หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 521 ขุนพลอักขระเวทโบราณ!
แม้หวังเป่าเล่อจะมีความสามารถในการควบคุมตนเองสูงเหมือนปราการเหล็กกล้า แต่ภาพศพพร้อมตราประจำตัวตรงหน้าก็ยังไม่วายทำให้เขาตัวสั่น ลมหายใจของชายหนุ่มหอบถี่ด้วยความตื่นเต้น เขาไม่มีเวลาคิด เนื่องจากรับรู้ได้ถึงอันตรายที่เข้ามาใกล้ตัว
หวังเป่าเล่อถอยหนีทันทีที่สัมผัสได้ถึงภัยร้าย แต่ด้วยความประหลาดใจที่ได้เห็นตราประจำตัว เขาจึงหลบช้าไปก้าวหนึ่ง ด้วยเหตุนี้แผนการการหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้โดยบาดเจ็บให้น้อยที่สุดจึงพังลงในทันที
ลำแสงสีดำพุ่งเข้ามาอย่างฉับพลัน มันส่งเสียงกึกก้องเหมือนสายฟ้าฟาด เมื่อปะทะเข้ากับกระบีบินสามสี กระบี่ทั้งสามก็สั่นเทาจากแรงกระแทกรุนแรง ตอนนั้นเองลำแสงสีดำก็แตกออกเป็นสิบสาย พุ่งฉวัดเฉวียนเข้าใส่หวังเป่าเล่อจากทุกทิศทาง หมายเฉือนเขาให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ชายหนุ่มคำรามก้องก่อนสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อเอาตัวรอด กระบี่บินสามสีและแถบผ้าทอแสงจ้า อาวุธเวทของเขาปล่อยพลังออกมาตามๆ กันอย่างไม่ขาดสาย แก่นในแห่งความมืดภายในกายหวังเป่าเล่อปล่อยเปลวไฟสีดำให้พวยพุ่งไปทั่วบริเวณจนกินวงกว้าง นอกจากนี้ชายหนุ่มยังปล่อยพลังของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงเช่นกัน ปราณโลหิตพุ่งขึ้นเสียดฟ้า ในขณะที่ร่างของเขาทำหน้าที่เป็นฐานเพื่อส่งพลังทั้งหมดออกไปภายนอก ในที่สุดชายหนุ่มก็หนีออกจากพื้นที่ต้องสาปนั้นได้ก่อนที่จะโดนลำแสงสีดำนับสิบหั่นเป็นชิ้นๆ !
แม้จะหนีออกมาได้ แต่ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ต้านทานการปล่อยพลังพร้อมกันในคราวเดียวไม่ไหว เลือดสดๆ ทะลักออกจากปากของชายหนุ่ม ส่วนอวัยวะภายในก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน
ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้อาจทำให้คนอื่นหมดสติลงให้ฉับพลัน แต่หวังเป่าเล่อเป็นคนอำมหิตโดยธรรมชาติ และยิ่งโหดเหี้ยมกับตนเองมากกว่าใครเพื่อน เขากล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดไว้และไม่หยุดหนีจนกว่าจะปลอดภัย ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย จนเกิดเป็นเส้นสายรุ้งพุ่งตรงไปยังท้องฟ้า
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าแม้เขาจะตรวจสอบให้มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดีหากจะอยู่ในตัวกระบี่ต่อไป ทางที่ดีที่สุดคือต้องหนีออกจากพื้นที่นี้ไปยังส่วนด้ามจับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
ชายหนุ่มระเบิดความเร็วอีกครั้งและมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ชั้นป้องกันที่กั้นระหว่างตัวกระบี่กับด้ามจับอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น วิสัยทัศน์ของเขาปลอดโปร่งไร้ซึ่งเมฆหมอกบดบัง หวังเป่าเล่อเคลื่อนตัวเหมือนคันธนูยาวที่พุ่งตัดอากาศด้วยความเร็ว เขาเข้าใกล้ชั้นป้องกันเข้าไปทุกที วินาทีต่อมา… ชายหนุ่มก็กระโจนทะลุผ่านชั้นป้องกันนั้นไป!
