หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 549 ชุดเกราะปีศาจลักอัคคี!
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจแขนศพนักเพราะมัวแต่โกรธเจ้าลาอยู่ มาบัดนี้ เขาเห็นแล้วว่าส่วนที่เหลืออยู่ของแขนศพไม่ใช่เลือดเนื้อแต่อย่างใด
มันทำมาจาก…ผลึกชนิดหนึ่ง!
หวังเป่าเล่อตกตะลึงในสิ่งที่เห็น เขาปล่อยมือจากเจ้าลาก่อนจะก้มลงสำรวจแขนตรงหน้าอย่างถ้วนถี่ ชายหนุ่มค้นพบว่าจากสามหัวและหกแขน มีเพียงแขนข้างนี้เท่านั้นที่ทำมาจากผลึก ส่วนที่เหลือเป็นเลือดเนื้อเช่นปกติ
หวังเป่าเล่อเริ่มวิตกและสงสัย เขาดึงศพที่พบในด้วงสีทองออกมาดูเทียบกัน ศพของเขาเป็นเลือดเนื้อทั้งหมด ชายหนุ่มจำได้ว่าศพทั้งหมดที่เขาเคยเห็นมาก็เป็นเลือดเนื้อทั้งสิ้น มีเพียงศพที่เจ้าลากินไปเท่านั้นที่ต่างออกไป
ราวกับว่าแขนข้างที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังงานบางอย่าง และหลังจากที่สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นสิ้นใจลง พลังงานนั้นก็ไม่ได้เสื่อมสลายตามไปด้วย แต่กลับแปรสภาพกลายเป็นผลึก!
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจนำศพนี้กลับไปด้วย ชายหนุ่มหันหลังกลับไปจ้องมองเจ้าลา แม้ว่าเขาจะเข้าใจเจ้าลาผิดไป แต่ในฐานะบิดาของมัน อย่างไรเสียเขาก็ถูกเสมอ!
เจ้าลารู้สึกเศร้าเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้น มันก็เกรงกลัวหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง หัวของมันหลุบต่ำและมันก็ดูเศร้าซึม สีหน้าของหวังเป่าเล่อสงบลงในที่สุด เขาแค่นลมออกมาทางจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันหลังมุ่งหน้ากลับไปยังเกาะเพลิงเขียว
เจ้าลาเดินคอตกไร้ซึ่งกำลังใจตามหลังมา มันไม่กล้าวิ่งไปมาอีกเมื่อกลับมาถึงเกาะ มันเหยียดกายอยู่ในถ้ำที่พักก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยนัยน์ตาใสซื่อและสีหน้าเศร้าสร้อย
หวังเป่าเล่อเองก็เริ่มรู้สึกเขินอายและอึดอัด เขาทำหน้านิ่งก่อนจะมองไปทางเจ้าลา จากนั้นก็โยนขนมหนึ่งในเก้าชิ้นสุดท้ายไปให้มัน
“เอานี่ไป กินเสร็จแล้วก็ออกไปเที่ยวเล่นเสีย อย่าออกนอกเกาะไปเล่า”
เจ้าลาจ้องมองขนมที่มีกลิ่นแปลกประหลาดตรงหน้า มันนิ่งงง ในที่สุดก็กลืนขนมลงไปด้วยสีหน้าขมขื่น ก่อนจะฝืนทำท่าทางเอร็ดอร่อย และวิ่งแจ้นออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเจ้าลาจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอออกมา ชายหนุ่มรวบรวมสมาธิก่อนจะนำศพของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสองศพออกมาจากกำไลคลังเก็บ เขานำศพออกมาวางตรงหน้าเพื่อพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง พลางนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยอ่านเมื่อตอนที่อยู่ในสำนักแห่งความมืด หนังสือส่วนใหญ่ที่เขาอ่านเป็นเคล็ดวิชาการฝึกตนของสำนักแห่งความมืด ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นของเขาจึงจำกัดยิ่งนัก
ชายหนุ่มใช้เวลาไปพักใหญ่กว่าจะเริ่มสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างศพทั้งสอง
อย่างแรกคือชุดแต่งกายที่แตกต่างกัน แม้ว่าชุดทั้งสองจะขาดเสียหายเหมือนกัน แต่ศพที่มีแขนเป็นผลึกสวมชุดที่ถักทอจากผ้าซึ่งทนความเสื่อมสลายได้ดีกว่า เป็นชุดแต่งกายที่ประณีต ต่างจากชุดเกราะของศพที่พบในด้วง
รูปร่างของทั้งสองก็ต่างกันด้วย คนแรกนั้นดูผอมแต่คนหลังดูแข็งแรงและหุ่นดี ทุกสิ่งดูจะชี้ไปยังข้อสรุปที่ว่า…คนแรกเป็นปราชญ์ส่วนคนหลังเป็นนักรบ!
