หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 511 รายได้ก้อนโต!
เซี่ยไห่หยางนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด พอคิดคำนวณเสร็จ เขาก็จ้องอีกฝ่ายกลับก่อนจะหัวเราะขึ้น
“เอาตามนั้นก็ได้ เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เซี่ยไห่หยางยื่นมือขวาไปทางหวังเป่าเล่อขณะที่พูด
“ตกลง!” หวังเป่าเล่อหัวเราะรื่นเริงพร้อมยื่นมือขวาออกไปจับมือกับอีกฝ่าย ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานต่ออีกครู่หนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้ถามถึงภูมิหลังของเซี่ยไห่หยางและอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับตนเอง เหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจกันไปโดยปริยาย
เซี่ยไห่หยางโอนแต้มการรบที่จะใช้ลงทุนเข้าแผ่นหยกสำนักของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ลุกขึ้นยกมือคารวะหวังเป่าเล่อก่อนจะกลับออกไป
ภาพแผ่นหลังเซี่ยไห่หยางและแสงที่ตกกระทบกับผมมันเงาทำให้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศลึกลับซับซ้อนที่แผ่ออกมา
ดูแล้วเซี่ยไห่หยางก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร พูดให้ชัดเจนคือเขาเป็นกลางกับทุกฝ่าย ก็เหมือนที่เจ้านั่นพูดกับทุกคนว่าตัวเอง…เป็นนักธุรกิจ หวังเป่าเล่อหรี่ตามอง คิดในหัวว่าทำเช่นนี้คงจะดีกว่า ยิ่งตนไม่ได้มีเส้นสายใดๆ ภายในสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยแล้ว ขอแค่จ่ายเซี่ยไห่หยางอย่างเหมาะสมก็จะได้ตามที่ตนประสงค์ เขาจึงคิดว่านี่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
หลังจากส่งเซี่ยไห่หยางเสร็จ หวังเป่าเล่อก็กลับเข้าถ้ำที่พักและคำนวณแต้มการรบที่มี ดวงตาของเขาเป็นประกาย เริ่มจัดแจงซื้อวัตถุดิบเพื่อหลอมเรือวิญญาณในทันที
ด้วยส่วนลดจากเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มสามารถสร้างเรือวิญญาณได้สามสิบห้าลำภายในไม่กี่วัน!
กองทัพเรือสามสิบห้าลำเปลี่ยนเกาะเพลิงเขียวเป็นท่าเรือ มีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมาต่อแถวรอเช่าเรือทุกวันไม่ขาดสาย ธุรกิจของหวังเป่าเล่อเฟื่องฟูขึ้นภายในเวลาสั้นๆ ข่าวคราวแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนัก ส่งผลให้มีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมาเช่าเรือมากขึ้น
อย่างไรเสียหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ตั้งค่าเช่าเรือวิญญาณสูงจนเกินไป อีกทั้งรายได้ที่เหล่าผู้ฝึกตนหาได้ ส่วนใหญ่มีมูลค่าสูงกว่าค่าเช่าเรือถึงสิบเท่า ทำให้เรือวิญญาณทั้งสามสิบห้าลำเป็นที่นิยมมาก
โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมาลองใช้ และพบว่าเรือวิญญาณนั้นใช้ได้ดีกว่าการพึ่งพาเพียงระดับการฝึกตนของตัวเอง เรือวิญญาณช่วยให้พวกเขาดำลึกลงไปในจุดที่ไม่เคยไปถึง ทำให้เรือวิญญาณเป็นที่ต้องการสูงยิ่งขึ้น
หวังเป่าเล่อได้แต้มการรบสี่ร้อยกว่าแต้มทุกวันจากธุรกิจอันรุ่งเรือง แม้จะแบ่งส่วนหนึ่งไปให้อวิ๋นเพียวจื่อ ชายหนุ่มก็ยังเหลือแต้มการรบอยู่สามร้อยกว่าแต้ม ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมากทีเดียวภายในสำนักวังเต๋าไพศาล
การจะหาให้ได้สามร้อยแต้ม ศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักวังเต๋าไพศาลต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือน และนั่นก็เป็นในกรณีที่โชคดีพอ แต่ถ้าโชคไม่ดี ผ่านไปเดือนหนึ่งก็อาจจะหาไม่ได้มากเท่านั้น ทว่าหวังเป่าเล่อกลับสามารถหาได้ภายในวันเดียว!
