หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 610 บรรลุและเดินทางกลับ
บทที่ 610 บรรลุและเดินทางกลับ
น้ำเสียงของเฉินชิงไม่ได้ฟังดูวางอำนาจหรือทรงพลัง แต่ทั้งดวงดาวก็พลันเงียบไปเมื่อเสียงของเขาดังขึ้น…ราชันอสูรเขี้ยวดาราสั่นเทิ้ม ความกลัวยากเกินจะทำใจเชื่อได้ปรากฏขึ้นในตา เป็นความรู้สึกที่อสูรกล้าแกร่งไม่เคยได้สัมผัส ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากพูด
เหล่าอสูรเขี้ยวดาราที่เหลือก็ตื่นกลัวไม่ต่างกัน คำพูดธรรมดาสามัญของเฉินชิงได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง กดทับสติสัมปชัญญะสูญหายไป
หวังเป่าเล่อเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน ในหัวของเขาอื้ออึงไปด้วยอัสนีกัมปนาท เขาเคยเข้าไปในมิติมืดและโดนเตือนเรื่องเฉินชิงมาจากท่านอาจารย์ เคยถึงกับนึกสงสัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนและศิษย์พี่เฉินชิงแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงแค่คิด ไม่เคยเตรียมใจว่าจะต้องมาพบกัน เขาไม่คาดคิดว่าตนจะได้มาพบคนในฝันซึ่งๆ หน้ารวดเร็วถึงเพียงนี้!
ความทรงจำในมิติมืดพลันผสานกับความเป็นจริง ภาพศิษย์พี่ที่เคยยิ้มและบอกว่าได้พบเนื้อคู่แห่งเต๋าในชาติภพหน้าค่อยๆ ผสานเป็นหนึ่งกับภาพใบหน้าบนฟากฟ้าเบื้องหน้า ทุกสิ่งกระจ่างชัดในบัดดล ความรู้สึกมากมายคุกรุ่นอยู่ภายในใจหวังเป่าเล่อ เขาอยากจะเอ่ยพูดแต่ก็ไม่สามารถขย้อนคำใดออกมาได้ ความคุ้นเคยและความแปลกหน้าผสมปนเปทำให้นิ่งเงียบไป
การปรากฏกายของเฉินชิงทำให้การเคลื่อนย้ายเป็นไปได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง คาถาที่รายล้อมรอบตัวชายหนุ่มที่นิ่งเงียบพุ่งสูงขึ้นก่อนจะค่อยๆ พาเขาหายวับไป
เหล่าอสูรเขี้ยวดารามองดูหวังเป่าเล่อจากไป ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัด พวกมันสั่นเทิ้ม เหลือบมองราชันของตน แต่ราชันกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาที่จับต้องมา ทำได้แต่สั่นกลัวและเฝ้าคอยการเสริมทัพจากเผ่าอสูรตนอื่นๆ อย่างเป็นกังวล
ร่างเงาของหวังเป่าเล่อเริ่มเลือนรางท่ามกลางความเงียบงัน เขาไม่ทันสังเกตว่าแม่นางน้อยเองก็เงียบไปหลังจากเฉินชิงมาปรากฏตัว เหมือนนางจะตื่นตะลึงไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายประกาศตน
การเคลื่อนย้ายเกือบจะเสร็จสิ้น เฉินชิงยิ้มบางขึ้น เหมือนว่าจะเข้าใจว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่จึงพูดขึ้นอย่างนิ่มนวล “ศิษย์น้องเป่าเล่อ ทางแห่งเต๋ารอเจ้าอยู่ เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มาก รีบจัดการเรื่องต่างๆ หลังจากกลับไป…ข้าจัดการเรื่องของตัวเองเสร็จเมื่อไหร่จะตามไปที่จักรพิภพของเจ้าและพาเจ้ากลับ!”
หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระส่ำเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอยากจะเอ่ยถามแต่การเคลื่อนย้ายก็เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน ร่างของชายหนุ่มหายวับไปจากดวงดาวพร้อมกับเสียงสั่นไหว ก่อนจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้งบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ กลับมาหยุดยืนอยู่หน้าวังลำดับเจ็ดของตำหนักวังบูชา!
