หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 531 มาหาพ่อมา
“วิชาที่ข้าได้รับมา… ชื่อเกราะจักรพรรดิ!” หลังจากที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของวิชาที่จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงได้รับมา หวังเป่าเล่อก็บอกเรื่องของตนเองแก่สหายเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกในใจระหว่างตนเองและชายในชุดเกราะแต่อย่างใด…
เพราะในความเป็นจริง แม้เขาจะยังกลัวสิ่งที่อยู่ในโลกในใจ แต่ก็เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีเพียงใด หากไม่มีโชค ตัวเขาเองก็คงไม่ต่างกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เท่าใดนัก
หวังเป่าเล่อยิ้มย่ามอยู่คนเดียวในใจ แต่ก็ไม่กล้าบอกคนอื่นถึงความลับของตน ทั้งสามมองไปรอบๆ กาย และใช้โอกาสจากการที่ร่างไร้ดวงตาเหล่านั้นหายไปหมดพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
แม้จั่วอี้ฟานจะยังคงบาดเจ็บอยู่ แต่การเผชิญหน้ากับอาจารย์คนใหม่ในโลกในใจ ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้มาก เขาไม่ต้องขี่หลังหวังเป่าเล่ออีกต่อไปแล้ว และตอนที่จั่วอี้ฟานเร่งความเร็วขึ้น พลันมีแสงสว่างเย็นเรืองเหมือนเหล็กกล้าปรากฏขึ้นที่แทบเท้า ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วของเขาขึ้นไปอีก เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน ดวงตาของนางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนที่จะสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อเพิ่มความเร็วของพวกเขาให้มากขึ้น
หวังเป่าเล่อประหลาดใจกับพัฒนาการของทั้งสอง จนเริ่มคิดถึงวิชาเกราะจักรพรรดิที่ตนได้รับสืบทอดมา วิชาที่เขาได้มานี้ดูแปลกประหลาด หวังเป่าเล่อลองวิเคราะห์ดูก็คิดได้ว่า วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่เขาจะบรรลุได้ง่ายๆ ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เขายังไม่กระจ่างแจ้ง
หรือเป็นเพราะโลกภายในใจของข้าเล่นงานเจ้านั่นหนักเกินไป เจ้าจักรพรรดิน้อยจึงตั้งใจทำให้ข้าไม่บรรลุวิชาอย่างถ่องแท้ หวังเป่าเล่อเริ่มเคลือบแคลงขึ้นมาในทันที ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เขาพ่นลมเยาะเย้ยออกทางจมูก ก่อนพึมพำในใจคนเดียวว่า ด้วยความสามารถระดับสูงอย่างข้า แค่ถือสันโดษเพื่อฝึกวิชาไม่นานก็คงพิชิตวิชานี้ได้ไม่ยากเย็นอะไร
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ผ่อนคลายมากขึ้น ชายหนุ่มพุ่งไปข้างหน้าต่อท่ามกลางผืนดินสีดำสนิท พร้อมด้วยสองสหายจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งสามไม่แม้แต่จะชะลอความเร็วหรือหยุดพัก ไม่รู้ว่าพวกเขาออกเดินทางกันมานานเท่าใด และเมื่อร่างที่นั่งขัดสมาธิเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง พื้นดินแทบเท้าของพวกเขาก็ไม่ใช่สีดำอีกต่อไป หากแต่เปลี่ยนเป็นสีขาว!
พื้นสีขาวนี้ตรงกันข้ามกับพื้นสีดำสนิทก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน แต่ร่างไร้ดวงตาเหล่านั้นยังดูเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ทันทีที่ร่างเหล่านี้ปรากฏขึ้น พวกเขาก็จ้องทั้งสามด้วยเบ้ากลวงโบ๋ไร้ลูกตา ต่างมองตามพวกเขาที่เคลื่อนผ่านไปไม่วางตา
ทว่าหลังจากที่ผ่านประสบการณ์การถ่ายทอดวิชามาก่อนหน้านี้ ทั้งสามก็คุ้นชินกับร่างเหล่านี้ จึงไม่ตกใจเหมือนที่เคย โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อที่รู้สึกว่าบริเวณที่พวกเขาอยู่นี้ไม่ได้มีอันตรายอีกต่อไป ปัญหาเดียวที่พวกเขาเผชิญตอนนี้คือดินแดนแห่งการสืบทอดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้กว้างใหญ่เกินไป หลายวันหลังจากที่พวกเขาก้าวออกจากพื้นที่สีขาว ฉากสีดำก็เข้าปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง บดบังทุกสิ่งให้มืดมิดดำสนิท ลำแสงสีแดงจากรอยแตกสามรอยบนท้องฟ้าดับลง
