หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 524 หรือจะเป็นโอกาสทอง
“ที่นี่น่ะหรือ” เจ้าเยี่ยเมิงจ้องมองไปยังอีกฝั่งฟากเหวที่ถูกปกป้องไว้ด้วยชั้นป้องกัน นางสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าตกใจกับภาพที่เห็นอย่างชัดเจน นางหันกลับมามองหวังเป่าเล่อ แม้จะรู้ดีว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อสูงกว่าตนเองและผู้ฝึกตนคนอื่นมาก แต่ก็เชื่อว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในจะเดินเข้าเดินออกได้ตามอัธยาศัย
จั่วอี้ฟานเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เขาตกใจกับสิ่งที่รอตนเองอยู่ที่อีกฟาก เห็นได้ชัดว่าโลกที่ผ่านชั้นป้องกันไปนั้นต่างกับโลกที่พวกเขายืนอยู่ราวฟ้ากับเหว ใครที่ได้มาเห็นเป็นครั้งแรกย่อมต้องตกใจทั้งสิ้น
หวังเป่าเล่อพอใจที่ได้เห็นความตื่นตะลึงของสหายทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงแค่โบกมืออย่างไม่ยี่หระเท่านั้น
“พอก้าวผ่านหุบเหวนี้ไปจะเป็นดินแดนตรงตัวกระบี่ พวกเราจะเข้าไปภายในดวงอาทิตย์กัน อุณหภูมิจะสูงขึ้นมากเหมือนนรกอเวจีเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีอันตรายซ่อนอยู่ทุกซอกทุกมุม มีทั้งคำสาป รอยฉีกขาดของอวกาศ ทะเลเพลิง และพายุเกรี้ยวกราด ทุกอย่างที่ว่ามานั้นทำให้ทั้งร่างกายและวิญญาณเราแหลกสลายได้… แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป อยู่ติดข้าเอาไว้ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ แม้จะพูดให้สหายสบายใจ แต่เขาเองก็ไม่ได้ลดความระวังตัวลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าการบาดเจ็บนั้นเกิดขึ้นได้ระหว่างภารกิจ แต่เขาจะไม่ยอมให้เจ้าเยี่ยเหมิงหรือจั่วอี้ฟานตายลงต่อหน้าต่อตาเด็ดขาด
ชายหนุ่มคิดอยู่สักพัก ก่อนจะบอกรายละเอียดให้มากขึ้น จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงตั้งใจฟัง และเริ่มมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังและตื่นตัวถึงขีดสุด จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ก้าวผ่านชั้นป้องกันเข้าไปเป็นคนแรก จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเคยร่วมผจญภัยกับชายหนุ่มมาก่อนแล้ว จึงตามเขาไปอย่างรวดเร็วด้วยความคุ้นเคย
ทันทีที่ทั้งสามผ่านชั้นป้องกันมา กระแสลมร้อนระอุก็พุ่งเข้าทักทายพวกเขาในทันที หวังเป่าเล่อกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานยังมีปราณอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ จึงทำให้เคลื่อนตัวไม่เร็วเท่า แต่หวังเป่าเล่อก็ปรับตนเองให้เข้ากับเพื่อน จึงทำให้การเดินทางเข้าตัวกระบี่ของทั้งสามคนเป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาทั้งหลบเลี่ยงทะเลเพลิง พายุร้าย และรอยฉีกขาดของอวกาศไปได้
ตลอดทางไร้ซึ่งภัยอันตรายใดๆ ทั้งสามมุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ประจักษ์ถึงความเปลี่ยนแปลงของทัศนียภาพรอบกาย ทั้งทะเลเพลิงที่อุบัติขึ้นและแผ่นดินที่เคลื่อนย้ายตัวเอง พวกเขาเข้าใกล้จุดหมายขึ้นทุกที
จั่วอี้ฟานไม่เคยตื่นตัวและระมัดระวังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ชายหนุ่มรู้ดีว่าพลังปราณของตนเองยังไม่สูงพอจนรับผิดชอบภารกิจนี้ได้อย่างเต็มที่ แต่เขาก็เชื่อใจหวังเป่าเล่อมาก นอกจากนี้เขายังพร้อมทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้สหายทั้งสองของตนต้องตกอยู่ในอันตราย
เจ้าเยี่ยเหมิงนิ่งเงียบตลอดการเดินทาง แต่เป็นเพราะนางกำลังทวนแผนการมากมายที่ต้องใช้จัดการกับวงแหวนปราณอยู่ในหัว เมื่อเห็นยอดเขาต้องสาปอยู่ไกลๆ ลมหายใจของนางก็หยุดไปชั่วครู่ ประกายวาบขึ้นในแววตา ก่อนจะปลุกพรสวรรค์ด้านการใช้วงแหวนปราณขึ้นมาอย่างเต็มที่
ทั้งสามหยุดพักบ้างเป็นครั้งคราว ทั้งยังเลือกทางที่ต้องอ้อมกว่า จึงทำให้ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินทางมาถึงยอดเขาที่หวังเป่าเล่อเจอตราประจำตัว!
