตาฉายแสงเฉียบคม ชายผู้นี้เป็นหัวหน้าตำหนักความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวที่จะมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทางในวันนี้
เขาไม่สนใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย และแทบไม่ใส่ใจเหลียงหลงเช่นกัน ชายสูงวัยไม่อยากมีส่วนร่วมในข้อพิพาทระหว่างสองผู้อาวุโสเนื่องจากอยู่ฝ่ายที่เป็นกลาง หลังจากหวังเป่าเล่อมาถึง เขาก็พูดคุยกับชายหนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดชายเสื้อนำหน้าทะยานออกไป
“ทั้งสองคน ตามข้ามา!”
เหลียงหลงจ้องหวังเป่าเล่อตาแข็งก่อนจะเหยียดยิ้มขึ้น เขาพุ่งตามผู้อาวุโสไปไม่ห่าง หวังเป่าเล่อยังคงมีสีหน้าราบเรียบ แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายอีกฝ่าย มันดูแกร่งกล้ายิ่งกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะบรรลุขั้นการฝึกตนมาหมาดๆ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงลุ่มลึก ชายหนุ่มออกทะยานตามไปข้างๆ ผู้อาวุโส ทั้งสามมองดูคล้ายเส้นสายรุ้งสามสาย ออกตัวจากสำนักวังเต๋าไพศาลทะยานสู่ฟากฟ้ากว้างไกล โดยมีทะเลลาวาเป็นฉากหลัง!