หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 586 คำขอแต่งงาน!
บทที่ 586 คำขอแต่งงาน!
จินตั้วหมิงถึงกับผงะเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด เขาเปิดปากเหมือนจะพูดตอบ แต่กลับหุบลงเสียงเมื่อมองเห็นสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา
สายตานั้นดูราวกับข่มขู่ และทำให้จินตั้วหมิงเลือกจะหัวเราะแห้งๆ แทน ชายหนุ่มต้องกลืนเอาคำพูดโต้ตอบที่คิดไว้เมื่อครู่ลงไป แต่เขาก็ยังไม่อาจจะเชิดชูหวังเป่าเล่อได้ เพราะฉะนั้น เขากระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะดึงเอาแผ่นหยกออกมาจากกำลังไลคลังเก็บก่อนจะยื่นให้หวังเป่าเล่อ
“นี่คือรายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าที่ประกาศโดยสหพันธรัฐ ข้าเอามามันให้ท่านโดยเฉพาะ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกวาวอย่างยินดีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขากุลีกุจอดูแผ่นหยกทันทีที่ได้รับมา
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าชื่อของเขาอยู่ในอันดับหนึ่งของรายชื่อแถมผลงานยังนำหน้าหลี่อี้ไปนับสิบเคล็ดวิชาฝึกปราณก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองเป็นยิ่งนัก สำหรับเขาแล้ว เมื่อได้กลับสหพันธรัฐเมื่อใด ตัวเขาจะต้องได้ตำแหน่งผู้นำมาอย่างแน่นอน
เมื่อหวังเป่าเล่อฝันหวานไปว่าต้วนมู่น้อยจะต้องยอมลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ตัวเขาเมื่อเขากลับไป เขาก็ปลื้มปริ่มเสียจนต้องยกมือตีท้องอยู่ไปมาอย่างสุขสม แม้ว่าการสัมผัสท้องในครั้งนี้จะไม่สนุกเหมือนเดิมเพราะมันเล็กลง แต่ก็ยังเป็นนิสัยที่หวังเป่าเล่อแก้ไม่หาย ตัวเขาเองก็ไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องนี้นัก ชายหนุ่มเชิดคางขึ้นก่อนจะกระแอม
“มิ่งน้อย มีเพียงรายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าเท่านั้นหรือ มีสิ่งอื่นมาด้วยหรือไม่”
จินตั้วหมิง ในฐานะผู้สืบทอดของกลุ่มไตรจันทรา ก็ฉลาดเป็นกรด เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อเขาก็หัวเราะออกมาเสียงลั่น ก่อนจะโยนกระเป๋าคลังเก็บมาให้หนึ่งใบ หวังเป่าเล่อเปิดดู และตาเขาก็ลุกวาวทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองจินตั้วหมิงอย่างขอบคุณ
กระเป๋าคลังเก็บนั้นอัดแน่นไปด้วยขนมต่างรสมากมาย และยังมีน้ำเย็นหล่อวิญญาณนับร้อยกล่องอีกด้วย สำหรับหวังเป่าเล่อผู้ที่เลียขนมสามชิ้นสุดท้ายอยู่ไปมาเป็นเวลานานในระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลจนกระทั่งจืดหมดแล้ว สิ่งนี้เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ทีเดียว
หวังเป่าเล่อผู้เสียการควบคุมตนเองฉีกถุงขนมเปิดออก ชายหนุ่มยกขนมขึ้นกัดหนึ่งคำแล้วร่างกายก็สั่นเทิ้ม เขาหลับตาก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“รสชาติของบ้านเกิด ข้า หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่คนที่ตะกละตะกลาม ความรู้สึกนี้คือความคิดถึงบ้านต่างหาก…”
จินตั้วหมิงกะพริบตาอยู่หลายครั้ง เขาคิดว่าการที่เขานำเอารายชื่อจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าและขนมมาให้หวังเป่าเล่อ แถมยังไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคำพูดหลงตัวเองของอีกฝ่าย น่าจะเพียงพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่อพอใจในตอนนี้ เพราะฉะนั้น เขาจึงกระแอมก่อนจะเริ่มพูดด้วยหน้าตาเขินอาย
“เป่าเล่อ ข้ามีบางอย่างที่…ข้าอยากจะบอกเจ้า”
หวังเป่าเล่อหยิบเอาน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาขวดหนึ่งก่อนจะยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ ความเย็นทำให้เขารู้สึกสบายและอารมณ์ดีขึ้นอีกมาก เขาหันมามองจินตั้วหมิงด้วยสายตาอิ่มเอม ก่อนจะยกมือขึ้นโบกและพูด
“พูดมาสิ! มีเรื่องอะไรกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็ทอดถอนใจก่อนจะพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“เป่าเล่อ ชีวิตในปีที่ผ่านมาของข้ายากลำบากนัก…พวกเราเป็นเหมือนพี่น้อง ความเป็นจริงข้อนี้ทุกคนบนดาวอังคารรู้ดี กระทั่งในสหพันธรัฐก็เช่นกัน แต่ทว่า เรื่องนี้มันเกินความควบคุมของข้า ข้ามาที่นี่โดยมีภารกิจที่ต้องทำ…” จินตั้วหมิงจ้องมองสีหน้าของหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวัง หลังจากที่เห็นว่าหวังเป่าเล่อหยุดโบกมือที่ถือขนมอยู่ จินตั้วหมิงก็รีบพูดต่อ
“เพราะว่าเจ้าทั้งสามารถและเหนือกว่า ทำให้เจ้าผู้นำชั่วช้าอย่างต้วนมู่ฉีระแวงเจ้าเป็นอย่างมาก ถึงขนาดข่มขู่ให้ข้ามาตกระกำลำบากกับเจ้าด้วย!