ไม่ถูกสิ…หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ พยายามเรียกแม่นางน้อยอีกครั้ง คราวนี้นางตื่นอยู่และตอบรับการเรียกของหวังเป่าเล่อ
“เรื่องง่ายๆ เท่านี้ เจ้าก็ยังคิดเองไม่ได้หรือ” แม่นางน้อยพูดอย่างเย็นชา คำพูดของนางฉาบไว้ด้วยความรู้สึกเหนือกว่าและความหยามเหยียด
“ข้าเคยจับตัวสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นได้บ้างเมื่อสมัยข้าเจ็ดขวบ หลังจากที่นำมาตรวจสอบดู เราก็ค้นพบว่าสมาชิกของตระกูลไม่รู้สิ้นทั่วไปมีสามศีรษะหกแขนตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย มีเพียงพวกชนชั้นสูงเท่านั้น…ที่หลังจากผ่านการฝึกปราณแบบพิเศษ จะสามารถแปลงศีรษะและแขนให้กลายเป็นแหล่งพลังงานได้!”
“ระดับแรกคือเมื่อพวกเขาแปลงศีรษะหนึ่งศีรษะและแขนหนึ่งแขนให้กลายเป็นแหล่งพลังงาน จะมีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ สองศีรษะและสองแขนเท่ากับระดับดารานิรันดร์ หากพวกเขาสามารถแปลงทั้งสามศีรษะและหกแขนให้เป็นแหล่งพลังงานได้ทั้งหมดก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับดาราจักรชั้นปลาย!”
“สำหรับศพตรงหน้าเจ้านี้ มีแขนเพียงข้างเดียวเท่านั้นที่กลายเป็นแหล่งพลังงาน ในขณะที่ศีรษะหนึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา เขาจะต้องอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะก่อนที่จะเสียชีวิต หากว่าศีรษะนั้นกลายสภาพเสร็จสมบูรณ์ เขาก็จะสามารถบรรลุขั้นไปสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้แน่นอน!”
แม่นางน้อยดูพึงใจกับคำอธิบายที่มอบให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นบ้างหลังจากที่ได้ฟัง นัยน์ตาของเขาเริ่มส่องสว่างด้วยแสงประหลาด
เปลี่ยนแขนให้กลายเป็นพลังงาน…เคล็ดวิชาฝึกตนเช่นนี้ดูคุ้นเสียจริง…หวังเป่าเล่อจมลงสู่ห้วงความคิด ชายหนุ่มจ้องมองแขนข้างนั้นอย่างถี่ถ้วน จากนั้นครู่ใหญ่ ลมหายใจของเขาก็ถี่เร็วขึ้น
วิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิต้องการให้ผู้ฝึกสร้างเกราะจากเลือดเนื้อภายนอกกายเนื้อของตน…นี่ไม่ได้คล้ายๆ กันกับการแปรสภาพเป็นพลังงานหรอกหรือ จะต่างกันก็ตรงที่ว่าคนของตระกูลไม่รู้สิ้นเปลี่ยนร่างกายของตน แต่วิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิสร้างร่างใหม่ขึ้นมา! ความคิดพรั่งพรูอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ แสงในดวงตาเขายิ่งเปล่งประกายจ้าขึ้นอีก ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาได้รู้อะไรบางอย่างที่สำคัญยิ่งเข้าแล้ว
และสิ่งนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เขาฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิสำเร็จในที่สุด!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รีบโบกมือขวาและดึงกระบี่บินออกมา ดวงตาของเขาฉายแสงวาบ ชายหนุ่มใช้กระบี่ตัดศพ…โดยตั้งใจจะแยกชิ้นส่วนศพ หาจุดตันเถียน และหาต้นตอการแปรสภาพแขนให้เป็นแหล่งพลังงานให้พบ!