ดังนั้นแม้ชายหนุ่มจะตื่นตะลึงกับรายได้ที่ตนหามาได้ แต่เขาก็รู้สึกเหมือนตนไม่ได้ทำธุรกิจ แต่ไปปล้นมาเสียมากกว่า…
แต่ข้าก็ยังจนอยู่เลย… แม้จะตื่นเต้น แต่ชายหนุ่มก็มองแต้มการรบของตัวเองด้วยความเศร้าหมอง มองเผินๆ จะเหมือนว่าเขาได้แต้มเป็นกอบเป็นกำ แต่จริงๆ แล้วโครงสร้างธุรกิจเช่นนี้ต้องคอยลงทุนอยู่ตลอด ทำให้ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีแต้มสะสมเพียงประมาณสองพันแต้มเท่านั้น
คงจะต้องเลิกลงทุน มิเช่นนั้นรายได้ทั้งหมดก็จะเป็นเพียงภาพมายาอันหอมหวาน หวังเป่าเล่อว้าวุ่นอยู่ในใจ พอคำนวณดูแล้วก็พบว่าหากเลิกลงทุน ตนจะสามารถรวบรวมแต้มการรบได้ประมาณหนึ่งหมื่นแต้มภายในหนึ่งเดือน
น่าจะไม่ต่ำไปกว่านี้ หากไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ธุรกิจก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเพิ่มการลงทุน!
เซี่ยไห่หยางบอกว่าธุรกิจนี้น่าจะอยู่ไปได้ประมาณสองถึงสามเดือน แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่เขาประเมิน ข้าไม่ควรจะไปเชื่อคำพูดเขามาก แค่อยู่รอดไปได้หนึ่งเดือนก็พอใจแล้ว ทุกวันหลังจากนั้นถือเป็นโชคดี!
ข้าต้องถอนทุนที่ใช้หลอมเรือวิญญาณไปคืน ถ้าในช่วงนี้ข้าหลอมเรือวิญญาณเพิ่ม ก็อาจจะหาแต้มจากมันได้ไม่มาก แต่ก็ไม่น่าจะขาดทุนตอนที่ขายเรือเลหลังไป!
วิธีนี้น่าจะเป็นหนทางเดียวในการที่จะกอบโกยแต้มให้ได้มากที่สุดในเวลาอันจำกัดนี้! คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเลใจที่จะนำแต้มไปลงทุนเพิ่ม เขาใช้แต้มการรบที่หาได้ไปซื้อวัตถุดิบมาเพิ่มเพื่อหลอมเรือวิญญาณ
ตามหลักแล้วอวิ๋นเพียวจื่อเป็นผู้ร่วมลงทุนรายแรกของชายหนุ่มซึ่งถือหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งของธุรกิจ เซี่ยไห่หยางเป็นผู้ร่วมลงทุนคนที่สอง แต่ไม่ได้ขอรับส่วนแบ่งจากการดำเนินการ ดังนั้นว่ากันตามจริงแล้ว ส่วนแบ่งที่อวิ๋นเพียวจื่อได้รับนั้นนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
แต่ตอนนี้ในเมื่อหวังเป่าเล่อตัดสินใจนำแต้มของตัวเองไปลงทุน สถานการณ์ทั้งหมดจึงเปลี่ยนไป ตามหลักแล้ว อวิ๋นเพียวจื่อจะต้องนำแต้มมาลงทุนเพิ่มหากอยากรักษาส่วนแบ่งร้อยละห้าสิบไว้
หลังจากครุ่นคิดสักพัก หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้บอกอะไรอวิ๋นเพียวจื่อมาก รวมถึงไม่ได้ขอให้อีกฝ่ายลงทุนเพิ่ม เขาใช้แต้มของตนเองในการลงทุนเพิ่ม ทำให้แม้ธุรกิจจะมีรายได้มากขึ้น แต่อวิ๋นเพียวจื่อก็ยังได้รับส่วนแบ่งเท่าเดิม
หลังจากคำนวณแต้มที่ได้จากการลงทุน อวิ๋นเพียวจื่อก็ตกตะลึงไป เขาเดินทางมายังเกาะเพลิงเขียวเพื่อพบหวังเป่าเล่อหลังจากได้ทราบสถานการณ์ทั้งหมด
ชายอ้วนยกมือคารวะหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหยิบอาวุธเวทที่อีกฝ่ายนำมาจำนำออกมาคืนให้โดยไม่ลังเลใจ
“น้องเป่าเล่อ เราเป็นเพื่อนกัน เจ้าใจกว้างกับข้ามาก ข้าเองก็ไม่ควรจะใจแคบเช่นกัน!” อวิ๋นเพียวจื่อหัวเราะ รู้สึกสนิทใจกับหวังเป่าเล่อมากกว่าเดิม
หวังเป่าเล่อเผยยิ้ม ค่อนข้างแปลกใจที่เจ้าอ้วนอวิ๋นเอาอาวุธเวทมาคืนให้ เขาคิดว่ามิตรภาพครั้งนี้น่าจะมีค่ามาก อวิ๋นเพียวจื่อหยิบสุราออกมาสองสามขวดขณะพูดคุยกันอย่างเปิดใจ ทั้งคู่ดื่มกันสักพักก่อนที่อวิ๋นเพียวจื่อจะกลับออกไป ขณะเหาะอยู่กลางอากาศ เขาก็หยุดก้มมองเกาะเพลิงเขียวพร้อมกับครุ่นคิด
น้องเป่าเล่อของข้าไม่ใช่คนธรรมดา…แต้มที่หามาได้นั้นถือว่ามากเลยทีเดียว แต่เขากลับลงทุนเพิ่มโดยไม่ลังเลและไม่กลัวว่าจะขาดทุน คนเช่นเขาถือว่าไม่ธรรมดาเลย…!
