หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 555 สังหารเกราะปีศาจ!
ยังมีเวลาอีกหกวัน ข้าต้องเร่งมือหน่อยแล้ว! หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งขณะนี้อยู่ในทะเลเพลิงคาดคะเนแล้วก็รู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้น การทดสอบที่จะมาถึงในอีกหกวันนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มันจะส่งผลกระทบต่อความเป็นพันธมิตรระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล หรือพูดอีกอย่างก็คือจะเป็นตัวตัดสินว่าจะเกิดสงครามขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายหรือไม่!
ในความเป็นจริงแล้ว พวกจิ้งจอกเฒ่าในสหพันธรัฐต่างคาดการณ์และถึงขั้นจำลองเหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลไว้นานแล้ว แม้ว่าสหพันธรัฐจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่หากพวกเขาสามารถยืดการต่อสู้ออกไปให้นานที่สุด โอกาสชนะของสหพันธรัฐจะเพิ่มขึ้นทุกๆ สิบปี
ในแง่หนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าการต่อสู้จะไม่เกิดขึ้นหากเตะถ่วงเวลาออกไปได้นานพอ เพราะอย่างไรเสียกระบวนการทำศึกก็มีราคาที่ต้องจ่าย หากราคานั้นสูงเกินไป ถึงตอนนั้นแม้เฟิ่งชิวหรันจะอ่อนแอในแง่ของอำนาจ นางก็คงต้องฉวยโอกาสแสดงจุดยืนขัดแย้ง เพื่อจะให้ได้อำนาจกลับคืนมาอีกครั้ง
ความคิดเหล่านี้บางส่วนหลี่ซิงเหวินก็เปิดเผยให้หวังเป่าเล่อรู้อย่างลับๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินทางมายังสำนักวังเต๋าไพศาล บางส่วนหวังเป่าเล่อก็สรุปเอาเองผ่านการวิเคราะห์ ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในศีรษะของชายหนุ่ม ขณะที่เขามาถึงทะเลเพลิงและยังคงมุ่งหน้าต่อไป
ขณะที่เขามุ่งหน้าต่อไปนั้นเอง ตรารูปข้าวหลามตัดบนหัวใจของหวังเป่าเล่อซึ่งเกิดขึ้นจากเกราะจักรพรรดิก็ส่องสว่างและถูกปลดปล่อยออกมา มันปลุกจุดตันเถียนภายในกายของหวังเป่าเล่อ จุดนั้นเข้าเชื่อมกับปราณวิญญาณและหลุดออกมาจากร่าง ไม่นานนัก ร่างของมนุษย์ตัวใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏขึ้นนอกกายเขา
ร่างนั้นสร้างขึ้นจากจุดตันเถียนที่เชื่อมกับปราณวิญญาณ มันโปร่งใสและสังเกตเห็นได้ยากหากไม่มองให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ในทะเลเพลิง
หลังจากนั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกาย การเรียกใช้งานและการแปรสภาพเกราะจักรพรรดิครั้งแรกของทำให้ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันเหลือล้นในกายได้ ราวกับว่าเขาได้สวมชุดเกราะที่ไม่มีวันแหลกสลาย มันมอบความมั่นใจลวงๆ ว่าเขาจะสามารถทำลายทุกสรรพชีวิตลงได้
ต่อไปข้าก็ต้องตามฆ่าอสูรให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้วิชาลักอัคคี หลังจากนั้นก็ดูดซับเอาปราณในตำนานของพวกมันมาเป็นพลังงานให้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีของข้า! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกและหยิบเจ้าลาออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ
“ไสหัวไป ไปหาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดยกเว้นผู้ฝึกตนในทะเลเพลิงมาเดี๋ยวนี้!” ก่อนที่เจ้าลาจะทันได้มองสิ่งรอบข้างให้ชัดเจน มันก็ได้ยินคำสั่งของหวังเป่าเล่อ เพราะตัวตนของเกราะจักรพรรดิ ทำให้เสียงของชายหนุ่มดังและมีอำนาจยิ่งขึ้น เจ้าลาตัวสั่น ตาของมันเบิกโพลงเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่ออย่างเต็มตา