ขณะที่กำลังหั่นศพ และศึกษาดูไปพร้อมกัน เวลาก็ล่วงเลยผ่านไป ชายหนุ่มลืมกินลืมนอนไปเสียสิ้น เขาหันไปสั่งเจ้าลาให้กลับไปที่ทะเลเพลิงและหาศพที่มีแขนเป็นแหล่งพลังงานเช่นนี้มาเพิ่มอีก หนึ่งเดือนผ่านไป หวังเป่าเล่อผ่าศพลักษณะคล้ายกันนี้ไปเจ็ดถึงแปดศพด้วยกัน แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจเคล็ดวิชาฝึกปราณของตระกูลไม่รู้สิ้นมากนัก แต่ได้พบเบาะแสเกี่ยวกับแขนที่ถูกแปรสภาพเป็นแหล่งพลังงานแล้ว!
มันคือ…จุดตันเถียนที่สร้างจากปราณวิญญาณซึ่งพบได้ในศพเหล่านั้น!
การค้นพบเดียวนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจที่ได้รู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ
อาจจะมีวิธีอื่นในการฝึกฝนวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ แต่วิธีที่ข้ากำลังคิดอยู่นี้…ก็น่าจะเป็นหนึ่งในวิธีเหล่านั้น วิธีของข้าคือ…การเชื่อมจุดตันเถียนทุกจุดในกายเข้ากับปราณวิญญาณ และปล่อยมันให้ออกมาจากร่างเพื่อสร้างระบบหมุนเวียนภายนอกร่างกาย!
“ประหนึ่งว่า…ร่างของข้าได้กลายมาเป็นเมล็ดพันธุ์ พูดให้ชัดก็คือข้าจะกระจาจุดตันเถียนออกไปด้านนอก แล้วจึงเชื่อมมันเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้งภายนอกร่างกาย!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองอยู่ไปมา ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งเชื่อว่าความคิดของตนนั้นอาจจะได้ผล สิ่งเดียวที่รั้งหวังเป่าเล่อเอาไว้ก็คือ แม้ว่าความคิดของเขาจะดูเคล้ายวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิมากแต่อันที่จริงแล้วยังต่างกันอยู่เล็กน้อย
เกราะเลือดเนื้อขั้นสุดท้ายที่สร้างขึ้นจากวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิจะปลดปล่อยพลังและความแข็งแกร่งออกมา มันจะเสริมกำลังกายของชายหนุ่มให้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณอีกด้วย ทำงานคล้ายกับแว่นขยาย แหล่งพลังของการเสริมกำลังกายนี้คือการสั่งสมปราณวิญญาณไว้ในชุดเกราะนั่นเอง
ชุดเกราะนั้นจะเรียกว่าเป็นร่างใหม่ก็ไม่ผิดนัก อัตราการดูดซึมและฝึกปราณของมันรวดเร็วกว่ามาก เปรียบได้กับโหนกบนหลังอูฐ ยิ่งชุดเกราะสะสมพลังปราณได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งส่งพลังนั้นเข้าสู่กายหลักได้มากขึ้น นั่นคือวิธีการเสริมกำลังกาย!
