หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 505 ซากเมืองใต้ทะเล
บทที่ 505 ซากเมืองใต้ทะเล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชิ้นส่วนหน้ากากหรือ นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาเพิ่งจะได้มาหนึ่งชิ้นจากบนโลก พอหลอมเข้ากับหน้ากาก แม่นางน้อยก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
ในศูนย์วิจัยดาวอังคารเองก็มีอยู่อีกหนึ่งชิ้น แต่ด้วยตำแหน่งในปัจจุบันทำให้ชายหนุ่มไม่อาจเอามาไว้ในครอบครองได้ แต่เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร เพราะรู้ว่าพอตำแหน่งและระดับการฝึกตนสูงพอก็จะเอามาไว้ในครอบครองได้ง่ายๆ
ชิ้นส่วนที่แม่นางน้อยบอกน่าจะเป็นชิ้นที่สามที่เขาได้พบ!
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความร้อนรนในน้ำเสียงของแม่นางน้อย หลังจากคำนวณเวลาที่เหลืออยู่ เขาก็ดำลึกลงไปในทะเลเพลิงอย่างไม่ลังเล ยิ่งดำลึกลงไปก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงไอร้อนรอบตัว อีกทั้งแรงกดดันก็ยังแผ่พุ่งออกมาจากทั่วสารทิศ
มันเป็นพลังกดดันที่รุนแรงเสียจนชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม หัวใจของเขาเต้นถี่รัว กล้ามเนื้อทั่วร่างบิดผิดรูป หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น ดำลึกลงไป…ในที่สุดก็มาถึงก้นทะเลที่เต็มไปด้วยไอร้อนและแรงกดดันมหาศาล
เขามองเห็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของซากเมืองเบื้องล่างผ่านสายตาของยุงสีเทา ทว่ายังไม่ทันจะได้ดูให้ละเอียด ยุงสีเทาก็ตัวสั่น เหมือนว่าจะไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้ไหว หวังเป่าเล่อรีบเรียกมันกลับ วิสัยทัศน์รอบกายถูกลาวาขวางกั้นอีกครั้ง ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ใช้วิสัยทัศน์สิบเมตรที่มีในการมุ่งหน้าต่อไป
หวังเป่าเล่อมีระยะมองเห็นจำกัดเพียงสิบเมตร เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลและไอร้อนระอุรอบกาย แม้ตนจะมีแก่นในหัวใจก็ยังรู้สึกสะพรึงกลัว ชายหนุ่มสังหรณ์ว่าถ้าดำลึกลงไปอีกสิบเมตร ร่างของตนคงไม่อาจทานทนไว้ ทั้งกายและวิญญาณคงสูญสลายไปในทะเลเพลิงอย่างแน่นอน
“แม่นางน้อย ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยนะ แต่…ข้าดำลึกลงไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวอย่างจำนนใจ เขาเคลื่อนตัวมุ่งหน้ากลับออกจากทะเล ปราณวิญญาณในกายเกือบจะเหือดแห้งไปหมดจากการที่ลงมาลึกมากเกินไป โชคดีที่ร่างกายของหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งมาก เขากลับขึ้นมาถึงผิวน้ำได้ก่อนที่ปราณวิญญาณจะแห้งเหือดไปหมด ชายหนุ่มพุ่งขึ้นมาเหนือทะเลพร้อมหอบหายใจถี่ พลังปราณในร่างเริ่มปั่นป่วน เมล็ดดูดกลืนในกายตื่นขึ้น เริ่มลงมือดูดปราณวิญญาณรอบๆ ด้วยความหิวกระหาย
ผ่านไปสักพัก ใบหน้าซีดเผือดของชายหนุ่มก็กลับมามีสีสันอีกครั้ง พลังปราณในกายเริ่มกลับมาสมดุล หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองดูทะเลเพลิง ในใจก็รู้สึกผิดไม่น้อย ขณะที่กำลังจะกลับออกไป เสียงแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง
“เป่าเล่อ ข้าจะให้สูตรหลอมวัตถุเวทกับเจ้า เป็นสูตรหลอมเรือทนไฟ วัตถุเวทระดับหก ด้วยความสามารถด้านอาวุธเวทในปัจจุบันของเจ้าน่าจะหลอมมันได้ง่ายๆ เรือลำนี้…จะช่วยให้เจ้าลงลึกไปในทะเลเพลิงถึงจุดที่เราต้องการได้!”
