หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 566 ดวงดาวสะเทือน!
“จับปลาใหญ่หรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเป็นคนฉลาด เก่งกาจด้านการวิเคราะห์ ถือเป็นสมบัติล้ำค่าของมนุษยชาติ เชี่ยวชาญทั้งการฝึกตนและวงแหวนปราณ หากหวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบนี้ ดูจากทักษะการวิเคราะห์ของนางแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงน่าจะมีโอกาสสูงมากที่จะติดหนึ่งในสิบ
เพราะเหตุนี้นางจึงเข้าใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดในทันที นางพอจะเดาได้ว่าชายหนุ่มต้องการจะบอกอะไร กงเต๋านั้นช้ากว่านิดหน่อย สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวพอจะช่วยให้เขาอนุมานได้เช่นกัน
“เป่าเล่อ เจ้าจะบอกว่าเจ้าอยาก…” กงเต๋าเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบไป ไม่ยอมพูดต่อจนจบ เขาหรี่สายตามองแผนที่จากมุมสูงและกลุ่มกุญแจส่องสว่างราวกับดวงดาวบ่งบอกตำแหน่งของห้าอัจฉริยะ!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็ก คิดคำนวณในสมอง ก่อนจะสุดหายใจลึกและพูดขึ้น “ตามข้ามา ไปจัดการเจ้านั่นกัน!” พูดจบ ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ เขาก้าวออกจากยอดเขาก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณพุ่งทะยานไปในอากาศ
หัวใจของเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเต้นแรงแม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ลังเลใจรีบตามหวังเป่าเล่อไปอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนจะถึงการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไป อาจบอกได้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นไปอย่างสงบเงียบ แต่ก็ถูกทำลายลงด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มหวังเป่าเล่อที่เป็นดังก้อนหินโยนลงแม่น้ำนิ่งสงบเรียกความสนใจจากทุกคนให้หันมาจับตามอง!
หวังเป่าเล่อไม่สนในดวงตามากมายที่แอบเฝ้ามองอยู่ เขาพุ่งทะยานไปยังจุดหมายด้วยความเร็วอันเหนือชัด ความเร็วของเขาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ภายใน และเพลิงดังกล่าวก็ไม่ได้มาจากความโกรธแค้น แต่เป็นความกระหายอยากสู้รบ!
‘ปลาใหญ่’ ที่ว่าคือ…ห้าศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!
พวกเขาเป็นเพียงห้าคนที่เก็บรวบรวมกุญแจได้เกือบสองร้อยดอก หากกำจัดใครสักคนไปได้ก็จะได้กุญแจมาเพิ่มหลายเท่า แต่ก็จะกลายเป็นจุดสนใจในทันที
หวังเป่าเล่อไม่สนว่าตนจะกลายเป็นเป้าสนใจหรือเปล่า เขาคิดว่าหากศัตรูของเขาเป็นหนึ่งในห้าคนนี้…แม้จะมั่นใจว่าสามารถล้มอีกฝ่ายลงได้ แต่พวกเขาก็ต่างจากศิษย์คนอื่นๆ ถ้าใครในห้าคนนี้เสียกุญแจไปก็จะหายไปจากแผนที่ ก็จะกลายเป็นภัยอันตรายร้ายแรงหากพวกเขากลายเป็นจุดเด่นขึ้นมาหรือแอบมาซุ่มโจมตีในภายหลัง
ถ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นก็ต้องเชือดพวกเขาทิ้ง แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าหากปลิดชีพศิษย์ธรรมดาทั่วไปก็ยังจะพอหาทางรอดได้บ้าง แต่ถ้าลงมือสังหารศิษย์เอกขึ้นมาแล้วละก็ แม้แต่เฟิ่งชิวหรันก็คงไม่สามารถห้ามอาจารย์ของศิษย์เอกคนนั้นไม่ให้ตามมาล้างแค้นได้
จังหวะ…จึงเป็นสิ่งสำคัญ! เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าพร้อมกับผุดยิ้มบางขึ้นบนใบหน้า ชายหนุ่มคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อนและสามารถหาคำตอบได้แล้ว ที่เขารอก็คือจังหวะตอนที่กำลังจะทำการเคลื่อนย้าย!
พูดให้ชัดคือครึ่งชั่วโมงก่อนการเคลื่อนย้ายครั้งต่อไปเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด!
ครึ่งชั่วโมงถือว่าไม่ได้นานหรือสั้นเกินไป เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการต่อสู้ดุเดือด อีกทั้งยังเพียงพอที่จะทำให้ใครเสียสติไปได้ ผู้ฝึกตนแต่ละคนที่ไม่ปรากฏในแผนที่จะคลุ้มคลั่งกันตลอดช่วงครึ่งชั่วโมงเพราะจะถูกคัดออกถ้าไม่สามารถหากุญแจได้!