อย่างไรก็ตาม ชุดเกราะที่ถูกสร้างขึ้นจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสามารถเคลื่อนไหวมันไปมาได้ดังใจ แต่ไม่อาจแยกมันออกจากกายเนื้อได้
แต่…หากหวังเป่าเล่อฝึกฝนวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิตามวิธีที่เขาคิดขึ้นมา ผลลัพธ์ก็จะต่างออกไป ชายหนุ่มจะส่งจุดตันเถียนที่มีออกไปสร้างระบบหมุนเวียนภายนอกร่างกาย และจะใช้วิธีเดียวกันนี้ในการสร้างโครงกระดูก แต่พวกมันจะเป็นเพียงส่วนที่ขยายออกไป ไม่ใช่ส่วนที่ไม่อาจแยกจากร่างกายหลักของเขาได้ พูดให้ง่ายก็คือ มันคือการที่หวังเป่าเล่อหลอมวัตถุเวทที่มีรูปร่างเหมือนร่างกายของเขาขึ้นมา!
ข้อเสียของวิธีนี้คือเกราะที่ได้ไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกายไม่ได้ จึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายหากแต่เป็นวัตถุภายนอกเท่านั้น ในแง่ของการฝึกปราณ การดูดซับปราณวิญญาณ และคุณสมบัติการเสริมพลังกายจึงเทียบกับวิชาดั้งเดิมไม่ได้เลย
ข้อดีของวิธีนี้ก็คือง่ายและตรงไปตรงมา หากเขาแก้ปัญหาแรกได้ พลังของเกราะและความเร็วในการฝึกปราณก็จะรุดหน้าแซงวิชาดั้งเดิมไปไกล
จากวิธีฝึกปราณทั้งสองนั้น วิธีหนึ่งถือว่าดีงาม ส่วนอีกวิธีนั้นถือว่า…ชั่วร้าย!
เป็นเพราะว่า…มีเพียงทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องการสะสมปราณวิญญาณและคุณสมบัติการเสริมพลังกายของเกราะได้ มีเพียงวิธีเดียวที่ใครคนหนึ่งจะสามารถหาปราณวิญญาณเข้มข้นจำนวนมากโดยไม่ต้องฝึกปราณ
หวังเป่าเล่อมีทางออกเกี่ยวกับวิธีนี้อยู่บ้าง นั่นก็คือ…ใช้วิชาสืบทอดที่ไม่สมบูรณ์ วิชาที่ทรงพลังเป็นอันดับสองรองจากวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ…วิชาลักอัคคี!
มันเป็นเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาด เงื่อนไขคือต้องสังหารใครสักคนและชิงพลังชีวิตและเจตจำนงของคนผู้นั้นมา หากผู้ฝึกไม่อาจควบคุมมันได้ ก็จะสูญเสียตัวตนและกลายเป็นคนวิกลจริตไป เพราะยิ่งสังหารผู้คนไปมากเท่าใด ความคิดและเจตจำนงที่ไม่ตรงกันก็จะยิ่งเพิ่มพูนในกายมากขึ้นเท่านั้น และตัวผู้ฝึกก็จะยิ่งจัดการกับความยุ่งเหยิงในใจได้ยากขึ้นทุกที
ทว่า…หากชุดเกราะที่อยู่ภายนอกกายสามารถทำตัวเป็นภาชนะรองรับพลังชีวิตและเจตจำนงจากการเข่นฆ่าได้ ทุกอย่างก็จะจบ หวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่งขึ้นหลังการสังหารทุกครั้ง กลายเป็นว่าเขาจะสามารถสังหารคนได้จำนวนไม่จำกัด!
ถึงกระนั้น…หวังเป่าเล่อก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาฝึกวิชาสืบทอดเหล่านี้ ยิ่งจำนวนคนที่เขาสังหารเพิ่มมากขึ้น จะมีวันหนึ่งหรือไม่ที่ชุดเกราะของเขาจะกลายมาเป็น…ชุดเกราะปีศาจกระหายเลือดที่ทรงพลังมากพอจะเขย่าทั้งสวรรค์และผืนปฐพี!
ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่แต่ดวงตาของเขากลับลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น เขาตัดสินใจแล้ว ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “ภาชนะที่รองรับบาปในการฆ่าคนของข้า…ไม่เลวเลย!”