หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 539 เหลียงหลงไปไหน
รังสีสังหารที่แผ่ออกมาจากชายชุดดำทำให้เหล่าศิษย์ที่คุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอยู่ตื่นกลัว พวกเขาจำได้ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มาจากตำหนักวินัย ขึ้นตรงต่อสามผู้อาวุโส จะมาปรากฏกายเฉพาะตอนที่มีการลงโทษร้ายแรง
หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน ในหัวเริ่มนึกว่าตนไปทำอะไรผิดกฎสำนักเข้า แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ชายหนุ่มหรี่ตาลงขณะคิดหาวิธีจัดการกับปัญหาตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา เตรียมติดต่อหาผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน
ชายชุดดำคนหนึ่งขมวดคิ้วเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกออกมา เขากำลังจะเอ่ยปากว่ากล่าว แต่ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกลุ่มยกมือขึ้นห้ามไว้ ก่อนจะหันไปจ้องชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชาพร้อมพูดขึ้น
“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เจ้าจะตามมาดีๆ หรือจะให้พวกข้าบังคับ”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วสูง กำลังจะกล่าวตอบโต้ก่อนที่จะได้ยินข้อความเสียงซึ่งดังขึ้นในหู
“สหายเต๋าหวัง อย่าได้ขัดขืน นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อแค่อยากจะถามอะไรเจ้าสักเล็กน้อย เจ้ารีบติดต่อผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันให้เร็วที่สุด…เอ่อ ใช่ ข้ากับอวิ๋นเพียวจื่ออยู่ตระกูลเดียวน่ะ”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำกลุ่ม เขาแอบส่งข้อความหาหวังเป่าเล่อแม้จะทำสายตาเย็นชา หวังเป่าเล่อเห็นความใจดีที่ซ่อนอยู่ในแววตาอีกฝ่าย แต่ชั่วครู่ก็หายวับไป แทนที่ด้วยความเย็นชาดังเดิม
ชายหนุ่มไม่ลังเลใจ รีบส่งข้อความเสียงไปหาอวิ๋นเพียวจื่อและเฟิ่งชิวหรัน จากนั้นก็ตามกลุ่มชายชุดดำไปเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
พวกเขาไม่ได้อยู่ห่างจากตำหนักหลักบนยอดเขามากนัก หากทะยานไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดคงจะใช้เวลาไม่นาน แต่ผู้นำกลุ่มวัยกลางคนเลือกที่จะไม่รีบร้อน แม้จะล่าช้าไม่มากแต่เขาก็ทำให้หวังเป่าเล่อมีเวลาเพิ่มประมาณสิบห้านาที
การกระทำของชายวัยกลางคนช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตนเอง เหล่าลูกน้องของชายวัยกลางคนสัมผัสได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ทำได้แค่มองหน้ากันเงียบๆ ทว่าความเย็นชาที่มีต่อหวังเป่าเล่อเริ่มลดลงเล็กน้อย พวกเขาแสร้งไม่รู้ไม่เห็นว่าชายหนุ่มกำลังส่งข้อความติดต่อกับคนอื่นระหว่างทางไปตำหนักหลัก
อวิ๋นเพียวจื่อส่งข้อความเสียงตอบกลับมา หลังจากรู้ว่าชายวัยกลางคนเป็นใคร หวังเป่าเล่อก็ได้รับข้อความเสียงจากเฟิ่งชิวหรัน นางตอบเพียงแค่ว่า
“เชื่อฟังตามนั้น ข้าจะตามไปในไม่ช้า!”
หวังเป่าเล่อยังรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ได้ทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว เขายังคงครุ่นคิดว่าตนได้ทำอะไรผิดมาขณะตามหลังกลุ่มชายชุดดำไปยังตำหนักหลัก ไม่นานพวกเขามาถึงที่หมาย กลุ่มชายชุดดำไม่ได้ตามเข้าไปด้วย ชายวัยกลางคนหันมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหยุดเดินเช่นกัน
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกพร้อมกับหรี่ตาลง เขาไม่ได้เดินเข้าไปในทันที แต่ยกมือขึ้นทำความเคารพและก้มหัวลง
“หวังเป่าเล่อขอเข้าพบท่านผู้อาวุโส!”