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นยอดเขาที่ลาดเอียงจากระยะไกล เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ อันจะทำให้ยอดเขาย้ายที่ไปยังตำแหน่งอื่น หากเป็นเช่นนั้น แต้มการรบที่เขาใช้ไปทั้งหมดคงจะสูญเปล่าไปต่อหน้าต่อตา
“มาถึงแล้ว เหมิง ต้องหวังพึ่งเจ้าที่จะทำให้พวกเรารวยแล้วนะ ข้าลงทุนไปหลายพันแต้มอยู่” หวังเป่าเล่อหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยความคาดหวังในดวงตา
เจ้าเยี่ยเหมิงทบทวนแผนการในหัว สีหน้าของนางมืดมนลงเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ นางก้าวไปข้างหน้าสองสามเก้า ก่อนยกมือขวาขึ้น จ้องไปที่ยอดเขาไม่กะพริบตาจากนั้นก็เริ่มสร้างผนึกฝ่ามือ
“อี้ฟาน ทำไมเจ้าเยี่ยเหมิงถึงเมินข้าเช่นนี้เล่า เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจขณะกระซิบถามจั่วอี้ฟาน
“เป่าเล่อ เจ้าไม่รู้จริงหรือแสร้งทำกันแน่” จั่วอี้ฟานหมดซึ่งคำพูด เขาตบบ่าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเดินไปหาเจ้าเยี่ยเหมิงเพื่อคุ้มกันนาง
หวังเป่าเล่อยืนกะพริบตาปริบอยู่กับที่ เขามองเจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะตบหน้าผากตนเอง และถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
เป็นเพราะหลี่หว่านเอ๋อร์สินะ แต่… เหมิง ข้ากับเจ้าเป็นพี่น้องกัน ข้าปฏิบัติกับเจ้าเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือดมาตลอด หรือที่ผ่านมานี้เจ้า… หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนตบพุงตนเอง เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เป็นคนผิดในเรื่องนี้ นั่นเพราะเขาเป็นชายที่รูปงามที่สุดในสหพันธรัฐ และยังผอมที่สุดในอาณาจักร แถมยังมีพรสวรรค์ที่สุดในประเทศ
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ แต่ความพอใจในตนเองของเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เจ้าเยี่ยเหมิงขมวดคิ้ว ก่อนพูดอย่างไร้อารมณ์
“เจ้าอ้วน ยังมีหุ่นเชิดเหลืออยู่หรือไม่ ปล่อยออกมาทดสอบคำสาปเสียสิ ข้าอยากเห็นว่ามันทำงานอย่างไร”
หวังเป่าเล่อเลิกฝันกลางวันทันทีเมื่อได้ยิน คำว่า “เจ้าอ้วน” คือคำต้องห้ามสำหรับเขา ชายหนุ่มกำลังจะถลึงตาใส่อีกฝ่าย แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็ชิงเหล่ตามองใส่เขาเสียก่อน ไอเย็นที่นางแผ่ออกมานั้นเหมือนเจ้านครดาวอังคารจนเรียกได้ว่าแทบไม่ผิดเพี้ยน
หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก ก่อนปลอบใจตนเองเงียบๆ ว่าเขาไม่ได้กลัวมารดาของนางแม้แต่น้อย ที่เขายอมง่ายๆ เช่นนี้เพราะเห็นแก่คุณค่ามิตรภาพระหว่างตนและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างหาก ชายหนุ่มยืดพุงตนเองออกอย่างภาคภูมิ ก่อนก้าวมาข้างหน้า หยิบหุ่นเชิดออกจากกระเป๋าและโยนออกไป หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อพุ่งตรงไปที่ยอดเขา ลำแสงสีดำปรากฏขึ้นฉับพลันพุ่งเข้าทำลายหุ่นเชิดของเขาจนกลายเป็นเถ้าธุลี
ภาพนี้ทำให้จั่วอี้ฟานตกใจ ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงก็หรี่ตาลง หลังจากที่คิดอยู่สักพัก นางก็หยิบแผ่นหยกที่เอาไว้ใช้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับวงแหวนปราณออกมา นางเริ่มเขียนอักขระลงไปเพื่อสร้างวงแหวนปราณที่จะออกฤทธิ์หักล้างคำสาปนั้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบสองวัน เจ้าเยี่ยเหมิงแทบไม่ได้หลับตาลงแม้แต่น้อยในสองวันนี้ นางดูเหน็ดเหนื่อยและเปราะบางเป็นอันมาก จั่วอี้ฟานกับหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พักเช่นกัน ทั้งสองยืนคุ้มกันและคอยระวังโดยรอบไว้ โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องทรมานอยู่นานเกินไป ในวันที่สาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน
“คำสาปนี้คือวงแหวนปราณชนิดหนึ่ง แต่วงแหวนปราณคำสาปก็มีหลายประเภทด้วยกัน หากข้าคิดถูก วงแหวนปราณคำสาปนี้มีหลายชั้นและเชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนปราณใหญ่ ไม่ว่าจะเข้าไปทางใดก็จะทำให้คำสาปปล่อยพลังออกมาเต็มรูปแบบเช่นกัน เรามีระยะเวลาปลอดภัยสามสิบลมหายใจ ก่อนที่วงแหวนปราณจะทำงานอีกครั้ง…” เจ้าเยี่ยเหมิงมองหน้าหวังเป่าเล่อขณะพูด
“เยี่ยเหมิง อี้ฟาน พวกเจ้าทั้งสองไปสำรวจตำหนัก ส่วนข้าจะไปดูถ้ำที่พักที่ยอดเขา เราต้องกลับมารวมตัวกันภายในสามสิบลมหายใจ!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและแบ่งงานในทันที
จั่วอี้ฟานพยักหน้า เจ้าเยี่ยเหมิงหายใจเข้าลึก ก่อนโยนแผ่นหยกวงแหวนปราณในมือออกไป แผ่นหยกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งที่พุ่งตรงไปยังยอดเขา ทันทีที่เข้าไปใกล้ ลำแสงสีดำก็ปรากฏขึ้นหมายทำลายแผ่นหยกวงแหวนปราณ
ทันทีที่ลำแสงสีดำเข้าปะทะแผ่นหยก แผ่นหยกก็สั่นสะท้านและระเบิด แต่ก็ไม่ได้แหลกสลายกลายเป็นจุณแต่อย่างใด แผ่นหยกแปรสภาพกลายเป็นชิ้นส่วนเก้าชิ้นที่เรียงตัวกันเป็นแนวยาวลอยวนรอบลำแสงสีดำนั้น เหมือนจะสร้างเป็นผนึกที่จองจำลำแสงสีดำเอาไว้ภายใน ลำแสงมฤตยูสั่นไหวรุนแรง แต่ก็หนีจากเงื้อมมือของกรงขังไม่พ้น
“รีบเร็ว!” เจ้าเยี่ยเหมิงรีบพุ่งไปข้างหน้าตามคำของตนเองทันที แต่หวังเป่าเล่อเร็วกว่า เขาคว้าตัวเจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานเอาไว้ พาสหายทั้งสองข้ามเขตแดนของคำสาป พุ่งเข้าหายอดเขาโดยพลัน!