ทันทีที่ทะลุผ่านชั้นป้องกันออกไปได้ หวังเป่าเล่อก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก แต่ก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิรอบตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกของอากาศเย็นที่สัมผัสผิวกายทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้น ราวกับได้ก้าวออกจากฤดูร้อนอันแสนระอุ เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย
แน่นอนว่าความรู้สึกของหวังเป่าเล่อเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบสองสิ่งเข้าด้วยกันเท่านั้น อุณหภูมิที่ด้ามจับยังคงสูงเสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อเทียบกับบริเวณตัวกระบี่แล้ว ก็กลับเย็นสบายเหมือนฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ
ชายหนุ่มอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อความร้อนราวนรกอเวจีหายไป แต่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด ตลอดการเดินทาง หวังเป่าเล่อเฝ้าสำรวจรอบกายอย่างระมัดระวังตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามเขามาหรือดักซุ่มโจมตี ในที่สุดชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ด้วยความที่อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสพอสมควร หวังเป่าเล่อจึงหาเกาะร้างเพื่อพักฟื้นร่างกายชั่วคราว เขาสร้างถ้ำที่พักอย่างง่ายขึ้นมา เข้าไปนั่ง และหยิบโอสถออกมาเคี้ยว ก่อนทำสมาธิเพื่อรักษาตัว
เจ็ดวันผ่านไป ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาอีกครั้งพร้อมประกายวาววับ อาการบาดเจ็บหายไปเกือบหมดแล้ว ร่างกายใกล้กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ดังเดิม
คำสาปนั้นทรงพลังเกินไป… นับว่าข้าโชคดีที่เจอช่องโหว่เข้า หากไม่มีช่องโหว่แล้วละก็… จะเข้าไปหยิบอะไรในนั้นมา คงต้องเสียอาวุธเวทไปเพื่อแลกกับการเอาตัวรอด เห็นทีแบบนั้นข้าจะขาดทุนเสียมากกว่า ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงคำสาปที่ตนเองเจอบนยอดเขา ร่างกายก็พาลสั่นสะท้าน แต่ก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนเองได้รับมา จึงหยิบสิ่งของทั้งหมดออกมาตรวจดู
หวังเป่าเล่อออกมาทันทีที่หยิบกระเป๋าคลังเก็บได้ เมื่อหนีมาจนถึงเกาะร้างแห่งนี้เขาก็เริ่มกระบวนการเยียวยาบาดแผลของตนเอง จนไม่มีเวลาได้ตรวจดูว่าได้สิ่งใดมาบ้าง ชายหนุ่มหยิบสิ่งของที่ได้มาออกมาทีละชิ้นเพื่อนับดู ดวงตาเป็นประกายสว่างไสว
ข้าได้กระเป๋าคลังเก็บมาสามสิบเก้าใบ! เขาคิดด้วยความตื่นเต้น รู้สึกราวกับตนเองโชคดีถูกรางวัลที่หนึ่ง ชายหนุ่มมองสิ่งของที่กองอยู่ตรงหน้าด้วยความคาดหวัง เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมาหนึ่งใบเพื่อสำรวจดูโดยใช้จิตสัมผัสวิญญาณ นัยน์ตาทอแสงวาบอีกครั้ง เขาพลิกมือหยิบตราประจำตัวสีเทาขึ้นมาดู
ตรานั้นเย็นเมื่อได้สัมผัส และดูเหมือนว่าสร้างมาจากวัสดุที่มีลักษณะเย็นโดยธรรมชาติ รังสีกดดันแผ่ออกจากตรานั้น แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่วัตถุธรรมดาสามัญทั่วไป ด้านหน้ามีชื่อสลักอยู่ ส่วนด้านหลังก็มีตัวอักษรอยู่สองตัวเช่นกัน