ประตูเปิดออกทันทีที่พูดจบ แรงสูบพวยพุ่งออกมาจากภายใน ทะลุผ่านพลังปราณและการป้องกันที่ชายหนุ่มมี จากนั้นก็ดึงหวังเป่าเล่อเข้าไปด้านในตำหนักราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นมาคว้าตัวเขาไว้
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงอื้ออึงดังอยู่ในหัว เจ็บระบบไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือนกระดูกและเนื้อหนังถูกบดขยี้ ชายหนุ่มตัวสั่นเทาราวกับว่าถูกฉุดเข้าไปในพายุ ขณะที่กำลังตื่นตกใจ เขาก็ได้ยินเสียงเฟิ่งชิวหรันดังก้องมาจากไกลๆ ทันใดนั้นพลังแกร่งกล้าก็พุ่งเข้ามาต้านมือล่องหนที่กำลังจับชายหนุ่มไว้
หวังเป่าเล่อสั่นกลัวเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องต่อเนื่องกัน มือล่องหนไม่ได้หายไป มันลากชายหนุ่มต่อจนถึงด้านในของตำหนัก เขาเซถอยและทรุดเข่ากระแทกพื้น เลือดไหลเวียนปั่นป่วนไปทั่วร่าง ชายหนุ่มกระอักเลือดสดออกมา ใบหน้าซีดเผือดลง เขาเงยหน้าขึ้นเห็นเมี่ยเลี่ยจื่อนั่งหน้านิ่งอยู่บนที่นั่งหน้าตำหนัก!
เฟิ่งชิวหรันเดินผ่านประตูเข้ามาทางด้านหลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เมี่ยเลี่ยจื่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เมี่ยเลี่ยจื่อไม่ได้หันมองหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งชิวหรันก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว
“เฟิ่งชิวหรัน เจ้าควรจะถามตัวแทนกลุ่มพันธมิตรอันเป็นที่รักของเจ้ามากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้านี่กระทำเกินกว่าเหตุไปมาก”
เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้วพร้อมกับหันมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสงสัย ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะจัดการกับเลือดลมที่ปั่นป่วนในร่างกายได้ รอบกายของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันมีพลังกดดันที่รุนแรงเกินกว่าหวังเป่าเล่อจะทำอะไรได้ ชายหนุ่มขุ่นเคืองใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยกมือขึ้นทำความเคารพเฟิ่งชิวหรันด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ท่านผู้อาวุโสเฟิ่ง ข้า…ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อหัวเราะขึ้น เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“หวังเป่าเล่อ ข้าขอถามอะไรหน่อย เหลียงหลง ศิษย์ของข้าหายไปไหนกัน”
“เหลียงหลงหรือ” หวังเป่าเล่อนิ่งไป เขาคิดเรื่องต่างๆ มากมายตลอดการเดินทางกลับ แต่ไม่ได้คิดถึงเหลียงหลงเลยแม้แต่น้อย แทบจะลืมอีกฝ่ายไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
พอเมี่ยเลี่ยจื่อเอ่ยเตือนความจำขึ้น หวังเป่าเล่อก็นึกขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่าโดนเหลียงหลงดักซุ่มโจมตีตอนที่เดินทางไปตัวกระบี่ครั้งแรกเลยจับมัดทิ้งไว้บนเกาะร้าง เชือกที่ใช้รัดสามารถผนึกพลังปราณได้ พื้นที่ในเขตด้ามกระบี่นั้นกว้างใหญ่มาก การออกตามหาเหลียงหลงก็ไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร
แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือ…หลังจากเข้าไปในตัวกระบี่ เขาก็พบเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่ก็ได้ของตอบแทนกลับมาดีมากจึงลืมไปว่าเคยปะทะกับเหลียงหลง พวกเขาเจอกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อครึ่งปีก่อน
ใจหนึ่งก็อยากจะบอกปฏิเสธไปว่าไม่รู้อะไรเลย แต่การที่อาจารย์ของเหลียงหลงถึงกับเรียกตนมาถามโดยตรงแปลว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย คนที่หายไปคือผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง หนึ่งในศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อ หวังเป่าเล่อพยายามทำหน้างุนงงราวกับว่ากำลังนึกเรื่องในอดีตอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“เหลียงหลงหรือ…จำได้แล้ว ข้าได้ประมือกับเขาครั้งหนึ่งตอนที่เพิ่งไปถึงเกาะเพลิงเขียว ข้าไม่อยากทำอะไรขัดต่อกฎของสำนัก แต่ก็คว่ำเขาลงไม่ได้จึงขังเขาเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ถึงกระนั้นเขาก็ยังท้าข้าสู้ไม่หยุดหย่อน แอบซุ่มโจมตีตอนที่ข้าไปปฏิบัติภารกิจ ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องสู้กับเขา เขาทำข้าบาดเจ็บหนัก เกือบจะตายเอา ข้าจึงต้องใช้วัตถุเวทที่มีขังเขาเอาไว้โดยไม่ให้บาดเจ็บอะไร จึงสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้…” สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูแค้นเคืองเหมือนกับว่าไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“เพราะเหตุนั้น เจ้าเลยปลิดชีพศิษย์ของข้าอย่างเลือดเย็นหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อเอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยสีหน้าไม่ต่างจากเดิม
“ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก! ตอนนั้นข้ายังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ส่วนเหลียงหลงอยู่ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง ข้าต้องจากบ้าน จากครอบครัว จากเพื่อนฝูงในสหพันธรัฐและเดินทางมายังดินแดนที่ไม่รู้จัก แต่เหลียงหลงนั้นเป็นคนของสำนักแห่งนี้ มีเส้นสายมากมาย ตัวข้าไม่มีอาจารย์คอยดูแลที่นี่ แต่เหลียงหลงมีท่านผู้อาวุโสผู้สูงส่งเช่นท่านเป็นอาจารย์!