คนอื่นๆ อาจจะมองไม่เห็นเกราะจักรพรรดิได้ชัดเจนนัก แต่เจ้าลาที่ทั้งอยู่ใกล้และทั้งความสามารถพิเศษที่มันมี ทำให้มันไม่เพียงมองเห็นเกราะได้อย่างชัดเจน แต่ยังสัมผัสได้จากสัญชาตญาณว่ามีรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากหวังเป่าเล่อจนทำให้มันตัวสั่นเทิ้ม
แม้รัศมีนั้นจะแผ่วเบาและซ่อนไว้อย่างมิดชิด แต่เจ้าลาก็รู้สึกได้อยู่ดี ดังนั้นมันจึงรีบตอบรับคำสั่งของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ก่อนจะผงกศีรษะหงึกๆ อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มอย่างไม่รีรอ มันรีบมองไปรอบตัวอย่างแข็งขัน ถึงกับใช้จมูกสูดดมอยู่ไปมา ดูเหมือนว่ามันจะสัมผัสรัศมีของทะเลเพลิงได้ ไม่นานนักดวงตาของเจ้าลาก็เป็นประกาย ก่อนที่มันจะกระโจนออกไปข้างหน้าในทันที
เจ้าลาวิ่งเร็วมากเสียจนหวังเป่าเล่อตกตะลึง ชายหนุ่มคิดกับตนเองว่าถ้าเจ้าลาไม่ได้มีเชื้อสุนัขอยู่ในตัว พ่อหรือแม่ของมันอาจจะเป็นสุนัขก็เป็นได้ มันจึงมีจมูกไวแถมยังมีนิสัยชอบกระดิกหากอีกด้วย
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสงสัยเกี่ยวกับชาติกำเนิดของมัน เจ้าลาก็พาชายหนุ่มมาถึงเนินเขาใต้ทะเลแห่งหนึ่ง มีเสียงกรีดร้องดังก้องขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป ทันใดนั้นหนูเพลิงนรกสามตัวก็พุ่งออกมาและหนีไปทันที
หวังเป่าเล่อนัยน์ตาเป็นประกายก่อนจะพุ่งตัวตามไปโดยไม่รอเจ้าลา ทะเลเพลิงแหวกออกจนเกิดคลื่นเป็นทางขณะที่ชายหนุ่มไล่ตามหนูเพลิงนรกทั้งสามไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด ไม่ว่าหนูทั้งสามจะพยายามหนีเท่าใด พวกมันก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของหวังเป่าเล่อไปได้ ชายหนุ่มจับพวกมันขึ้นมาด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว
เขาเคลื่อนที่รวดเร็วเสียจนกระทั่งหนูเพลิงนรกตกอยู่ในมือขนาดใหญ่ของเขาในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อท่องคำว่า ‘ลักอัคคี’ อยู่ในใจ
ทันทีที่เขาท่องถ้อยคำเหล่านั้นออกมา แสงสีโลหิตก็แผ่ออกมาจากกายของชายหนุ่ม เข้ามารวมอยู่ในมือขวาของเขาก่อนจะปกคลุมหนูเพลิงนรกตัวหนึ่งเอาไว้ ร่างของหนูตัวนั้นสั่นอย่างรุนแรงขณะที่พยายามจะเปล่งเสียงร้อง ทว่าเมื่อมันเปิดปากออก ร่างกายของมันก็เหี่ยวเฉาลงในพริบตา
แม้ว่ามันจะเปิดปากออกมาได้ในที่สุด แต่ก็สูญเสียความสามารถในการเปล่งเสียงไปจนหมดแล้ว เลือดและเนื้อของมันถูกสูบไป จิตวิญญาณของมันค่อยๆ สลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของแสงสีโลหิต แสงสีแดงฉานคืบคลานไปหาหนูเพลิงนรกอีกสองตัวอย่างรวดเร็ว
หนูอีกสองตัวกลัวจัดอย่างเห็นได้ชัด พวกมันพยายามจะหนีอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถหนีการไล่ล่าของแสงสีแดงฉานได้ ก่อนจะถูกแสงนั้นปกคลุมจนทั่ว เมื่อแสงสีโลหิตกลับมาหาหวังเป่าเล่อ เจ้าลาก็ตื่นตะลึงเมื่อมองเห็นว่าซากที่เหลืออยู่ของหนูสองตัวนั้นคือหนังและเส้นขนที่ซีดเซียวเท่านั้น
แสงสีโลหิตเข้าไปรวมกับเกราะจักรพรรดิซึ่งอยู่ภายนอกกายของหวังเป่าเล่อ เกิดเป็นริ้วสีโลหิตจางๆ บนเกราะที่ก่อนหน้านี้เป็นสีใส มันไม่ได้ดูโปร่งใสอีกต่อไป แต่กลับดูแปลกประหลาดเมื่อมีริ้วโลหิตปรากฏอยู่!