ช่วงครึ่งชั่วโมงก่อนการเคลื่อนย้าย ทุกคนที่ถือกุญแจอยู่จะระวังตัวเป็นพิเศษ ไม่มีใครอยากโดนแย่งกุญแจไปในช่วงนาทีสุดท้ายและโดนขัดออกจากการทดสอบโดยไม่มีเวลาให้แก้สถานการณ์!
เหล่าคนธรรมดาคงจะคิดว่าในช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงนี้ กลุ่มคนที่ไม่มีกุญแจคงจะออกตามหากุญแจกันอย่างบ้าคลั่ง กลุ่มคนที่มีกุญแจ ถ้าไม่บ้าเกิน ก็คงจะไม่ไปสู้หรือแย่งชิงกุญแจในช่วงเวลานี้ คงจะรอให้การเคลื่อนย้ายจบก่อนค่อยลงมือ
การลงมือโจมตีก่อนการเคลื่อนย้าย ถึงจะชนะก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอันตราย ถ้าแพ้ก็จะถูกคัดออก แต่ถ้าชนะก็ยังต้องคอยระวังผู้เข้าร่วมทดสอบคนอื่นๆ ที่ปรากฏในแผนที่มาโจมตีแย่งชิงไปอีกทอด ความเสี่ยงที่ต้องแบกรับนั้นมากกว่าสิ่งที่จะได้มา
ทุกคนไม่ว่าจะมีกุญแจหรือไม่ต่างตกอยู่ในสภาพจิตที่แตกต่างออกไปเมื่อการเคลื่อนย้ายเริ่มคืบคลานเข้ามา เป็นเหตุให้…ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนในการทดสอบหรือเหล่าผู้ชม ทุกคนต่างเฝ้าจับตาดูช่วงเวลาก่อนการเคลื่อนย้ายเพื่อคอยระวังกลุ่มคนที่ไม่ปรากฏตัวในแผนที่เริ่มเปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือด!
ในสหพันธรัฐมีคำกล่าวตั้งแต่ครั้งโบราณกาลว่า จะทำการใดสำเร็จได้ต้องอาศัยความบ้าคลั่ง คำกล่าวนี้เหมาะสำหรับใช้อธิบายคนมากความสามารถบางคนเช่นหวังเป่าเล่อ…ที่มีนิสัยตรงตามนั้นไม่มีผิด!
สิ่งที่เขารอคอยมาตลอดคือช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มตั้งใจจะไม่ทำตามหลักเหตุผล โดยจะใช้การเคลื่อนย้ายที่ใกล้เข้ามาในการกำจัดตัวตนที่เป็นภัยต่อตนเองไป!
หลังจากครุ่นคิดพิจารณาก็ตัดสินใจได้ว่าเป้าหมายนั้นคือ…ศิษย์เอกที่อยู่ใกล้ตนเองมากที่สุด เขาไม่รู้ว่าศิษย์เอกคนนั้นจะเป็นใครและไม่จำเป็นต้องรู้ รู้เพียงแค่ว่า…ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ขึ้นตรงต่อฝ่ายไหน ชายหนุ่มก็จะลงมือโจมตี!
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังทะยานข้ามฟากฟ้าพุ่งไปหาเป้าหมาย ไกลออกไปในท้องนภา มีศิษย์เอกอีกคนที่มีแผนการเช่นเดียวกันกับชายหนุ่ม!
คนผู้นั้นคือตู้กูหลิน!
