หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 540 โบ้ยกันไปมา!
หวังเป่าเล่อเป็นนักแสดงที่ใช้ได้เลยทีเดียว แต่เขาเองอายุยังน้อยและด้อยประสบการณ์ ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อนึกลังเลใจ ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็จับสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลขณะพินิจพิจารณาหวังเป่าเล่อ
ไม่จำเป็นต้องเค้นหาความจริงจากชายหนุ่ม เมี่ยเลี่ยจื่อแค่ยกเรื่องนี้มาใช้สู้กับเฟิ่งชิวหรันเท่านั้น แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะกว้างใหญ่มาก แต่ด้วยระดับการฝึกตนของเขา มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรในการตามหาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในสักคน ขอแค่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่และออกแรงตามหาอีกนิดเท่านั้น
เมี่ยเลี่ยจื่อเลือกไม่สนใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “นำทางไป!”
ศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เฟิ่งชิวหรันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหันไปจ้องหวังเป่าเล่อ นางเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มพูด พันธุ์กล้าสหพันธรัฐนั้นได้รับการดูแลไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งเกิดจากความเคลือบแคลงใจที่ก่อตัวขึ้นในฝ่ายของตนเอง นางแอบถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น
“หวังเป่าเล่อ นำพวกข้าไปที่ที่เจ้ากับเหลียงหลงปะทะกัน ถ้าเจ้าเป็นเหยื่อแผนร้ายของเหลียงหลงจริง ข้าจะให้ความยุติธรรมกับเจ้า!”
หวังเป่าเล่อพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับแอบส่ายหัวอยู่ในใจ เขาตระหนักได้ว่าที่ฝ่ายเฟิ่งชิวหรันเสียเปรียบเช่นนี้เป็นเพราะลักษณะนิสัยของนางเอง
จากข้อมูลที่หวังเป่าเล่อเรียนรู้มาตั้งแต่มาอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล เขาคิดว่าแม้เฟิ่งชิวหรันจะมีระดับการฝึกตนสูง แต่นางก็ยอมคนเกินไป อีกทั้งยังไม่ค่อยมีวิธีจัดการและควบคุมคน ส่วนเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นหนักแน่นเด็ดเดี่ยว พอเวลาผ่านไป เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มควบคุมผู้ฝึกตนในฝ่ายของตนเองไม่ได้
ถ้าต้วนมู่น้อยอยู่ที่นี่ละก็…ไม่สิ ไม่ต้องถึงมือเขาก็ได้ แค่ขุนนางระดับสองสักคนในสหพันธรัฐที่มีระดับการฝึกตนสูงพอ ก็ไม่น่าจะต้องใช้เวลาและวิธีการอะไรมากมายในการทำให้คนอื่นๆ อยู่ภายใต้การควบคุม หวังเป่าเล่อถอนหายใจอยู่ภายในขณะแสร้งทำหน้าอมทุกข์ เขาโค้งคำนับเฟิ่งชิวหรัน จากนั้นก็เดินออกจากโถงใหญ่และทะยานไปยังเกาะที่ได้สู้กับเหลียงหลง
ความเร็วของหวังเป่าเล่อไม่ได้ช้าเลย แต่ก็ไม่อาจเทียบสองผู้อาวุโสได้ พอเขาทะยานขึ้นฟ้า เฟิ่งชิวหรันก็ยกมือขึ้นโบก แสงนุ่มนวลปรากฏขึ้นรอบกายชายหนุ่ม ก่อนเสียงของนางจะดังขึ้นในหู
“บอกทางข้า แค่ชี้บอกก็พอ!”
ชายหนุ่มกะพริบตาแสร้งทำเป็นคิด จากนั้นก็ชี้บอกทาง ทันทีที่พูดบอกทางเสร็จ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะหายวับไป เฟิ่งชิวหรันสะบัดชายชุดคลุมและนำทางหวังเป่าเล่อหายวับไปภายในก้าวเดียวเช่นกัน
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงกัมปนาทดังขึ้นในหู วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพร่ามัวราวกับว่ากำลังดำอยู่ในน้ำ พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าตนได้ออกจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาปรากฏ…ณ จุดที่เขาบอกเมื่อสักครู่แล้ว
ยังเหลือระยะห่างจากเกาะที่เหลียงหลงอยู่พอสมควร แต่เขาก็เชื่อว่าพอบอกทางไปอีกครั้งก็คงจะไปถึงได้ในทันที
นี่หรือขั้นเชื่อมวิญญาณ… หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เมี่ยเลี่ยจื่อแค่นเสียงทางจมูกด้วยความหงุดหงิด
“เร็วๆ!”
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก พยายามแสร้งทำเป็นนึกคิดด้วยใบหน้าอันซีดเผือด ถึงกับปล่อยพลังปราณออกมาช่วยหาตำแหน่งให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันนั้น เขาก็แอบเชื่อมจิตกับเชือก โชคดีที่ตรงนี้สามารถจับสัมผัสเชือกได้ ก่อนจะรีบสั่งการมันในทันที ชายหนุ่มพยายามถ่วงเวลาไว้ แต่ก็รู้ว่าคงทำไม่ได้นาน จึงรีบชี้บอกทางไป
เฟิ่งชิวหรันยกมือขึ้นโบก ทั้งสามหายตัวมาโผล่ ณ จุดที่หวังเป่าเล่อบอก ชายหนุ่มรีบเอ่ยขึ้นก่อนที่เมี่ยเลี่ยจื่อจะทันได้พูดอะไรได้ “โปรดอย่าเร่งร้อนไป ท่านผู้อาวุโส เรื่องมันผ่านมานานแล้ว โปรดให้เวลาข้าสักหน่อย”
“ไม่ต้อง!” เมี่ยเลี่ยจื่อปรายตามองหวังเป่าเล่อ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เขาก้าวเท้าไปด้านหน้าก่อนจะหายวับไป เฟิ่งชิวหรันเองก็เหมือนจะสัมผัสบางสิ่งได้จึงหันมามองชายหนุ่ม
“เราจับสัมผัสของเหลียงหลงได้แล้ว” พูดจบ นางก็คว้าหวังเป่าเล่อและรีบตามไปในทันทีโดยไม่รอดูปฏิกิริยาของชายหนุ่ม ทั้งคู่หายตัวไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งที่เกาะร้างแห่งหนึ่ง
มันเป็นเกาะที่หวังเป่าเล่อและเหลียงหลงสู้กันก่อนหน้านี้ เมี่ยเลี่ยจื่อที่มาถึงก่อนหน้าเล็กน้อยกำลังลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตาจ้องเขม็งไปยังใครคนหนึ่งที่กำลังนอนราบอยู่บนเกาะ!
ใครคนนั้นนอนไร้สติ หายใจอ่อนแรง ร่างกายซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก คนผู้นั้นคือเหลียงหลงนั่นเอง!
เมื่อทั้งสามมาถึงบนเกาะ หวังเป่าเล่อก็รีบมองไปทางเหลียงหลงและพบว่าเชือกบนตัวหายไปแล้ว เขาแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่เชือกฉลาดพอจะหนีไปได้ทันเวลา มิเช่นนั้นชายหนุ่มคงต้องแก้ตัวเป็นการใหญ่ ชายหนุ่มยังนึกได้อีกว่า เมื่อเชือกหายไป เหลียงหลงก็หลุดจากการถูกผนึกทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อสามารถจับสัมผัสเขาได้
พลังผนึกของเชือกแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเลยหรือ หวังเป่าเล่อใจเต้นระส่ำเมื่อคิดได้ดังนั้น เขาสงสัยว่าเมี่ยเลี่ยจื่ออาจจะไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ในการตามหาเหลียงหลง
แม้จะไม่มั่นใจในรายละเอียดนัก แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจความสามารถแสนประหลาดของเชือกมากขึ้น ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยกมือขวาขึ้นชี้เหลียงหลงที่นอนหมดสติอยู่
ร่างของเหลียงหลงสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ดูสับสนไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัวสั่นเทิ้มและเรียกสติคืนได้เมื่อได้ยินเมี่ยเลี่ยจื่อแค่นเสียงทางจมูก เขาจ้องไปทางอาจารย์ที่ลอยอยู่บนฟ้า รีบลุกขึ้นนั่งและโค้งคำนับด้วยร่างอันสั่นเทา น้ำตาไหลอาบแก้มขณะร้องสะอื้นเสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้
“ท่านอาจารย์ ในที่สุดท่านก็มาช่วยข้า!” เหลียงหลงร้องไห้คร่ำครวญ เป็นเสียงร้องที่บ่งบอกว่าเพิ่งจะประสบเหตุเสี่ยงตายมา ฟังแล้วดูน่าเวทนา แม้แต่หวังเป่าเล่อยังรู้สึกสงสารเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่าย
เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้วขณะมองดูเหลียงหลงร้องสะอึกสะอื้น เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ดูไม่ค่อยพอใจเช่นกัน เขาพูดขึ้นเสียงเบา “บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านอาจารย์ เป็นเพราะเจ้าหวังเป่าเล่อคนบาป! มันเป็นคนทำ! ข้ากำลังเดินทางผ่านเกาะแห่งนี้เพื่อไปปฏิบัติภารกิจ แต่กลับถูกซุ่มโจมตีและได้รับบาดเจ็บหนัก มันใช้กลวิธีต่างๆ มาทำให้ข้าต้องอับอาย จากนั้นก็จับข้ามัดไว้แล้วปล่อยให้ข้าตายลงบนเกาะนี้ เจ้านั่นใช้เชือกต้องสาปมีอิทธิฤทธิ์ผนึกพลังปราณและจิตสัมผัสของข้า ข้าต้องพบเจอชะตากรรมที่แย่ยิ่งกว่าความตาย! โปรดให้ความยุติธรรมแก่ข้า! โปรดให้ความยุติธรรมเพื่อสำนักวังเต๋าไพศาล!” เหลียงหลงกัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำ ชายหนุ่มเห็นหวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างเฟิ่งชิวหรัน แม้ตอนนี้สมองของเขาอาจไม่ได้ปลอดโปร่งเหมือนเวลาปกติ แต่ก็รู้จักนิสัยของอาจารย์ตนเองดี ที่อาจารย์ตนต้องการก็แค่เหตุผลให้ลงมือ
ชายหนุ่มไม่คิดอะไรมาก รีบโกหกออกไปในทันใด
หวังเป่าเล่อคิดมาตลอดทางว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งที่พูดไปดูน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เขาคิดออกหลายวิธีแต่ก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ทว่าพอเหลียงหลงเริ่มโบ้ย ชายหนุ่มก็แสนสุขใจเมื่อเห็นโอกาสอยู่ตรงหน้า เขารีบตีหน้าเศร้าพร้อมกุมมือโค้งให้เฟิ่งชิวหรันทันที
“ท่านผู้อาวุโสเฟิ่ง ข้าบอกท่านแล้วก่อนหน้านี้ว่าข้าหลบหนีออกมาได้เพราะใช้วัตถุเวทช่วย ที่ศิษย์พี่เหลียงหลงพูดมาเป็นเรื่องโกหก ถ้าข้าถือไพ่เหนือกว่าจริงๆ ถ้าข้าสามารถข่มขู่และผนึกพลังเขาไว้ได้จริง เหตุใดข้าถึงไม่ฆ่าเขาทิ้งให้จบๆ ไปเสีย เหตุใดข้าถึงไม่ชิงกระเป๋าคลังเวทของเขามา ดูจากตำแหน่งของศิษย์พี่เหลียงหลงแล้ว ของในกระเป๋าน่าจะมีค่าไม่น้อย!” เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ เหลียงหลงก็หน้าตื่นทันใด ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้สติกลับมาครบสมบูรณ์ เขานึกออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พยายามขโมยกระเป๋าคลังเวทของตนแม้แต่น้อย
เขามองข้ามเรื่องนี้ไปเพราะเมื่อครู่ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่ ชายหนุ่มหายใจถี่รัว รีบแย้งขึ้นอย่างร้อนรน
“หวังเป่าเล่อ เจ้ามันคนชอบโกหก! ที่เจ้าไม่ฆ่าและขโมยกระเป๋าไปก็เป็นเพราะว่าเจ้าไม่กล้าพอ! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอาจารย์ข้าสามารถย้อนเวลาได้ ท่านสามารถตรวจสอบได้ว่าใครกันแน่ที่ทำให้ข้าตาย!”
หวังเป่าเล่อแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาถึงกับแอบยกนิ้วให้เหลียงหลงอยู่ในใจ ด้วยความช่วยเหลืออย่างไม่ตั้งใจของเหลียงหลง ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถจัดการปัญหายุ่งยากมากมายให้กลายเป็นปัญหาเดียวได้
ทุกอย่างมาบรรจบที่คำถามเดียว นั่นก็คือ ใครกันแน่ที่เป็นคนซุ่มโจมตี
คำตอบของคำถามข้อนี้จะช่วยสร้างเหตุผลให้ตนเองได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็กัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นเสียงดังด้วยน้ำเสียงระคนความเจ็บแค้น “ถ้าเช่นนั้น ท่านเมี่ยเลี่ยจื่อ ช่วยใช้คาถาย้อนเวลา โปรดดูให้เห็นด้วยตาของท่าน…ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนซุ่มโจมตี!”