พลังจากคาถาเคลื่อนย้ายพัดกระจายไปรอบๆ ดั่งพายุ ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม หน้าซีดเผือดจากระยะทางที่เดินทางข้ามมา ลมหายใจถี่แรงขึ้นจนผิดสังเกต ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายหลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของเฉินชิง
“ทางแห่งเต๋ารอข้าอยู่ หมายความว่าอย่างไรกัน เขาบอกด้วยว่า…จะพาข้ากลับไป” หวังเป่าเล่อสับสน ทั้งสองพบและจากกันอย่างรวดเร็ว ในใจยังเหลือปริศนามากมาย
สิ่งเดียวที่รู้ก็คือเฉินชิงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้ และตัวตนของเขาที่เป็นถึงราชันสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบไป
“ราชันสวรรค์ลำดับหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ พลันนึกขึ้นได้ว่าแม่นางน้อยเคยเล่าถึงบุคคลปริศนาน่าสะพรึงกลัวของตระกูลไม่รู้สิ้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนของสำนักแห่งความมืด ตอนแรกเขาก็คิดว่านางโกหกไปเรื่อยเปื่อย แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง
ชายหนุ่มยังคงนึกเคลือบแคลงใจเพราะมีอะไรบางอย่างผิดแปลก แม่นางน้อยบอกว่านางเป็นศิษย์ของบุคคลนั่น แต่หลังจากวิเคราะห์ดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าแม้นางจะพูดเกิดจริงไปบ้าง แต่นางก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นบางส่วนอยู่เหมือนกัน
“แม่นางน้อย เจ้า…รู้อยู่แล้วว่าราชันสวรรค์ลำดับแรกคือเฉินชิงใช่ไหม” เขาถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา
“…” แม่นางน้อยอ้าปากขึ้น แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถหาคำที่ตรงใจได้ ตอนที่เฉินชิงปรากฏตัวขึ้นในดาวเคราะห์ของเหล่าอสูรเขี้ยวดารา นางได้สบถคำหยาบโบราณมากมายออกมา เทียบกับคำปัจจุบันที่ใช้กันในสหพันธรัฐแล้วคงเป็นคำว่า ‘ฉิบหาย’
แม่นางน้อยสับสนไปหมด ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวตนของเฉินชิง อีกส่วนมาจากสิ่งที่นางเคยพูดกับหวังเป่าเล่อ วาจาของนางเหมือนจะแฝงไปด้วยพลังอะไรบางอย่าง อะไรก็ตามที่ออกจากปากมักจะกลายเป็นจริงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เหตุผลข้อหลังทำให้นางตื่นตกใจมากกว่าข้อแรก นางรู้สึกว่าตนน่าจะบรรลุขั้นการฝึกตนไปอีกขั้น เพราะไม่มีเหตุผลใดใช้อธิบายได้ว่าทำไมที่นางโกหกไปก่อนหน้าถึงกลายเป็นจริงได้โดยใช้เวลาไม่นาน นางเพิ่งจะตระหนักว่าตนมีพลังทรงอำนาจที่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่พูดให้กลายเป็นความจริงได้…
โชคดีที่แม่นางน้อยเองก็ได้ฝึกวิชาไร้ยางอายจนเชี่ยวชาญตลอดเวลาที่อยู่กับหวังเป่าเล่อ นางสูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง “ด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่สามารถอธิบายให้เจ้าฟังได้ทำให้ข้าต้องปิดบังความจริงไว้ ถ้าเจ้าเข้าใจ…เจ้าก็รู้ได้เอง แต่ถ้าไม่ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รู้เลยตลอดทั้งชีวิต” นางพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดดั่งคนมากประสบการณ์ รู้สึกประทับใจในความหัวไวของตนเอง นางไม่ได้โกหกชายหนุ่ม นางมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่รู้จะอธิบายออกไปอย่างไร เหตุผลนั่นก็คือ…นางไม่รู้ว่าจะโกหกต่ออย่างไรให้ฟังขึ้น