หวังเป่าเล่อไม่ได้มีปัญหาเรื่องตัวอักษรที่ใช้กันในสำนักวังเต๋าไพศาลแต่อย่างใด เนื่องจากภาษานั้นใช้อย่างแพร่หลายที่สหพันธรัฐเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านั้นไม่รู้กันว่า ระบบภาษานี้มีต้นกำเนิดมาจากสำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้นเอง
อย่างไรเสีย กระบวนเวทมากมายที่สหพันธรัฐครอบครองก็ถือกำเนิดมาจากกระบี่สำริดเขียวโบราณนี้ นอกจากนี้พวกเขายังมีโมเกาจื่อเป็นตัวเชื่อม จึงทำให้หวังเป่าเล่ออ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนตราประจำตัวออก ภาษานั้นเป็นภาษาที่ผู้ฝึกตนทุกคนต้องเรียนรู้ให้ได้อย่างถ่องแท้ เมื่อเริ่มเป็นผู้ฝึกตนใหม่ๆ
“ซุนเยี่ยน แห่งสำนักนอก!” หวังเป่าเล่อถือตราประจำตัวไว้ในมือ ก่อนอ่านอักขระที่ด้านหน้าและด้านหลังตรานั้น
เทา แดง ม่วง ดำ ทั้งสี่สีนี้เป็นสีตราประจำตัวของศิษย์สำนักนอก ศิษย์สำนักใน ศิษย์สืบทอด และผู้อาวุโส ตามลำดับ ส่วนตราของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นไม่ได้มีสีประจำตัว… หวังเป่าเล่อจำรายละเอียดที่เขียนอยู่บนแผ่นหินรับภารกิจได้ เขามั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองถืออยู่ในมือตอนนี้คือตราประจำตัวของศิษย์จากสำนักนอก มีมูลค่าหนึ่งร้อยแต้มการรบ
ชายหนุ่มวางตรานั้นไว้ข้างกาย ก่อนสำรวจดูสิ่งของในกระเป๋าของซุนเยี่ยนต่อ กระเป๋าของซุนเยี่ยนไม่ได้มีของมากมายนัก และส่วนใหญ่เป็นของที่พังแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีโอสถอยู่มากเช่นกัน ดูเหมือนซุนเยี่ยนจะไม่ใช่ศิษย์สำนักนอกผู้มากทรัพย์
แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม เขาหยิบกระเป๋าคลังเก็บใบที่สองออกมาเปิดดูด้วยความตื่นเต้น ในกระเป๋านั้นมีตราประจำตัวของศิษย์สำนักนอกเช่นกัน รวมถึงขวดโอสถด้วย หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าโอสถนั้นมีฤทธิ์อย่างไร แต่ดูจากขวดแล้วน่าจะมีค่าอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เขาเปิดขวดโอสถออกดู แล้วก็หายใจสะดุดด้วยความตกใจ
โอสถนี้… เพียงแค่ดม พลังปราณในกายข้าก็ปั่นป่วนไปหมดแล้ว นี่มันของล้ำค่าชัดๆ! หวังเป่าเล่อเก็บขวดโอสถด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเปลี่ยนไปสำรวจกระเป๋าใบถัดไป
ชายหนุ่มอุทานเป็นพักๆ เมื่อเห็นสิ่งของในกระเป๋าใบแล้วใบเล่า ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เมื่อมาถึงใบสุดท้าย สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
ตราประจำตัวและสิ่งของที่อยู่ข้างในกระเป๋าใบนี้แตกต่างจากสามสิบใบก่อนหน้ามากนัก ตราของกระเป๋าใบที่สามสิบเอ็ดนี้เป็นสีแดง!
ตราประจำตัวของศิษย์สำนักใน!
หวังเป่าเล่อพยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ก่อนค่อยๆ สำรวจดูสิ่งของภายในกระเป๋าของศิษย์สำนักในอย่างละเอียด เขาเจอศิลาสีขาวหลายพันก้อนที่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าใช้ทำอะไร นอกจากนี้ยังมีเหรียญทองแดงอยู่ห้าเหรียญ!
เหรียญทองแดงแต่ละเหรียญมีขนาดเท่าฝ่ามือเขา ด้านหนึ่งมีรูปปีศาจร้ายน่ากลัวสลักอยู่ ส่วนอีกด้านเป็นตัวอักษรจารึก…
“วิญญาณแห่งขุนเขา เทพเจ้าแห่งสายฟ้า จงสังหารผีสางวิญญาณเหล่านี้ให้คุกเข่ายอมจำนน ทำลายปีศาจร้ายและปัดเป่าทมิฬมารให้สิ้นซาก ปกป้องเทพไท้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีชีวิตนิรันดร์!”