ทันทีที่พวกเขาเหยียบบริเวณยอดเขา ลำแสงสีดำก็สั่นไหวรุนแรงไม่หยุด มันแตกตัวกลายเป็นลำแสงย่อยๆ สิบสองเส้น แต่ละเส้นต่างเริ่มโจมตีชิ้นส่วนแผ่นหยกที่ผนึกมันเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าจะปลดปล่อยตนเองออกจากกรงได้ในไม่ช้านี้ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนขณะลำแสงและแผ่นหยกเข้าปะทะกัน คำสาปที่เริ่มตอบโต้กลับปลุกพลังของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่ปกคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ออกมา พลังลึกลับกำลังจะเปลี่ยนสภาพภูมิประเทศ ย้ายภูเขาลูกนี้ให้ออกไปจากบริเวณเดิม
“เร็วเข้า!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดอย่างฉับพลันก่อนกระโจนใส่ตำหนักทันที จั่วอี้ฟานเองก็เร็วไม่แพ้กัน เขากระโจนใส่ตำหนักอีกหลังที่เหลืออยู่ หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดเท้าแม้แต่ก้าวเดียวหลังจากเข้าเขตภูเขามา เขาพุ่งตัดอากาศไปยังถ้ำที่พักบนยอดเขาในทันที!
ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเองและกำลังทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างขะมักเขม้น เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟางหยิบทุกอย่างที่มองเห็นโดยไม่สนใจว่าเป็นอะไร หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน สิ่งแรกที่ชายหนุ่มเอามาไว้กับตัวคือตราประจำตัวสีม่วงของศิษย์สืบทอด
ชายหนุ่มปลุกพลังของเมล็ดดูดกลืนในกาย ตราประจำตัวสีม่วงพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วตามแรงดูด รวมถึงศพเจ้าของตราที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้วย ทั้งหมดนั้นพุ่งเข้ากระเป๋าของชายหนุ่มในทันที
หัวใจของหวังเป่าเล่อแทบระเบิดออกจากอก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หยุดมือ เขากระโจนเข้าไปในถ้ำที่พักเบื้องหลังศพนั้น
สภาพของถ้ำที่พักเละเทะยุ่งเหยิง ทุกอย่างเป็นซากปรักหักพัง เศษหินแตกกระจายอยู่บนพื้น หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาสำรวจว่าอะไรเป็นอะไร เขาสะบัดแขนเสื้อไปด้านข้างและรีบคว้าทุกสิ่งที่หาได้เข้ากระเป๋า ชายหนุ่มกำลังจะหนีไป กระทั่งหันไปเห็นแสงเรืองๆ บนผนังถ้ำ ตัวอักษรปรากฏขึ้นบนกำแพงนั้น!
“ถึงผู้ที่เหยียบย่างเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ตามกงล้อแห่งชะตา ข้าในฐานะศิษย์สืบทอดของสำนักวังเต๋าไพศาล พบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หลังจากที่โศกนาฏกรรมเข้าเกาะกุมสำนักของเรา ผู้ฝึกตนในยุคของเราต่อต้านบัญชาการแห่งจักรวาลด้วยอำนาจแห่งปราณที่เราถือครอง เราไม่ควรเกรงกลัวความตาย ทว่า… แม้ดวงวิญญาณของเราจะสูญสิ้น แต่กฎแห่งจักรวาลเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเมิดได้ ข้าขอทิ้งผลงานการค้นคว้าเรื่องขุนพลอักขระเวทโบราณเป็นมรดกให้ผู้ใดก็ตามที่ได้เข้ามาในที่แห่งนี้ ด้วยการนำพาของกงล้อแห่งโชคชะตา…”