หวังเป่าเล่อตะลึงงันไป คำพูดของแม่นางน้อยดูจะแฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง เขาพยายามสงบใจตนเองจากการที่ได้พบกับศิษย์พี่เฉินชิงบนดาวของอสูรเขี้ยวดารา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองวังลำดับเจ็ดเบื้องหน้า หยุดคิดสักพักก็หยิบเอาแก่นในอสูรสองตนออกมาจากกำไลคลังเวท
ทันใดคลื่นปราณวิญญาณหนาแน่นก็พวยพุ่งออกมาจากแก่นใน กระจายล้นพื้นที่ หวังเป่าเล่อใจเต้นรัว การที่ตนได้มาหยุดยืนอยู่ตรงนี้หมายความว่าเขาได้ผ่านการทดสอบของวังลำดับหกแล้ว แต่กลับยังมีแก่นในอสูรอยู่กับตัว
ความคิดหนึ่งแล่นเข้าหัว ชายหนุ่มไม่มัวคิดมาก คนโง่ยังรู้ได้ว่าคงจะเป็นเพราะศิษย์พี่สุดแข็งแกร่งของตน เขาครุ่นคิดว่าจะใช้แก่นในอสูรอย่างไรดีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทน
“แม่นางน้อย สิ่งนี้กินได้ไหม” หวังเป่าเล่อถามหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้สิ เสร็จแล้วเจ้าก็แค่ ‘ตู้ม’ ร่างระเบิด วิญญาณแหลกไม่มีชิ้นดี ถ้าเจ้าไม่อยากรีบตายก็ค่อยๆ ใช้เมล็ดดูดกลืนสูบเอาพลังหล่อเลี้ยง เจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน ข้าได้กินผลกายาเทพตั้งแต่ยังเล็กเลยมีร่างกายอันไร้เทียมทาน ตอนอายุได้สามขวบ ข้ากินแก่นในอสูรระดับจิตวิญญาณอมตะเป็นขนมหวาน แก่นในพวกนี้เป็นขนมหวานชิ้นเล็กที่สุดที่ข้าเคยกินเลยนะ!” แม่นางน้อยพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่เน้นหนักตรงคำว่า ‘ตู้ม’
หวังเป่าเล่อกะพริบตา รีบโยนความคิดที่จะกินแก่นในอสูรทิ้งไปในทันใด เขานั่งลง วางแก่นในไว้เบื้องหน้า ครุ่นคิดสักพักก็ปลุกเมล็ดดูดกลืนในกาย พลันแรงสูบก็ปะทุออกมาห้อมล้อมรอบแก่นในอสูร
พริบตาเดียว ปราณวิญญาณมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากแก่นใน เมล็ดดูดกลืนของชายหนุ่มเป็นดั่งหลุมดำที่ดูดกลืนปราณวิญญาณทั้งหมดเข้าร่างไม่มีเหลือ พลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลายไปชั้นสมบูรณ์ในทันที
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ขณะเมล็ดดูดกลืนสูบเอาพลังปราณไม่หยุดหย่อน พลังปราณในกายหวังเป่าเล่อก็พุ่งสูงขึ้นเหมือนลูกโป่งพองลม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างต้นเอ่อล้นไปด้วยพลังจนแทบปริ เกินขีดจำกัดของตนเองไปอีกขั้น เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับเริ่มตรวจระดับการฝึกตนของตนเองก่อนจะตื่นเต้นดีใจหนัก
“ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์!”
หวังเป่าเล่อได้บรรลุขั้นการฝึกตนในเวลาสั้นๆ แม่นางน้อยอดอิจฉาความโชคดีของชายหนุ่ม แก่นในอสูรทั้งสองยังเต็มไปด้วยพลังปราณ เป็นเหมือนดังศิลาวิญญาณที่มีพลังไม่จำกัด สามารถให้พลังปราณได้เรื่อยๆ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นของขวัญส่วนหนึ่งที่ศิษย์พี่ของเขาให้มาหลังจากได้พบกันเป็นครั้งแรก!
อีกส่วนหนึ่งคือศพอสูรเขี้ยววิญญาณทั้งสอง ชายหนุ่มรู้ว่าร่างของอสูรระดับจิตวิญญาณอมตะถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าตั้งแต่ผิวหนังจนถึงกระดูก เขาวางแผนจะหาทางใช้ร่างทั้งสองหลอมเป็นหุ่นเชิด!
หากทำได้สำเร็จ ตนอาจจะเป็นใหญ่ในระบบสุริยจักรวาลก็เป็นได้
“คงจะใช้เวลาสักพัก ค่อยศึกษาหาวิธีตอนกลับสำนัก ถ้าหาวิธีไม่ได้จริงๆ ค่อยชำแหละเนื้อหนังไปจนถึงกระดูกแทน!” คิดดังนั้นหวังเป่าเล่อก็คึกขึ้นมา ช่างดีเสียจริงที่มีศิษย์พี่สุดเก่งกาจ