เมื่อนางพูดจบ ขั้นตอนการหลอมรวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ก็ปรากฏขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มกะพริบตา นี่เป็นครั้งที่สองที่แม่นางน้อยให้สูตรหลอมวัตถุเวทกับเขา ครั้งแรกเป็นฝักกระบี่
ไยจึงรีบร้อนนัก หวังเป่าเล่อได้ยินน้ำเสียงจริงจังของแม่นางน้อยก็สัมผัสได้ว่านางอยากได้ชิ้นส่วนนี้มาโดยไว หลังจากครุ่นคิดประเมินความยากของการหลอมวัตถุเวทชิ้นนี้อยู่สักพัก เขาก็พยักหน้า
“ก็ได้ ในเมื่อแม่นางน้อยเอ่ยขอ หวังเป่าเล่อผู้นี้ก็จะไม่ขัด ต่อให้ต้องข้ามภูเขาคมมีดหรือทะเลเพลิง แม้จะไม่มีโอกาสเอาชีวิตรอดกลับมา ข้าก็จะ…” หวังเป่าเล่อทุบอกเหยียดยิ้มระหว่างที่พูด ความแน่วแน่ฉายชัดบนใบหน้าราวกับว่าจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก เหมือนกับว่าแม่นางน้อยจะต้องยอมรับในสิ่งที่เขาจะทำให้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดจบ แม่นางน้อยก็พูดขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“พอเถอะๆ เลิกวางมาดสักที เจ้าแค่พูดพล่ามไปเรื่อยเพื่อจะเอาใจข้า หนทางของเจ้ายังอีกยาวไกลนัก แค่ทำตามสิ่งที่ข้าบอก ตราบใดที่มีข้าปกป้องเจ้าในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณแห่งนี้ เจ้าก็จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องหวาดหวั่นกับสิ่งใด!”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเป็นประกาย นี่คือสิ่งที่เขารอคอย ชายหนุ่มรีบป้อนคำยออีกยกใหญ่ อย่างไรเสียเขาก็รู้สึกกังวลไม่น้อยเมื่อต้องมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกไป เขารู้สึกไม่ปลอดภัย หวังเป่าเล่อคาดเดาภูมิหลังของแม่นางน้อยไว้แล้ว จึงพยายามใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับนางให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
แม่นางน้อยเองก็เหมือนจะพอใจไม่น้อย ชายหนุ่มจึงยกยอนางไปตลอดทางกลับ เขาไม่ได้กลับไปที่เกาะเพลิงเขียว แต่มุ่งหน้าไปยังเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลแทน เพื่อรับรางวัลจากภารกิจหนูเพลิงนรกและนำแต้มการรบที่ได้ไปแลกวัตถุดิบต่างๆ
แต้มการรบที่ได้มานั้นค่อนข้างน้อย ไม่พอที่จะแลกวัตถุดิบทั้งหมดที่จำเป็นในการหลอมวัตถุเวท หลังจากครุ่นคิดสักพัก หวังเป่าเล่อก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมุ่งหน้าไปหาผู้ฝึกตนอ้วน เขานำอาวุธเวทชิ้นหนึ่งไปจำนำแลกแต้มการรบมา จึงสามารถจัดหาวัตถุดิบที่ต้องการทั้งหมดมาได้ครบ
ชายหนุ่มกลับมาถึงเกาะเพลิงเขียวในตอนเย็น เขารีบกลับเข้าถ้ำที่พัก เริ่มถือสันโดษเพื่อที่จะหลอมวัตถุเวท หวังเป่าเล่อไม่คุ้นเคยกับวัตถุเวทชิ้นนี้ และเป็นครั้งแรกที่จะได้หลอม แต่เขาก็เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทมากจนถึงขั้นที่สามารถหลอมอาวุธเวทได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงศึกษาเพียงคร่าวๆ ก่อนจะเริ่มลงมือหลอม ใช้เวลาไปหนึ่งวัน เที่ยงวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็ยืนจ้องเรือสีน้ำเงิน ขนาดยาวประมาณสามเมตรด้วยความพึงพอใจ