“เป่าเล่อ นี่ไม่ใช่การปฏิวัติที่ข้าต้องการ ข้าไม่มีทางเลือก แม้กลุ่มไตรจันทราของข้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่พวกเราก็ยังอ่อนแอนักหากเทียบกับต้วนมู่ฉี เจ้าบ้านั่นทำเกินไปแล้วที่บังคับให้ข้าต้องมาแข่งขันกับพี่ชาย! เป่าเล่อ หลังจากที่ข้าใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียด ข้าคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดก็คือให้ข้าเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐ และเจ้าเป็นรองผู้นำของข้า เจ้าจะได้อำนาจตัดสินใจทุกอย่างไปเลย!”
จินตั้วหมิงมีสีหน้าลำบากใจยิ่ง ราวกับว่าสิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน แต่ทว่า ณ จุดๆ นี้ หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนต้องวางขนมและน้ำลง ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองหน้าจินตั้วหมิง
“มิ่งน้อย นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ข้า หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่คนใจแคบ พวกเราจะแข่งขันกันอย่างยุติธรรมและผลประโยชน์ของสหพันธรัฐเป็นที่ตั้ง แต่ทว่า สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นสถานที่ที่อันตรายยิ่ง และทุกๆ คนที่นี่ก็โหดร้าย จะว่าอย่างไรดี แต่หากมีวันใดใครเกิดเห็นเจ้าขวางหูขวางตาเข้าละก็…” หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ เขาไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ความโหดร้ายในดวงตาเขาก็แข็งกล้าเสียจนเกินจะซ่อนเร้น
หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ เพราะสำหรับเขาแล้ว ใครก็ตามที่กล้ามาแข่งขันกับเขาก็คือศัตรู! ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกว่าสิ่งที่จินตั้วหมิงพูดตอนจบนั้นฟังดูคุ้นหูพิกล เพราะเป็นวิธีการเดียวกับที่เขาใช้หลอกหลี่หว่านเอ๋อร์เมื่อครั้งก่อน
เมื่อมองเห็นความร้ายกาจในดวงตาของหวังเป่าเล่อ จินตั้วหมิงก็เริ่มกลัว เขาจึงเปิดปากพูดต่อทันที
“เป่าเล่อ ข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่จินตั้วหมิงกดดันข้าด้วยอำนาจของเขา…”
“ข้าจำได้ว่าผู้นำแห่งสหพันธรัฐต้องเป็นศิษย์จากหนึ่งสี่ยอดสำนักเต๋าศึกษา แต่มาตรฐานข้อนี้รวมถึงกลุ่มไตรจันทราด้วยหรือเปล่า” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็จ้องมองจินตั้วหมิง
จินตั้วหมิงกะพริบตาถี่ การจะพูดว่าเขาไม่ต้องการเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคงไม่ถูกนัก แต่หลังจากที่ชั่งน้ำหนักทุกอย่างแล้ว จินตั้วหมิงก็ยังตัดสินใจจะพูดความจริง
“ช่วงปลายปีที่แล้ว…ต้วนมู่ฉีส่งข้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว…ข้าไม่ได้ไปด้วยความเต็มใจ แต่เป็นคำสั่งของเจ้าต้วนมู่ฉีผู้ชั่วช้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมาอย่างเสแสร้ง จากที่รู้จักจินตั้วหมิงมา การบีบบังคับของต้วนมู่ฉีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น จินตั้วหมิงเองก็ต้องอยากจะรับโอกาสที่มีคนหยิบยื่นมาให้อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น แม้พวกเขาทั้งสองจะเคยร่วมงานกันมาบนดาวอังคารระยะหนึ่ง แต่จินตั้วหมิงก็ไม่ใช่กงเต๋า กงเต๋ายอมหวังเป่าเล่อ แต่จินตั้วหมิงนั้นหยิ่งผยองเกินกว่านั้นมาก
เพราะฉะนั้น อาจจะจริงที่ว่าจินตั้วหมิงไม่ได้เป็นผู้เริ่มเรื่องนี้ แต่ทว่าก็เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาต้องการคว้าโอกาสเอาไว้ แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ต้วนมู่ฉีเริ่มหลงตัวเอง ขณะนี้เมื่อได้รู้ว่าผลงานของหวังเป่าเล่อดีเกินกว่าที่เขาคาดการเอาไว้มาก ก็เลยเกิดกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะไปแทนที่เขาเมื่อถึงเวลากลับไปยังโลก
