หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 535 แท่นคงกระพัน!
“ดวงตาเช่นนั้นหรือ” ม่านตาของจั่วอี้ฟานหดแคบ เขามองไปยังดินแดนแห่งการสืบทอดที่อยู่เบื้องหลัง หวังเป่าเล่อดูเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงคิด จากคำบรรยายของเจ้าเยี่ยเหมิง พื้นที่บริเวณนั้นก็ดูเหมือนดวงตาจริงๆ เสียด้วย!
“กว้างใหญ่… เป็นบ้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำและกำลังจะพูดต่อ แต่เสียงสงบคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานก็ดังขึ้นในใจเสียก่อน
“แม่นางคนนี้ช่างสังเกตดี ความสามารถน้อยกว่าข้าแค่ร้อยละเจ็ดสิบเท่านั้น นางคงจะเป็นผู้มีกายาวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐของพวกเจ้าเป็นแน่”
แม่นางน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ส่วนหวังเป่าเล่อไม่สนใจทัศนคติของนาง เนื่องจากมัวแต่ตกใจอยู่
“แม่นางน้อย เจ้ากลับมาแล้ว ถึงเจ้าเยี่ยเหมิงจะมีกายาวิญญาณอันดับหนึ่งในสหพันธรัฐ แต่แม่นางน้อยคือผู้ที่อยู่เหนือผู้ฝึกตนชั้นสูงทั้งหมด! ข้าไม่ได้ยินเสียงเจ้าเสียนาน ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”
“ช่างกะล่อนเสียจริง!” แม่นางน้อยเย้ย แต่ก็ลดความหมางเมินในน้ำเสียงลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะขัดใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอใจกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ลับๆ
“ดินแดนนั้นเป็นดวงตาตามที่ว่าไว้ นามของมันคือดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น อันเป็นหนึ่งในดินแดนแห่งสัมผัสทั้งห้า ที่ท่านพ่อของข้าทิ้งเอาไว้ในสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อหลายปีก่อน!”
“ในยุคนั้น ผู้ฝึกตนไร้เทียมทานมากมายได้ทิ้งสิ่งก่อสร้างเอาไว้นับไม่ถ้วน แม้จะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นนี้ ก็เป็นเขตการถ่ายทอดวิชาที่ใหญ่ที่สุดหนึ่งในสองแห่งของสำนักวังเต๋าไพศาล! เหตุที่พวกเจ้าทั้งสามได้ประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้ ต้องเป็นเพราะเวทที่ข้าร่ายเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกอย่างแน่นอน” แม่นางน้อยเริ่มจองหองขึ้นเรื่อยๆ ขณะพูด หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ แม้จะสงสัยถ้อยคำของนาง แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองควรโอนอ่อนผ่อนตาม จึงรีบสรรเสริญเยินยอนางต่อทันที
ชายหนุ่มรีบยอแม่นางน้อยว่านางช่างแข็งแกร่ง แสนชาญฉลาด และยังมีเสน่ห์มากล้นกว่าใครในจักรวาล ซ้ำยังงดงามที่สุดในปฐพี… หรือก็คือเยินยอให้นางตัวลอยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม่นางน้อยทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายหยุดพูด…
ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินหน้าสรรเสริญเกียรติของแม่นางน้อยต่อไปในใจ ส่วนจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ได้แต่มองเขาด้วยความงุนงง ชายหนุ่มตั้งใจทำหน้าที่มากเสียจนเมื่อมองจากภายนอกเขาเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์สะกด จั่วอี้ฟานกำลังจะเขย่าตัวปลุกหวังเป่าเล่อให้ตื่นจากภวังค์ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงก็หยุดเขาไว้ได้ทัน
เจ้าเยี่ยเหมิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนหันไปมองจั่วอี้ฟานเพื่อบอกให้ปล่อยอีกฝ่ายไปก่อน
จั่วอี้ฟานเองก็ไม่ใช่คนหัวทึบ หลังจากคิดสักพัก เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าเยี่ยเหมิง เฝ้ารอให้หวังเป่าเล่อคืนสติกลับมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มเยินยอแม่นางน้อยไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม สมองของเขาอ่อนล้าไปหมดจนรู้สึกเหมือนจะสลบจากการพยายามหาคำพูดมาสรรเสริญโดยไม่ซ้ำกัน ในตอนนั้นเองแม่นางน้อยกระแอมกระไอขึ้นมา เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่านางฟังจนพอใจแล้ว
“เอาละ ข้ารู้แล้วว่าเจ้ายกย่องข้าเพียงใด ในอนาคตหากเจ้าอยากบอกข้าอีกว่าเคารพข้ามากมายขนาดไหน เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องพูดความจริงเช่นนั้น เพราะว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาไม่ใช่คำชม แต่เป็นความจริงต่างหากจึงไม่อาจนับรวมได้ เป่าเล่อเอ๋ย ข้อเสียของเจ้าก็คือเจ้าพูดตรงเกินไป!”