เรือลำนี้เป็นวัตถุเวทที่แม่นางน้อยให้สูตรมา ไม่รู้ว่ามีชื่อว่าอะไร แต่มีพลังผนึกแผ่ออกมาจากทั้งภายในและภายนอก ดูเหมือนว่าจะสามารถกันพลังงานที่ไหลเวียนจากภายนอกและสร้างพื้นที่ผนึกไว้ด้านใน นอกจากนี้ยังดูเหมือนจะสามารถทานทนแรงกดดันมหาศาลได้
หวังเป่าเล่อรู้คุณสมบัติของมันดี เรือวิญญาณลำนี้ต้องหลอมโดยใช้ทรายอาวุธเหมือนกันกับฝักกระบี่ หมายความว่าชายหนุ่มไม่สามารถควบคุมขั้นตอนการหลอมทั้งหมดได้สมบูรณ์ ทว่าจากประสบการณ์ของตนเอง ทำให้เขารู้ว่ามีกระบวนการหลอมอื่นที่ใช้ทรายอาวุธอยู่เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าอาวุธเวทของสหพันธรัฐใช้กระบวนการหลอมที่พัฒนามาจากกระบวนการหลอมนี้
ลองไปทดสอบดูดีกว่าว่าเรือลำนี้จะสุดยอดเหมือนที่แม่นางน้อยว่าไว้หรือเปล่า ถ้าดีจริงค่อยตั้งชื่อให้ หวังเป่าเล่อแตะเรือตรงหน้า ดูพึงพอใจแต่ก็แอบเจ็บปวดกับราคาที่ต้องจ่าย เขาใช้แต้มการรบไปเจ็ดร้อยแต้มเพื่อหลอมเรือลำนี้ขึ้น ชายหนุ่มหามาได้เองแค่สามสิบแต้ม แต้มที่เหลือได้มาจากของที่เอาไปจำนำ
“ข้าเอาของส่วนตัวไปจำนำเพื่อแม่นางน้อยเลยนะ!” หวังเป่าเล่อประกาศก้องขณะเงยหน้ามองฟ้าด้านนอก ใกล้จะถึงยามเย็นแล้ว เป็นเวลาเหมาะที่จะเดินทางไปในทะเลเพลิง เขาไม่ลังเลใจ หยิบเรือวิญญาณและทะยานออกไปทันที ไม่นานก็มาถึงจุดที่เคยลงไปในทะเลเพลิงครั้งแรก ชายหนุ่มเข้าไปในเรือวิญญาณ ก่อนจะขับมุ่งตรงลงไปในทะเล
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงความแตกต่างเมื่อลงไปในทะเลเพลิงครั้งนี้ เรือวิญญาณส่องแสงนุ่มนวลที่ช่วยผลักลาวาในรัศมีหลายเมตรรอบกายออกไป ภาพเบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มสุขใจยิ่งนัก
ได้ผลจริงๆ ด้วย! เขาบังคับเรือดำลึกลงไปด้วยความตื่นเต้น เรือวิญญาณดำลึกลงไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มาถึงจุดที่ตนไม่สามารถทนได้ไหวก่อนหน้า พอมีเรือมาช่วยก็รู้สึกสบายตัวกว่าครั้งก่อน
“อยู่ข้างล่างนั่น!” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะดำลึกลงไปอีก เสียงเร่งเร้าของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัว ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะดำลึกลงไปอีก เขาเห็นเงาเบื้องล่างเรือวิญญาณในทะเลเพลิง เงานั้นคือซากเมืองขนาดใหญ่
ชายหนุ่มเห็นซากตำหนักและชิ้นส่วนแตกหักมากมาย ท่ามกลางซากเหล่านั้นมีศพจำนวนหนึ่งที่รอดจากการถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน…
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไป เขาสังเกตเห็นว่าซากตำหนักเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยใช้สถาปัตยกรรมเดียวกันกับบนเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาล ที่แห่งนี้…เคยเป็นส่วนหนึ่งของสำนักวังเต๋าไพศาลก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณจะพุ่งเสียบดวงอาทิตย์ทำให้มันจมหายไปในทะเลเพลิง!