“ทำต่อไป!” หวังเป่าเล่อหลับตาลง ก่อนจะส่งสัญญาณเสียงไปยังเจ้าลาหลังจากที่ได้สัมผัสวิชาลักอัคคีเกราะจักรพรรดิ
เสียงนั้นยิ่งฟังดูน่ากลัวสำหรับเจ้าลากว่าตอนแรกเสียอีก มันรีบพยักหน้าราวกับกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะกลืนมันเข้าไปหากมันไม่สามารถหาหนูเพลิงนรกมาให้ได้อีก ดังนั้นเจ้าลาจึงรีบวิ่งหาหนูอย่างลนลาน จนกระทั่งตาแดงก่ำและจมูกก็เมื่อยล้าไปหมด
การตามล่าและการสังหารของหวังเป่าเล่อดำเนินไปเป็นเวลาหลายวัน ยิ่งเขาฆ่าหนูเพลิงนรกด้วยวิชาลักอัคคีมากขึ้นเท่าใด เกราะจักรพรรดิก็มีสีแดงฉานมากขึ้นตามกัน และในเมื่อวิชาลักอัคคียังคงแกร่งกล้าอยู่ หวังเป่าเล่อก็ไม่ใส่ใจว่าหนูเพลิงนรกจะมีแก่นในอสูรหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร วิชาลักอัคคีก็กลืนกินพลังงานทุกรูปแบบ ดังนั้นถึงแม้พวกหนูจะมีแก่นในอสูรแก่นในเหล่านั้นก็ถูกย่อยสลายอยู่ดี
การเข่นฆ่าดำเนินต่อไป เกราะจักรพรรดิมีสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวเริ่มแพร่กระจายออกมาจากเกราะอย่างช้าๆ และยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามจำนวนหนูที่สังหารไป อีกทั้งความเร็วและพลังการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดดในทะเลเพลิงแห่งนี้
จนสุดท้าย เจ้าลาก็กลัวจนเคลื่อนไหวไม่ออก ยิ่งพวกเขารุดหน้าไปมากเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ยิ่งพูดน้อยลงเท่านั้น รัศมีรุนแรงและบ้าคลั่งที่ออกมาจากตัวชายหนุ่มเป็นสิ่งที่เจ้าลาไม่คุ้นเคย หากวิญญาณของพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน เจ้าลาก็คงคิดว่าบิดาของมันกลายเป็นคนอื่นไปเสียแล้ว
ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงจับหนูต่อไป ก็เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนที่การทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลต่างพากันพูดคุยเรื่องนี้อย่างออกรส ทั้งสำนักเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ศิษย์เกาะนอกจำนวนมากมารวมตัวกัน และการเดินทางข้ามเมืองระหว่างบรรดาศิษย์ก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ดูเหมือนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา รายชื่อของตัวแทนจะถูกประกาศออกมาแล้ว และผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมก็เริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจัง เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็เช่นกัน แต่แม้ว่าบรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐจะรู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และหันมาหาข้อมูลกันอย่างจริงจัง พวกเขาก็ยังไม่เจออะไรมากนัก
สองวันผ่านไป คืนก่อนหน้าวันทดสอบ มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นออกมาจากเขตที่ลึกเข้าไปในทะเลเพลิง แม้ว่าเสียงนั้นจะดังมาจากใต้ดิน แต่ก็กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ ส่งผลให้ทะเลเพลิงหมุนวนอย่างรุนแรง เจ้าลาห้อตะบึงออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อหนีจากพลังรุนแรงที่ถูกปลดปล่อยออกมา เมื่อมันรู้สึกว่าออกมาห่างพอแล้ว จึงหันหลังไปมองอย่างวิตก
ในทิศทางที่เจ้าลามองไปนั้น ปรากฏแสงสีแดงขนาดหลายร้อยเมตรพร้อมเสียงดังสนั่นสะท้อนก้องออกมา มีเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังตามหลังมา และใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะสงบลง แสงสีแดงค่อยๆ หดตัวลงและมีร่างๆ หนึ่งเดินออกมาจากแสงนั้น!
ร่างนั้นมีผมที่พลิ้วไหวไปตามสาวลมและมีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับประกายเยือกเย็นในแววตา ภายนอกของร่างนั้นมีโครงร่างสีแดงฉานที่สูงราวยี่สิบเมตรยืนตระหง่านอยู่ โครงร่างนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ราวกับว่าทำมาจากจุดตันเถียนจำนวนนับไม่ถ้วนเชื่อมต่อกัน ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังแผ่รัศมีน่าเกรงขามออกมาไม่หยุดหย่อน
ดูคล้ายกับเป็นฉากที่เทพยดาลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
แต่ที่จริงแล้วร่างนี้หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งปลดปล่อยชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของเขาออกมา!
ศพของหนูเพลิงนรกขนาดยาวสามสิบเมตรถูกชุดเกราะใช้มือขวาลากออกมา มีเขาสีดำอยู่บนหัวของศพ ที่แม้จะตายไปแล้วก็ยังแผ่รัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุดหย่อน สำหรับเจ้าลาแล้ว ชัดเจนว่ารัศมีจากอสูรนั้นแข็งแกร่งกว่าขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย จนใกล้เคียงกับชั้นสมบูรณ์!
เจ้าลาตัวสั่น สิ่งที่ทำให้มันกลัวยิ่งกว่าก็คือ เมื่อร่างของหวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ ศพนั้นก็ย่อยสลายไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ชายหนุ่มเดินมาถึงตัวเจ้าลา ศพของหนูเพลิงนรกก็เหลือเพียงหนังกับขนเท่านั้น เนื้อและพลังงานทั้งหมดของมันถูกย่อยสลายกลายเป็นกองโลหิตที่ไหลเข้าไปรวมกับเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นของเหลว!
“ไปกันเถอะ ได้เวลากลับแล้ว”