“ด้วยสถานะที่ต่างกันและระดับการฝึกตนที่ห่างชั้น ข้าจะกล้าลงมือฆ่าเขาหรือ ข้าไม่รู้ว่าเหลียงหลงแกล้งตายหรือเปล่าถึงได้หายตัวไป ข้าไม่อยากคาดเดาเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ รู้เพียงแค่ว่าตอนนั้นข้าเกือบตาย ร่างกายและวิญญาณเกือบจะแตกสลายไป” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อฟังดูเจ็บแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเขาสั่นเทา สุดท้ายชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกุมก่อนจะโค้งคำนับเฟิ่งชิวหรัน
“ข้าใคร่ขอให้ท่านผู้อาวุโสเฟิ่งปลดข้าออกจากตำแหน่งเจ้าเกาะ ข้า…ไม่กล้าจะดำรงตำแหน่งนี้อีกต่อไป ข้าพยายามที่สุดแล้วที่จะไม่สร้างความขัดแย้งกับผู้ใด ตอนที่สำนักต้องการธุรกิจของข้า ข้าก็ส่งต่อให้โดยไม่ปริปากพูดอะไร ไม่แม้แต่จะบ่นสักคำที่ได้ค่าชดเชยอันแสนจะไม่ยุติธรรม!
“พวกท่านอยากให้ข้าทำอะไรอีก ข้าควรจะทำเช่นไร ข้าขอความเมตตาจากท่านผู้อาวุโสเฟิ่งโปรดอนุญาตให้ข้าเดินทางกลับสหพันธรัฐ ที่แห่งนี้…อาจจะไม่เหมาะกับข้า” หวังเป่าเล่อจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะอันขมขื่น เขาก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรต่ออีก ก่อนจะแอบขยายสัมผัสของตนเพื่อควบคุมเชือกจากระยะไกล แต่ระยะทางนั้นห่างกันเกินไปทำให้ไม่สามารถจับสัมผัสได้ชัดเจน
สมองของชายหนุ่มแล่นไม่หยุด ทุกสิ่งที่พูดไปก่อนหน้าสื่อว่าตนเองเป็นเพียงเหยื่อแผนชั่วของเหลียงหลง เขาคิดอย่างหนักว่าจะทำให้สิ่งที่พูดไปฟังดูเหมือนเรื่องจริงได้อย่างไร
ชายหนุ่มพยายามคิดอย่างหนักขณะที่สีหน้ายังคงความสิ้นหวังไว้ เฟิ่งชิวหรันนิ่งเงียบไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ตอนแรกหญิงสาวก็นึกสงสัย แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำของชายหนุ่มนางก็อดทอดถอนใจอยู่ภายในไม่ได้
เมี่ยเลี่ยจื่อขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่เชื่อใจเหลียงหลงเท่าไหร่ ทั้งที่ถือไพ่เหนือกว่าแต่กลับต้องแพ้ให้อีกฝ่าย เมี่ยเลี่ยจื่อรู้ดีว่าศิษย์ของตนยังไม่ตาย แต่หายไปและหาไม่พบ
หรือว่าเหลียงหลงจะตั้งใจให้เรื่องเป็นเช่นนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อคิดขณะหรี่ตาลง