เขาเห็นแสงส่องประกายจากกุญแจของหวังเป่าเล่อบนแผนที่กำลังมุ่งหน้าห่างออกไปจากตนเองด้วยความเร็วสูง แม้จะไม่รู้ว่าแสงจากกุญแจที่เห็นเป็นของใคร แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรเมื่อเห็นการเคลื่อนไหว
น่าสนใจ ใครกัน โจวชู่เต๋าหรือ ใครก็ตามที่กล้าทำการอุกอาจในเวลาเช่นนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่! ตู้กูหลินหรี่ตาลง เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นแสงจากกลุ่มกุญแจที่ไม่ใช่จากห้าอัจฉริยะบนแผนที่จากมุมสูง คิดเอาไว้ว่าคงมีแค่พวกตนห้าคนที่สามารถรวบรวมกุญแจได้มากเพียงนี้
ข้าหวังว่าคนผู้นี้จะเหลือรอดถึงช่วงสุดท้าย ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าใครกันที่ซ่อนความแข็งแกร่งเช่นนี้ไว้! ชายหนุ่มผุดยิ้มบาง ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้ามุ่งหน้าไปหาศิษย์เอกที่ใกล้ตัวที่สุดด้วยความเร็วเต็มพิกัด
หวังเป่าเล่อและตู้กูหลินอยู่ห่างกันออกไปไกลจึงไม่ได้เลือกโจมตีกันเองแต่เลือกศิษย์เอกที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดเป็นเป้าหมายแทน ตู้กูหลินทะยานแหวกฟากฟ้าด้วยความเร็วสูงจนได้แปลงกายเป็นสายฟ้าพุ่งทะยานไปในแผนที่จากมุมสูง ทั้งตนและหวังเป่าเล่อไม่คิดปิดบังจุดมุ่งหมายของตนเอง การกระทำของทั้งสองทำให้ผู้ฝึกตนในการทดสอบตื่นตกใจ ศิษย์ที่จับตาดูการทดสอบอยู่ผ่านนอกก็อึ้งไปตามๆ กัน
พวกเขาเห็นดวงดาวสองดวงบนแผนที่จากมุมสูงอันสงบเงียบกำลังพุ่งทะยานตรงไปหาดาวอีกดวงที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว!
“หวังเป่าเล่อกับตู้กูหลิน สวรรค์ พวกเขาเลือกลงมือตอนนี้!”
“เป้าหมายของหวังเป่าเล่อคือ…โจวชู่เต๋า!”
“เป้าหมายของตู้กูหลินคือ…สวีหมิง!”
กลุ่มศิษย์ที่อยู่ตรงลานกว้างตื่นตกใจไป พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ว่าสถานการณ์จะสงบไปจนจบการเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นถึงจะเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อและตู้กูหลินจะเลือกช่วงเวลานี้ที่แสนจะไม่เหมาะสมแต่ก็ถือว่าเหมาะสมในการลงมือ!
ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครคาดคิด หลังจากครุ่นคิดสักพักก็พบว่าเป็นการลงมือที่เหมาะสม แต่หลายคนก็ยังตื่นตกใจอยู่ดี แม้แต่กลุ่มผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณยังตาส่องแสงเป็นประกาย เฟิ่งชิวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันตั้งใจจับตาดูการทดสอบมากยิ่งขึ้น
ไม่จำเป็นต้องมีขั้นการฝึกตนที่สูงเพื่อลงมือโจมตีในช่วงเวลานี้ ขอแค่ใจกล้าบ้าบิ่นก็เพียงพอแล้ว!
กลุ่มคนที่ตื่นเต้นและเป็นกังวลที่สุดคือพันธุ์กล้าสหพันธรัฐที่พากันอารมณ์เหวี่ยงขึ้นๆ ลงๆ มาตลอด โดยต้นเหตุก็คือหวังเป่าเล่อ ตอนนี้บางคนก็เป็นกังวลหนัก ขณะที่อีกส่วนก็ฮึกเหิมขึ้นมา
หวังเป่าเล่อทะยานไปในอากาศท่ามกลางสายตาหลายหมื่นคู่ที่จับจ้องมา เขาเห็นว่าตู้กูหลินก็ลงมือเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างตรงที่เมื่อชายหนุ่มเห็นการเคลื่อนไหวนั่น ภาพของตู้กูหลินก็ปรากฏขึ้นในทันที เป็นผลมาจากสัญชาตญาณและการวิเคราะห์ของตนเองจนได้ข้อสรุป!
ต้องเป็นเขาแน่!
หวังเป่าเล่อละสายตาจากแผนที่และลดความเร็วลง พอเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตามมาได้ทันจึงเร่งความเร็วอีกครั้ง พวกเขาพุ่งทะยานแหวกฟากฟ้ายามราตรีเห็นเหมือนเป็นดังดาวตกที่กำลังมุ่งหน้าไปหาโจวชู่เต๋า!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงจะถึงการเคลื่อนย้ายต่อไป บนแผนที่จากมุมสูง ดวงดาวที่เป็นตัวแทนของตู้กูหลินมาถึงจุดหมายแล้ว เขาเริ่มลงมือในทันใด แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ยินเสียงแต่ก็สามารถเดาได้ว่าคงเป็นการสู้กันอันดุเดือด!
ตาข้าแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ความกระหายอยากสู้รบพุ่งขึ้นขณะทะยานไปเบื้องหน้า ชายหนุ่มเห็น โจวชู่เต๋านั่งอยู่บนยอดเขาถัดไปไม่ไกล กำลังทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกับชาวนาเฒ่า!
โจวชู่เต๋าทอดถอนใจเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ทำไมต้องทำเช่นนี้…กะแล้วเชียวว่าต้องเป็นเจ้า!”