เป็นอย่างที่เขาคิด พื้นดินจมหายไปในทะเลเพลิง ส่วนเกาะด้านบนที่เห็นเหนือทะเลนั้นเคยเป็นยอดเขามาก่อน
หวังเป่าเล่อถอนหายใจเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้าขณะขับเรือวิญญาณลงลึกไปเรื่อยๆ เขาเข้าไปในซากเมือง สัมผัสได้ว่าไอร้อนและแรงกดดันจากทั่วสารทิศพลันหายไป เหมือนกับว่าแม้จะมีสภาพอย่างที่เห็น แต่ซากเมืองแห่งนี้ก็ยังมีพลังป้องกันบางอย่างหลงเหลือพอจะผนึกทะเลเพลิงไว้ภายนอกได้
ที่เหล่าศพรอดมาได้ไม่ได้เป็นเพราะก่อนที่จะตายพวกเขาเคยแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะสถานที่แห่งนี้สามารถกันทะเลเพลิงไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาได้ต่างหาก
หวังเป่าเล่อลองยื่นมือออกไปสัมผัสน้ำภายนอกก่อนจะออกจากเรือวิญญาณ รอบกายของเขาเงียบสนิท ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเงยหน้ามองทะเลเพลิงด้านบน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ขยับเข้าไปหาศพอย่างระมัดระวัง แม้จะตายมานานแล้วแต่ก็ยังมีสภาพสมบูรณ์ดีอยู่ ยังมีพลังขั้นกำเนิดแก่นในหลงเหลืออยู่ในร่าง บ่งบอกว่าก่อนตายศพนี้เคยเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมาก่อน
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน ดีเลย อาจจะมีของดีติดตัวอยู่ก็ได้ นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแสงด้วยความคาดหวัง ก่อนจะก้มลงสำรวจ แต่ก็ไม่พบแม้แต่กระเป๋าคลังเวทหรือตราประจำตัว เขาขมวดคิ้วพร้อมบ่นพึมพำ
“พวกนี้นี่จนเสียจริง…หรือว่าเคยมีคนมาถึงที่นี่ก่อนกันนะ”
หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดาย แต่ก็ทราบดีว่ามีผู้ฝึกตนมากมายในสำนักวังเต๋าไพศาลที่มีระดับการฝึกตนเหนือชั้นกว่าเขา จึงไม่แปลกที่จะเคยมีคนลงมาในทะเลเพลิงโดยไม่ต้องใช้วัตถุเวทช่วยและเก็บเอาของมีค่าไปหมด
พอชายหนุ่มบ่นเสร็จ เสียงดุของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในหัว
“เจ้าจะไปหาอะไรจากพวกข้ารับใช้เหล่านี้ เร็ว รีบไปได้แล้ว ข้าสัมผัสได้ถึงชิ้นส่วนหน้ากากห่างออกไปร้อยเมตรในซากโถงนั่น!”