หวังเป่าเล่ออึ้งไปสักพักเมื่อได้ยิน หลังจากที่เขาสะกดความประหลาดใจได้เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก และรีบเปิดปากพูดทันที
“แม่นางน้อย แล้วพวกข้าจะออกจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา เขาก็รู้สึกดีใจที่ก่อนหน้านี้ตนเองสื่อสารกับแม่นางน้อยในใจ จึงยังเหลือเสียงให้พูดอยู่ มิเช่นนั้นเขาคงเสียงแหบแห้งพูดจาไม่รู้เรื่องไปแล้ว
“การจะออกจากที่แห่งนี้นั้นง่ายนิดเดียว” แม่นางน้อยพูดอย่างทะนงตน ก่อนบอกทางออกให้ชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อฟังอย่างใจจดใจจ่อ เงยหน้าขึ้นมองตามทางที่แม่นางบอกเป็นพักๆ เพื่อดูให้แน่ใจว่าตนเองเข้าใจถูก จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงรู้นานแล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงเฝ้ารอให้กระบวนการนี้เสร็จสิ้นอยู่ข้างกายสหายโดยไม่ได้พูดสิ่งใด
ในที่สุดดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เป็นประกายออกมาขณะฟังเส้นทางที่แม่นางน้อยบอก เขาหายใจเขาลึกและหันมามองสหายทั้งสอง
“ตามข้ามา ข้ารู้ทางออกแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น โดยไม่แม้แต่จะอธิบายว่าก่อนหน้านี้เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงทำเป็นไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเข้าใจดีว่าทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตนเอง แม้พวกเขาจะสนิทกันมากจนฝากชีวิตตนไว้ในมืออีกคนได้ แต่ความสนิทนั้นเกิดขึ้นได้เพราะพวกเขาเคารพในความลับของกันและกัน
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้พยายามแอบซ่อนการสื่อสารลับของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไว้ใจสหายทั้งสองเพียงใด เมื่อได้ยินดังนั้น จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ตามชายหนุ่มไปในทันที ทั้งสามเคลื่อนที่แหวกอากาศเหนือทะเลเพลิงด้วยความเร็ว โดยมีหวังเป่าเล่อเป็นผู้นำทาง
ทั้งสามเหาะอยู่เจ็ดวันเต็มโดยแทบไม่ได้หยุดพัก ยังดีที่พวกเขาเพิ่งบรรลุปราณไปก่อนหน้านี้ และมีโอสถมากพอที่จะรักษาความเร็วให้ไม่ตก กระนั้นพวกเขาก็ยังไปได้ไม่ไกลนัก
นั่นเพราะมีภัยอันตรายมากมายอยู่รายรอบ บางทีพวกเขาก็เจอเข้ากับพายุหมุนลมร้อนที่ระเบิดขึ้นมาโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือน บางทีก็เจอหุบเขาเคลื่อนที่ หรือแม้กระทั่งอสูรเพลิงที่โผล่มาถึงห้าครั้งด้วยกัน อันตรายเหล่านี้ทำให้พวกเขาต้องตอบโต้กลับ หรือไม่ก็เปลี่ยนเส้นทางแทน แต่ในที่สุดก็รอดมาจนได้
อันตรายที่น่ากลัวที่สุดที่พวกเขาเจอเกิดขึ้นในวันที่ห้า จู่ๆ มือยักษ์ก็ผุดขึ้นกลางทะเลเพลิงราวกับกำลังต่อยอากาศ คว้าเอาภูเขาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าห่างจากทั้งสามไม่กี่ร้อยเมตรเข้าเต็มมือ ก่อนดึงกลับเข้าไปในทะเลเพลิงด้วย
แม้จะห่างไปหลายร้อยเมตร แต่พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากมือก็ทำให้ปราณในตัวพวกเขาถึงกับเสียสมดุล ทุกคนหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ…
ในวันที่หก ขณะที่กำลังเดินหน้าเหาะเหินอยู่ด้วยความระแวดระวังนั้น ทั้งสามก็เห็นบึงที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าที่ทางขวามือของพวกเขา ในบึงนั้นมีสตรีรูปร่างยั่วยวนกำลังอาบน้ำอยู่ พร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสำราญใจ และหันมาส่งสายตาให้พวกเขาทั้งสาม
จั่วอี้ฟานหันไปมองปราดเดียวก็ตกอยู่ใต้มนต์สะกดทันที วิญญาณของเขาแทบถูกดูดออกจากร่าง แต่ยังดีที่แม่นางน้อยบอกหวังเป่าเล่อให้ดึงตัวเพื่อนที่นิ่งงันไปออกมาได้ทันท่วงที โดยที่ยังไม่มีอันตรายเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า เสียงคล้ายกองทัพสงครามกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา เสียงเป่าแตรออกศึกลอยมาแต่ไกล หวังเป่าเล่อมองเห็นรถออกศึกโบราณทางหางตา บนรถนั้นเต็มไปด้วยยักษ์ปักหลั่นมากมายในชุดเกราะสีทอง ทั้งหมดกำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
เจ้าเยี่ยเหมิงหยุดชะงักและรีบกางวงแหวนปราณออกทันที ส่วนหวังเป่าเล่อก็รีบตะโกนบอกเพื่อน
“หลับตา!”