หลังจากที่ท้องฟ้าและพื้นดินกลายเป็นสีดำสนิท เสียงพึมพำก็เข้าครองจิตใจของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงอีกครั้ง ร่างของทั้งสองสั่นเทา สติดับวูบลงอีกครา มีเพียงหวังเป่าเล่อที่ยังคงยืนดูทั้งสองอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์ เขาไม่ได้ยินเสียงพึมพำในหู และยังเข้าไปในโลกภายในใจของตนไม่ได้อีกด้วย แม้กระทั่งร่างที่ขัดสมาธิอยู่รอบกายยังทำท่าแหยงไม่กล้าเข้าใกล้ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอับจนเป็นอันมาก
อะไรกันนี่ เมินข้าเช่นนั้นหรือ นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ ! หวังเป่าเล่อไม่พอใจถึงขีดสุด เขานึกถึงโลกภายในใจอันแข็งแกร่งของตนเอง แล้วก็ตัดสินใจว่าในเมื่อไม่มีภาพฉายตนใดเลือกเขา เขาผู้ซึ่งแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ควรจะเป็นผู้เลือกวิชาด้วยตนเอง ชายหนุ่มกะพริบตา ก่อนจะระเบิดความเร็วขึ้นเพื่อพุ่งเข้าจับร่างๆ หนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว
อาจเป็นเพราะฉากสีดำที่เข้าปกคลุมทั่วดินแดนแห่งการสืบทอดก็เป็นได้ ที่ทำให้เขาจับตัวภาพฉายเหล่านี้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำไม่ได้ จิตใจของหวังเป่าเล่อปั่นป่วน ก่อนที่สติจะดับวูบและกลับไปยังโลกภายในใจของเขาอีกครั้ง
ไม่นานนักร่างที่มีสีหน้าบูดบึ้งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา เสียงขุ่นดังก้องไปทั่วโลกภายในใจของชายหนุ่ม
“ข้าไม่ได้เลือกเจ้า เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้วิชาจากข้าไป!”
ทันทีที่ร่างนั้นประกาศ หวังเป่าเล่อก็กระแอมกระไอ ก่อนเปิดโลกในใจทั้งห้าออกพร้อมๆ กันโดยการโบกมือเพียงครั้งเดียว เสียงกรีดร้องแหลมสูงเสียวสันหลังดังขึ้นทันที เสียงที่เต็มไปด้วยความกลัวนั้นก้องสะท้อนไปทั่วโลกภายในใจของหวังเป่าเล่อ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ก่อนที่ฉากสีดำซึ่งบดบังท้องฟ้าไว้จะเปิดออก หวังเป่าเล่อและสหายลืมตาตื่นขึ้นจากนิทราอีกครั้ง ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างได้รับถ่ายทอดวิชาของตนมากขึ้นกว่าคราวก่อนอย่างชัดเจน
จากการสอบถามได้ความว่า ทั้งจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเข้าไปยังโลกภายในใจที่เคยเข้าไปก่อนหน้านี้ และได้พบอาจารย์คนเดิมที่ช่วยสอนวิชาต่อจากเมื่อครั้งก่อน หวังเป่าเล่อโศกเศร้าอยู่คนเดียวในใจที่ตนเองได้รับการปฏิบัติเยี่ยงพลเมืองชั้นสองจากเหล่าภาพฉาย ชายในชุดเกราะเจ้าของวิชาเกราะจักรพรรดิของเขาขี้ขลาดซ้ำยังคิดเล็กคิดน้อยเสียจนไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่โดนเขาข่มจนกลัวเปิดเปิงไป
ช่างหัวมันปะไร ถ้าไม่มาข้าก็เลือกวิชาอื่นเอาก็ได้ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจกับความคิดนี้ เฝ้ารอวันที่จะได้คว้าร่างเหล่านั้นเอาไว้เพื่อบังคับให้ถ่ายทอดวิชาอีกอย่างใจจดใจจ่อ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงประโยชน์ของการอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไป พวกเขาจึงตกลงว่าจะชะลอการเดินทางกลับออกไปก่อน ทั้งสามต้องการบรรลุวิชาที่ตนได้รับมาให้เรียบร้อยสมบูรณ์ เนื่องจากนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับสหายของหวังเป่าเล่อทั้งสอง
ตัวหวังเป่าเล่อเองก็เห็นด้วยกันการตัดสินใจนั้น เขาตบบ่าจั่วอี้ฟานด้วยสายตาตื่นเต้นคาดหวัง
“อี้ฟาน ความคิดของเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก เรามาอยู่ที่นี่กันจนกว่าจะบรรลุขั้นปราณเถิด ฮ่า ข้าว่าที่แห่งนี้เป็นมันเหมือนคลังสมบัติสำหรับพวกเราเลย” ดวงตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความคาดหวัง จั่วอี้ฟานไม่ได้คิดอะไรมากนักกับภาพตรงหน้า แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มตงิดได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่นางก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อในดินแดนแห่งการสืบทอดนี้ผิดแผกแปลกประหลาดเพียงใด…