หวังเป่าเล่อเองก็คิดถึงการมาเยือนของอวิ๋นเพียวจื่อเช่นกัน วิธีการรับมือกับสิ่งต่างๆ ของชายอ้วนทำให้เขารู้สึกสบายใจและผุดคิดถึงคำกล่าวในอัตชีวประวัติขึ้นมา
“มิตรภาพของผู้ใหญ่เกิดจากการมีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน โดยผลกำไรจะช่วยให้ผูกสัมพันธ์กันได้เร็วขึ้น!”
หลังจากส่งอวิ๋นเพียวจื่อเสร็จ หวังเป่าเล่อก็นำแต้มทั้งหมดไปลงทุน เขาใช้แต้มที่หามาได้ทุกวันไปซื้อวัตถุดิบและหลอมเรือวิญญาณเพิ่มเรื่อยๆ ห้าวันต่อมา ชายหนุ่มก็มีเรือวิญญาณเพิ่มเป็นห้าสิบหกลำ!
รายได้ในวันหนึ่งหลังหักส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็นหกร้อยแต้ม
จากนั้นชายหนุ่มก็หลอมเรือวิญญาณเพิ่มอีกสี่ลำเป็นทั้งหมดหกสิบลำ ก่อนจะหยุดพักการหลอมและคอยเก็บสะสมแต้มการรบหกร้อยแต้มทุกวัน
หวังเป่าเล่อเก็บสะสมแต้มไปเรื่อยๆ ผ่านไปครึ่งเดือน เขาก็สามารถรวบรวมได้แปดพันกว่าแต้ม ธุรกิจเองก็รุ่งเรืองไปได้เดือนหนึ่งตามการคำนวณของตน
ยังไม่ต้องรีบส่งเคล็ดวิชากลับไป ทยอยส่งทีละเคล็ดวิชาไม่ได้ประโยชน์อะไร รอสะสมแต้มให้ได้มากกว่านี้แล้วส่งกลับไปทีเดียวสิบเคล็ดวิชาให้ต้วนมู่น้อยตกใจเล่นดีกว่า หลังจากนั้น ทุกวันที่ธุรกิจยังไปต่อได้ก็ถือว่าเป็นโชคดีแล้ว! ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบ เขาติดต่อไปหาเซี่ยไห่หยางเรื่อยๆ เพื่อคอยฟังข่าวภายในสำนัก หลังจากเงียบปากไปได้เดือนหนึ่ง หลี่อี้ก็ส่งข้อความอวดดีเข้าไปในห้องสนทนากลุ่มอีกครั้ง
“สหายเต๋าทั้งหลาย ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเจ้ามีแต้มการรบกันอยู่เท่าใด แต่ข้ารวบรวมมาได้สองพันแต้มแล้ว ตอนนี้กำลังจะส่งเคล็ดวิชากลับไปให้สหพันธรัฐ!”
ข้อความของหลี่อี้ทำให้เหล่าพันธุ์กล้าในห้องสนทนากลุ่มแตกตื่น ข้อความมากมายปรากฏขึ้นราวสายน้ำไหลหลาก
“ส่งเคล็ดวิชากลับหรือ”
“เร็วมาก! หลี่อี้ เจ้าใช้วิธีใดถึงหาแต้มการรบมาได้ถึงสองพันแต้ม”
“ไม่น่าเชื่อ! ข้าคิดว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นคนแรกที่ส่งเคล็ดวิชากลับสหพันธรัฐเสียอีก กลับกลายเป็นหลี่อี้แทนเสียอย่างนั้น!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจ หลี่อี้ที่อยู่ในเกาะหลักสำนักวังเต๋าไพศาลก็เริ่มลำพองใจ พอแลกแต้มการรบไปหนึ่งพันแต้ม วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เปิดออก และนางก็ส่งกระบวนเวทไพศาลกลับไปยังสหพันธรัฐ!