หวังเป่าเล่อมองเหรียญทองแดงด้วยสายตางุนงง เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเหรียญพวกนี้มีไว้ทำสิ่งใด แต่ก็สัมผัสได้ถึงไอของสมบัติเวทที่เอ่อล้นออกมา ชายหนุ่มวางเหรียญทั้งห้าไว้ข้างกาย ตั้งใจว่าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อกลับไปถึงสำนัก
นอกจากนี้ยังมีสิ่งของอื่นๆ มากมายอยู่ในกระเป๋า สิ่งสุดท้ายที่เขาหยิบออกมาคือแผ่นหยกสีขาวที่เตะตาเขาเป็นอันมาก ชายหนุ่มส่งจิตสัมผัสวิญญาณออกจากกายเพื่อสำรวจดูแผ่นหยกสีขาวนี้ และแทบต้องหยุดหายใจ เขาหยิบเหรียญทองแดงข้างกายขึ้นมาอีกครั้ง และหันกลับไปจ้องแผ่นหยกเขม็ง ไม่นานนักก็พึมพำออกมา
“ขุนพลอักขระเวทโบราณหรือ”
แผ่นหยกนั้นบันทึกวิธีการหลอมและควบคุมขุนพลอักขระเวทโบราณ อันเป็นสมบัติเวทชนิดพิเศษที่ทรงพลังพอสมควร เหรียญทองแดงทั้งห้าคือขุนพลอักขระเวทโบราณประเภทหนึ่ง
หลังจากที่อ่านอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็รับรู้ได้ว่า ความรู้ที่บันทึกอยู่ในแผ่นหยกนั้นมากมายมหาศาลจนไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ภายในชั่วอึดใจ เขาวางแผ่นหยกลงด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบต่อไปขึ้นมาสำรวจดู หลังจากที่ค้นกระเป๋าครบหมดแล้ว เขาก็มองสิ่งของที่เก็บกลับมาได้ตรงหน้า หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น
หากนับเพียงตราประจำตัวที่เก็บมาได้ ตราของศิษย์สำนักนอกสามสิบแปดตราและตราของศิษย์สำนักในหนึ่งตรานั้นหมายถึงแต้มการรบจำนวนมาก นอกจากนี้เขายังเจอโอสถมากมายหลายชนิด รวมถึงสมบัติเวทที่สภาพไม่สมบูรณ์อีกด้วย เนื่องจากยังไม่ได้นำไปตีราคาจึงยังบอกมูลค่าของสิ่งของเหล่านี้ไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าของทั้งหมดนี้จะแลกเปลี่ยนเป็นแต้มการรบจำนวนมากได้เช่นกัน
ภารกิจของหวังเป่าเล่อที่ตัวกระบี่รอบนี้ทำกำไรให้เขามากโข อันจะนำมาซึ่งความอิจฉาริษยาเป็นแน่หากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูใคร
แถมยังมีโอสถที่หน้าตาเหมือนโอสถจักรวาลอีก…
นี่ยังไม่รวมถึง… ตราประจำตัวสีม่วงที่เขาเห็น! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายแรงกล้า ขณะคิดถึงตรานั้น เขาไม่มีทางลืมได้เลยว่าอาการบาดเจ็บทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร มันเป็นเพราะว่าเขาตกใจที่เห็นตราประจำตัวสีม่วงนั้นอยู่ตรงหน้า จึงหนีออกมาไม่ทันท่วงที!
สีม่วงคือสีประจำตัวศิษย์สืบทอด มีมูลค่าสองหมื่นแต้มการรบ!
หวังเป่าเล่อไม่ลืมเช่นกันว่าบนยอดเขานั้นมีตำหนักที่สภาพสมบูรณ์ครบถ้วนตั้งอยู่ นอกจากนี้ยังมี… ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำที่พักบนจุดสูงสุดของยอดเขา!
หากข้าคาดการณ์ไม่ผิด ภูเขานั้น… ต้องเป็นถ้ำที่พักของศิษย์สืบทอดจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงเป็นแน่!
ถ้ำที่พักซึ่งเป็นของศิษย์สืบทอดที่ยังไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน แค่คิดว่าสิ่งของในถ้ำนั้นมีมูลค่าเท่าใด ดวงตาของชายหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความปรารถนา