หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 546 เจ้านี่โชคดีไม่ใช่เล่น!
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นและประตูหินเปิดออก ดินด้านบนก็สั่นไหวก่อนจะแยกออกเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ ทะเลเพลิงไหลบ่าลงมาจากเบื้องบนราวกับเป็นน้ำตกเปลวเพลิง!
ถ้ำใต้ดินนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร อาจต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าทะเลเพลิงจะไหลเข้ามาท่วมจนเต็ม แต่หากสนามรบโบราณยังคงถล่มอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ไม่นานทั้งถ้ำก็อาจจะเต็มไปด้วยลาวา
แน่นอนว่า…หวังเป่าเล่อคงจะไม่เดือดร้อนหากมีเพียงลาวาที่ทะลักเข้ามา สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมในทันที เมื่อเห็นเรือวิญญาณเก้าลำมุ่งหน้าตามกระแสทะเลเพลิงผ่านรอยแยกเข้ามา เรือวิญญาณเหล่านั้นส่องแสงแรงกล้า ก่อนที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเก้าคนจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะปรากฏตัวขึ้น
พวกเขามีสีหน้าตื่นตะลึงเมื่อมองเห็นสถานการณ์ภายในถ้ำ ทั้งรูปปั้นหิวหัวขาด ทั้งกงเต๋าผู้กำลังจะบรรลุขั้นการฝึกปราณ ทั้งหวังเป่าเล่อและร่างอวตารที่คอยคุ้มกัน ทั้งยังมี…
ประตูที่เปิดกว้างเข้าสู่ถ้ำที่พักและพื้นที่ว่างเปล่าภายใน เป็นสัญญาณว่าสถานที่แห่งนั้นถูกรื้อค้นไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนทั้งเก้ายังสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันเข้มข้นในบริเวณนั้น ภาพกงเต๋าซึ่งกำลังนั่งสมาธิทำให้พวกเขานึกถึงความเป็นจริงอันน่าตื่นตะลึงบางอย่างได้ ความร้อนรนฉายออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นการเปิดถ้ำที่พักครั้งแรก!”
“เมื่อใดที่ถ้ำที่พักซึ่งถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกเป็นเวลานานถูกเปิด ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลจะหลั่งไหลออกมา!”
“ฮะฮ่า! พวกเราพบโชคก้อนใหญ่เสียแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะบังเอิญมาพบขุมทรัพย์ขนาดมหึมาเสียได้!” ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนต่างพากันตื่นเต้นดีใจ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจหวังเป่าเล่อหรือกงเต๋าแม้แต่น้อย แน่นอนคนเหล่านี้รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร แต่ก็ยังคงเมินเขาอยู่ดี ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางคนหนึ่งพุ่งตัวผ่านหวังเป่าเล่อและกงเต๋ามุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พักอย่างตื่นเต้น เพื่อหวังจะได้เห็นว่าสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ด้านใน
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมในบัดดล เมล็ดดูดกลืนภายในกายยังคงหมุนวนอยู่ ชายหนุ่มยังยืนนิ่งไม่ไหวติง แต่ทันทีที่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางเดินเข้ามาใกล้ ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็สืบเท้าออกไปยืนขวางหน้าเอาไว้ ก่อนจะส่งลูกเตะออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลูกเตะนั้นทั้งรวดเร็วและรุนแรง มันสร้างเสียงของสายลมและสายฟ้าดังสนั่น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางยิ้มเยาะ
“ร่างอวตารอัสนีจากกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงอย่างนั้นหรือ” เขากล่าวก่อนจะยกมือขึ้น พยายามจะปัดร่างอวตารของหวังเป่าเล่อออกไปให้พ้นทาง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะดูถูกพลังของร่างอวตารเกินไป เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นทันทีที่ร่างของทั้งคู่สัมผัสกัน ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อพุ่งตัวตรงมาข้างหน้าอย่างไม่อนาทรร้อนใจกับคาถาของอีกฝ่าย ก่อนจะเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว สายฟ้าพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างอวตาร ก่อนจะก่อตัวเป็นแรงกดดันมหาศาล สีหน้าของผู้ตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางเปลี่ยนไปทันที เขาพยายามจะถอยหนีแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว สายฟ้าส่งเสียงคำรามดังสนั่น ก่อนที่โลหิตสดๆ จะกระเซ็นออกมาจากริมฝีปากของชายผู้นั้น ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างพยายามก้าวเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาหันไปมองหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว สายตาแสดงความวิตกกังวลและระแวดระวัง
แสงสว่างจากร่างอวตารของหวังเป่าเล่อจางลงเล็กน้อย มันไม่ได้ตามผู้ฝึกตนคนนั้นไป แต่กลับเดินถอยมายืนข้างกายหวังเป่าเล่อ ทั้งคู่ส่งสายตาเยียบเย็นไปทางกลุ่มผู้บุกรุก
บรรดาผู้ฝึกตนที่มาใหม่พากันหรี่ตาก่อนจะจ้องตอบหวังเป่าเล่อ พวกเขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของหวังเป่าเล่อและรู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นใคร แต่กลับไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็มีจำนวนมากกว่า แถมยังมีผู้นำกลุ่มเป็นศิษย์พี่ผู้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายด้วย ในขณะเดียวกัน…พวกเขาก็ขึ้นตรงกับฝ่ายต่อต้านหัวรุนแรงที่เกลียดผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐยิ่งกว่าใคร พวกเขาล้วนคิดเหมือนเหลียงหลง ผู้ซึ่งปรามาสบรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐว่าเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม…หลังการโจมตีอย่างฉับพลันของร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ก็ดูเหมือนว่าแม้จุดยืนของพวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่การที่ร่างอวตารสามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางล่าถอยได้ ก็ทำให้พวกเขาเห็นถึงพลังที่แกร่งกล้าของหวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี
“น่าสนใจดี เจ้าคือหวังเป่าเล่อใช่หรือไม่ ส่งของที่เจ้าขโมยไปมาให้เราเสีย พวกเราจะรับไปร้อยละเก้าสิบและจะปล่อยพวกเจ้าไปแต่โดยดี” ผู้พูดคือชายวัยกลางคนในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่ม สีหน้าของเขาเยือกเย็น เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้มีบารมีอยู่พอสมควร น้ำเสียงไม่ได้เปิดช่องให้เจรจา ราวกับว่าสัดส่วนร้อยละสิบที่เหลือไว้ให้หวังเป่าเล่อนั้นเป็นความใจดีเสียเต็มประดา
ดูเหมือนว่าไม่ว่าอย่างไรในโลกแห่งการฝึกตนนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมมีอำนาจสูงสุด พลังเป็นตัวตัดสินทุกสิ่ง เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คิดว่าตนแข็งแกร่งที่สุด ณ สถานที่นี้!
และผู้อ่อนแอย่อมไม่มีสิทธิ์พูด!
หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็คงต้องลำบากเก็บกวาดเรื่องราวหลังจากนี้ ทว่าเพื่อจะได้ครอบครองถ้ำที่พักซึ่งเปิดเป็นครั้งแรก การสังหารสิ่งชีวิตชั้นต่ำก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยนัก เป็นเหตุให้เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าให้เวลาเจ้าตัดสินใจสิบวินาที เลือกเสียว่าอยากจะอยู่หรือตาย!”
หวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้นก็หรี่ตาลง ก่อนจะชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง คู่ต่อสู้มีจำนวนมากกว่า แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าตนสามารถสังหารพวกนั้นได้เกือบทั้งหมด หรืออาจจะทุกคนเลยก็เป็นได้ แต่เขาก็ต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา และยังต้องคิดถึงผลกระทบที่อาจมีต่อการบรรลุขั้นของกงเต๋าหากเขาเลือกที่จะต่อสู้
แต่ชายหนุ่มก็ยังมองไม่เห็นทางที่จะจบเรื่องนี้ฉันท์มิตร หวังเป่าเล่อคิดถึงขั้นจะโกหกว่าเขามาที่นี่ตามคำสั่งของเฟิ่งชิวหรัน และกระทั่งจะติดสินบนอีกฝ่ายด้วยแต้มการรบจำนวนหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ก็ค่อยๆ ปัดทางเลือกเหล่านี้ตกไปทีละข้อ
รัศมีความกระหายเลือดแผ่ออกมาจากกายพวกเขา ไหนจะความรุนแรงในแววตา ทุกสิ่งบอกหวังเป่าเล่อว่าปัญหานั้นอยู่ที่ใคร หลบเลี่ยงไปก็ไร้ประโยชน์ คนเหล่านี้ไม่มีใครโง่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถ่วงเวลาให้กับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หากต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วละก็…จิตสังหารก่อตัวขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่แสดงความตั้งใจใดๆ ออกมาทางสีหน้า เขาเพียงแค่ยิ้ม และขณะที่กำลังจะส่งร่างอวตารไปคุ้มกันกงเต๋าพลางเปิดฉากการโจมตี พลันตัวตนที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าปราณขั้นกำเนิดแก่นในก็ปรากฏขึ้นจากรอยแยกเหนือศีรษะ!
พลังของตัวตนนั้นแผ่เข้ามาเต็มบริเวณถ้ำใต้ดิน ก่อนที่น้ำเสียงติดรำคาญจะดังสะท้อนก้องไปทั่ว
“พอได้แล้ว หวังเป่าเล่อค้นพบถ้ำนี้ก่อน ตามกฎที่สำนักบอกไว้ ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของถ้ำแล้ว หลี่ปิน เจ้าออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้!” ขณะที่เสียงนั้นดังกังวานไปไกล ใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาจากรอยแยกนั้น ร่างนั้นเป็นชายชราผมสีแดงเพลิง หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ชื่อหลิน!
ความวุ่นวายในกระแสทะเลเพลิงที่ปะทุขึ้นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากสนามรบโบราณนำเขามาที่นี่เช่นกัน ชายชรามองเห็นการเผชิญหน้าระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่ปิน แม้ว่าเขาจะไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นสมาชิกฝ่ายเฟิ่งชิวหรันจึงจำเป็นต้องก้าวเข้ามา แม้ว่าจะเริ่มไม่มั่นใจในแนวคิดและวิสัยทัศน์ของเฟิ่งชิวหรันแล้วก็ตาม
การแสดงชั้นเชิงของหวังเป่าเล่อในโถงใหญ่เมื่อหนึ่งปีก่อนก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชายชราตัดสินใจเข้ามาช่วย ทว่าเขาก็ยังมีความรู้สึกไม่พอใจผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอยู่ดี ทันทีที่ชายชราเปิดปากพูด เขาก็ส่งสายตาเยียบเย็นไปทางหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังถ้ำที่พัก จากประสบการณ์ ชายชราบอกได้ว่าถ้ำที่พักนั้นเป็นเพียงถ้ำธรรมดาๆ ชื่อหลินไม่ได้กล่าวว่าอย่างไรต่อไป ทำเพียงหันหลังเดินจากไปเท่านั้น
แม้ว่าชายชราจะจากไปแล้ว แต่คำสั่งของเขาก็ยังคงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าหลี่ปินจะไม่เต็มใจสักเท่าใดก็ไม่อาจขัดคำสั่งของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ เขากัดกรามกรอด ความอาฆาตฉายชัดอยู่ในแววตาที่จ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ
“ไอ้หนู เจ้านี่โชคดีใช่เล่นนะ ขอให้โชคไม่หมดเสียก่อนก็แล้วกัน…” เขาทิ้งถ้อยคำสุดท้ายเอาไว้ ก่อนจะยิ้มเยาะแล้วหันหลังเดินออกไป ผู้ติดตามทุกคนเดินจากไปด้วยแววตาคล้ายคลึงกัน
หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนโชคดีแม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้ว พวกผู้บุกรุกต่างหากที่โชคดี หากชื่อหลินไม่ได้เข้ามาห้าม หวังเป่าเล่อคงพุ่งเข้าโจมตีไปแล้ว และหลังจากต่อสู้กับรูปปั้นค้างคาวหิน ชายหนุ่มก็มั่นใจมากว่าเขาสามารถสังหารคนพวกนั้นได้ทั้งหมดแน่ แต่จะแสร้งทำเป็นว่าตนเองก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ดังนั้นต่อให้สำนักรู้เรื่องเข้า หวังเป่าเล่อก็จะได้มีหนทางปกป้องตนเอง
คราวหน้าจะได้เห็นกันว่าเจ้าจะโชคดีเช่นนี้อีกหรือไม่! หวังเป่าเล่อละสายตา ก่อนจะหันมาทางกงเต๋าและนั่งรออย่างอดทน
สามสิบนาทีผ่านไป รอยแยกบนเพดานเริ่มปรากฎถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทะเลเพลิงทะลักเข้ามาไม่หยุดหย่อน ขณะนั้นเอง กงเต๋าก็ตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่รัศมีขั้นกำเนิดแก่นในจะปะทุออกมาจากกายเขา เนตรลวงตาปรากฏขึ้นบนแผ่นหลัง!
ดวงเนตรนั้นปิดสนิท และค่อยๆ จางหายไปเองในเวลาราวสิบห้าวินาที เห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวข้องกับวิชาฝึกปราณที่กงเต๋าฝึกอยู่ หลังจากที่ดวงเนตรหายไป กงเต๋าก็ลืมตาขึ้น แสงเจิดจ้าสุกสว่างอยู่ภายใน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนจะยกมือคารวะหวังเป่าเล่อ!