เจ้าเยี่ยเหมิงตัดสินใจฝากชีวิตไว้ในมือเพื่อน และหลับตาลงตามที่หวังเป่าเล่อบอกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อลากเจ้าเยี่ยเหมิงไปข้างหน้าแม้ตนเองจะหลับตาอยู่เช่นกัน ทั้งสองสัมผัสได้ถึงลมพายุที่โหมกระหน่ำใส่ตัว ราวกับมีคนกรีดร้องใส่หน้า แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมอง จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าพายุร้ายที่กำลังโหมเข้าใส่ตัวนั้นสลายหายไปในฉับพลัน
หลายนาทีต่อมา หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาขึ้น แต่ก็ไม่พบสิ่งใดอยู่ตรงหน้า…
กระนั้นทั้งสองก็ยังคงตกใจกับสิ่งที่สัมผัสได้เมื่อครู่ ผ่านไปพักหนึ่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หากเมื่อกี้เราไม่ได้ปิดตาละก็…”
“ไม่มีคำว่า ‘หาก’” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ในฐานะบุตรแห่งความมืด เขาจับสัมผัสไม่ได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากวิญญาณที่โกรธเกรี้ยว จึงสรุปได้ว่าหากมันไม่ใช่วิญญาณขั้นสูงที่ทรงพลังเกินความสามารถเขา ก็คงเป็นพลังงานบางอย่างที่ตัวเขาเองไม่รู้จัก
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนมุ่งหน้าต่อไปกับเจ้าเยี่ยเหมิง ที่ยังคงตกอยู่ในความเงียบงัน เมื่อใกล้ครบเจ็ดวัน จั่วอี้ฟานก็ตื่นขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกกลัวถึงขีดสุดเมื่อภาพสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหมดสติไปปรากฏขึ้นในหัว
หลังจากนั้นสามวัน สหายทั้งสามก็เจอเหตุการณ์ประหลาดอีกมากมาย จนพากันอ่อนล้าไปตามๆ กัน แต่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดที่แม่นางน้อยบอก
มันคือภูเขาสูงเสียดฟ้า ที่แม้กระทั่งทะเลเพลิงก็ไม่อาจกล้ำกราย บนยอดเขานั้นมีกระถางเผาเครื่องหอมที่ใหญ่มากเสียจนหากไปยืนข้างๆ ทั้งสามจะเป็นเพียงเม็ดทราย พวกเขาตกใจมากกับสิ่งที่เห็น ต่างพากันแหงนคอมองจากเบื้องล่าง!
กระถางเผาเครื่องหอมนั้นดูเก่าแก่โบราณมาก บริเวณโดยรอบที่เปิดโล่งก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะเป็นลานสาธารณะของสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีตเมื่อหลายปีมาแล้ว
“ที่นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองแท่นคงกระพันของสำนักวังเต๋าไพศาล เยี่ยเหมิง อี้ฟาน ช่วยข้าส่งพลังปราณเข้าแท่นคงกระพันนี้เพื่อเปิดให้มันทำงานเถิด!” หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก พยายามสะกดความตื่นตกใจของตนเอาไว้ภายใน ก่อนยกมือขวาขึ้นวางบนแท่นคงกระพันที่อยู่เบื้องหน้า!