เหตุการณ์จึงดำเนินไปเช่นนั้นเรื่อยมา ร่างขัดสมาธิปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเมื่อฉากสีดำเข้าบดบังทั่วทั้งบริเวณจนมืดมิด จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็เข้าสู่โลกภายในใจของตนอีกครั้ง ทันทีที่ทั้งสองหมดสติลง ความคิดชั่วร้ายก็เข้าครอบงำจิตใจของหวังเป่าเล่อในทันที เขากระโจนไปในอากาศพร้อมดวงตาที่ทอแสงจ้า
“เจ้าพวกวิชาตัวน้อย บิดาเจ้าอยู่นี่แล้ว!” หวังเป่าเล่อตะโกนด้วยความตื่นเต้น ก่อนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มกำลัง และคว้าร่างหนึ่งที่กำลังขัดสมาธิอยู่ในทันที ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก ก่อนฉุดร่างนั้นลอยหนีไป หลังจากคว้าร่างเอาไว้ได้ทั้งหมดแปดร่าง ในที่สุดเขาก็พอใจ และเริ่มรวมร่างทั้งหมดเข้าด้วยกันทันที
ทันใดนั้น จิตใจของเขาก็ปั่นป่วนด้วยอำนาจแห่งดินแดนนี้ ร่างหลายร่างปรากฏขึ้นในโลกภายในใจ…
ทั้งสามใช้ชีวิตในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงบรรลุวิชาในที่สุดหลังจากที่สลบไปครบทั้งหมดหกครั้งด้วยกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มสงสัยพฤติกรรมของหวังเป่าเล่อมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแววความกระหายในดวงตาของชายหนุ่มนั้นรุนแรงเกินไป ไม่จบเพียงเท่านั้น จั่วอี้ฟานเองก็เริ่มสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะว่า… ระหว่างที่ทั้งสามกำลังรอให้ฉากสีดำกลับมาอีกครั้ง จำนวนของร่างขัดสมาธิที่ปรากฏขึ้นกลับลดน้อยลงทุกครั้ง!
“หวังเป่าเล่อ เจ้ากำลังปิดบังอะไรพวกเราหรือไม่” หลังจากที่ชายหนุ่มได้รับถ่ายทอดวิชามาสองรอบ และเริ่มรู้สึกได้ว่าร่างขัดสมาธิรอบกายจากที่เคยมีมากมายนับไม่ถ้วนกลับหดหายไปกว่าครึ่ง จั่วอี้ฟานจึงเอ่ยฝากถามหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าประหลาด
“จะเป็นไปได้อย่างไร อย่าคิดมากเลยน่าสหาย ทุกอย่างเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว พวกเจ้าทั้งสองตั้งหน้าตั้งตาฝึกวิชากับอาจารย์ไปเถิด ที่นี่นี่ช่างดีเสียจริง” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าพั่บๆ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับหันมาจ้องเขาเขม็ง
“เหมือนเดิมเช่นนั้นหรือ ดูร่างเหล่านี้เสียก่อนสิ พวกเขาไม่ได้ยิ้มให้เราอีกแล้ว แถมยังกลัวเจ้าอย่างเห็นได้ชัด มีบางตนดูเหมือนเพิ่งผ่านประสบการณ์เลวร้ายมา บางตนก็ตัวสั่นงันงก! ต้องมีบางอย่างทำให้พวกเขาไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นแน่ แถมข้าว่ามีหลายตนที่คงหลบหนีเอาชีวิตรอดไปแล้วด้วย หวังเป่าเล่อ บอกมาเดี๋ยวนี้ เกิดอาเพศอันใดขึ้นกันแน่”
“พวกนั้นไม่กล้ามองข้าเช่นนั้นหรือ ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียว” หวังเป่าเล่อแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาลุกขึ้นยืน เพื่อจะเดินไปหาร่างหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้าไปใกล้พอ เพียงแค่เห็นหวังเป่าเล่อยืนขึ้น ร่างที่ห่างออกไปสามร้อยเมตรนั้นก็หายตัวไปในทันที ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ร่างอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ร่างที่เป็นเป้าหมายในตอนแรกก็หายตัวไปเช่นกัน ส่วนร่างที่ยังคงปักหลักอยู่นั้นอยู่ไกลออกไปมาก จนเห็นเป็นเพียงภาพรางๆ เท่านั้น…
“ไม่เห็นจะต้องอ่อนไหวขนาดนี้เลย ฉากสีดำยังไม่ปรากฏด้วยซ้ำ…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ ก่อนหันไปมองสหายทั้งสองด้วยสีหน้าอับอาย
สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทำให้หลายร่างพากันหนีตายจ้าละหวั่นทันทีที่ฉากสีดำเข้าปกคลุม หวังเป่าเล่อจึงต้องพยายามมากขึ้นในการจับตัวภาพฉายเหล่านี้เอาไว้
“เป่าเล่อ ตอนที่ข้าอยู่ในโลกภายในใจของข้านั้น ท่านอาจารย์บอกกับข้าว่า… มีบุคคลไร้ยางอายที่ชอบเรียกตนเองว่าบิดาปรากฏตัวขึ้น ท่านอาจารย์น่าจะหมายถึงเจ้า ไม่ใช่หรือ…” จั่วอี้ฟานลังเล ก่อนเอ่ยปากถามสหายข้างกายตนช้าๆ