ต้วนมู่น้อย เจ้าล้ำเส้นเสียแล้ว หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะอย่างไรเสีย เขาก็กุมความได้เปรียบอยู่จากสิ่งที่เขาต้องประสบพบเจอในปีที่ผ่านมา แถมเขายังมีหน้ามีตาในสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย ตอนนี้การได้แต้มการรบสำหรับเขาเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเรียกรู้เคล็ดวิชาการฝึกตนให้ได้หนึ่งร้อยอันเพื่อที่ต้วนมู่น้อยจะได้หมดสิ้นความหวังและลาออกจากตำแหน่งแต่โดยดีสินะ! เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกภูมิใจในตนเองเล็กน้อย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นคนเดียวในสหพันธรัฐที่ทำให้ผู้นำแห่งสหพันธรัฐกลัวเสียเก้าอี้ได้
หวังเป่าเล่อโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้อีกต่อไป เมื่อเห็นดังนั้น จินตั้วหมิงก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้ว่าเขาจะมักใหญ่ใฝ่สูงเพียงใด แต่เขาก็ไม่อยากจะท้าทายหวังเป่าเล่อ สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่นั้นส่วนใหญ่ก็ออกมาจากใจจริง และเขายังพูดดักคอไว้ก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อในอนาคต
เพราะอย่างไรเสีย จินตั้วหมิงก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อแม้ภายนอกจะดูเป็นมิตร แต่ถ้าต้องการแล้วเขาก็จะกลายเป็นคนโหดร้ายขึ้นมาเมื่อใดก็ได้ ขณะนี้ จินตั้วหมิงลำบากใจยิ่งจึงต้องเยินยอหวังเป่าเล่อออกมาตามสัญชาติญาณ ก่อนจะพูดคุยกันอีกยาวจนกระทั่งจินตั้วหมิงจากไปเมื่อเวลาใกล้ค่ำ
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดหลังจากที่จินตั้วหมิงจากไป ชายหนุ่มคิดว่าต่อให้มีการหนุนหลังจากต้วนมู่ฉี ก็ยังเป็นการยากนักที่จินตั้วหมิงจะก้าวข้ามตัวเขาได้ เพราะฉะนั้น หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้เก็บมาคิดมากนัก และเริ่มทำสมาธิและฝึกเคล็ดวิชาฝึกตนต่อไปหลังจากที่กลับไปยังถ้ำที่พัก
หลายวันผ่านไป นอกจากประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพและจินตั้วหมิง ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่หวังเป่าเล่อรู้จักคุ้นเคยอยู่ในกลุ่มพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สองที่มาเยี่ยมเขา แต่ทว่า จั่วอี้เซียนไม่ได้โผล่หน้ามาเลย หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงติดต่อกับหยุนเพียวจื่อ เพื่อให้อีกฝ่ายส่งคนไปตามดูจั่วอี้เซียน เขาอยากจะหาโอกาสให้จั่วอี้เซียนได้สะสางปัญหากับจั่วอี้ฟานเสียที
แต่ทว่า จั่วอี้เซียนหายตัวไปในวันที่ห้าหลังจากมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน รวมถึงหยุนเพียวจื่อด้วย ทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึงเมื่อเขาคิดไปถึงสิ่งที่ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพพูด ชายหนุ่มกำลังใคร่ครวญสถานการณ์อยู่นั่นเองเมื่อมีข่าวใหญ่แพร่ไปในสำนักวังเต๋าไพศาลที่มาดึงความสนใจของเขาไปก่อน
ประมุขสำนักรุ่งสางจักรพิภพเป็นคนเริ่มข่าวนี้ ความตื่นตะลึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง ทุกๆ คนที่ได้ยินข่าวต้องสายตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง
ข่าวนั่นก็คือ…ประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพส่งคำขอแต่งงานไปให้เฟิ่งชิวหรัน!
แต่ทว่า คำขอนั้นไม่ใช่สำหรับตัวเขาเอง แต่เขาขอเฟิ่งชิวหรันแต่งงานในฐานะฑูตจากหลี่ซิงเหวิน!