หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 623 อีกก้าวเดียวเท่านั้น!
บทที่ 623 อีกก้าวเดียวเท่านั้น!
ต้นไม้ยักษ์นั่งฟังประมุขสำนักสวีอย่างยิ่งเงียบ ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กับเขาเพื่อแย่งชิงโอกาสการบรรลุขั้นบนดวงจันทร์ สมองเขาเริ่มทำงานอย่างหนักขณะที่ต้นไม้ยักษ์เองไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา มีเพียงความสุภาพและอ่อนน้อมเท่านั้น เขายกมือขึ้นประกบกันก่อนจะโค้งคำนับต่ำ
“ข้าน้อยขอบคุณประมุขสำนักสวีสำหรับคำแนะนำ!”
ประมุขสำนักสวี ผู้ที่เพิ่งจะบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ จ้องมองต้นไม้ยักษ์ด้วยแววตาลุ่มลึกเปี่ยมความหมาย เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินนำไปยังวังของหวังเป่าเล่อเท่านั้น
ต้นไม้ยักษ์เดินตามมาอย่างเร่งรีบ ขณะที่ผู้มาใหม่เริ่มจะกระจายตัวกันออกไป ต้นไม้ยักษ์ก็เริ่มเดินตามประมุกสวีไปที่วังแห่งที่สี่บนยอดเขา
วิญญาณปราณหนักข้นอยู่ในอากาศ เพราะวิญญาณจุตินับสิบดวง แถมยังพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณของเมี่ยเลี่ยจื่อและผู้อาวุโสสูงสุดอีกสองคน วงแหวนปราณที่ทอดยาวและสูงจนครอบคลุมทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ ทุกๆ อย่างทำให้ต้นไม้ยักษ์อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ หัวใจของเขารู้สึกหนักหน่วงขึ้นทุกทีๆ
ซ้ำร้าย ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวังแห่งที่สี่ ต้นไม้ยักษ์ก็มองเห็นรูปปั้นขนาดยักษ์ของหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่ ช่างเป็นภาพที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชายวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากวัง ลมหายใจเขาถี่เร็ว สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างน่ากลัวขึ้นไปอีกก็คือสีหน้าที่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพนับถือของประมุขสำนักสวีเมื่อเขาก้มศีรษะคำนับประตูที่ปิดอยู่ ชายผู้นี้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณและสามารถจะเอาชนะต้นไม้ยักษ์ได้อย่างง่ายดาย
“สวีหยุนคุนคารวะผู้อาวุโสสูงสุด ข้าได้นำตัวสหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้มาแล้วตามคำสั่งของท่าน”
คลื่นอารมณ์ถาโถมจนต้นไม้ยักษ์แทบจะสิ้นสติจากฉากตรงหน้า แม้ว่าจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้เห็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณประพฤติกับหวังเป่าเล่อด้วยความนอบน้อมเช่นนี้ก็ทำเอาเขาแถบคุมลมหายใจเอาไว้ไม่อยู่ หัวใจเขาเต้นโครมคราม พลางค้อมศีรษะลงตามสัญชาติญาณพร้อมยกมือประสานก่อนจะกล่าวอย่างขมขื่น
“ต้นหอมหมื่นลี้แห่งดวงจันทร์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องโถงหลังจากการคารวะของทั้งคู่ ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงของหวังเป่าเล่อจึงดังขึ้นมา อย่างเนิบช้าและสงบ
“เข้ามาได้”
ประมุขสำนักสวีรู้ดีว่าเขาไม่ควรอยู่ร่วมการพบปะในครั้งนี้ เมื่อได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เขาจึงค้อมศีรษะลงคำนับอีกครั้ง ก่อนจะจากไปโดยไม่ได้จ้องมองมาทางต้นไม้ยักษ์อีก
ต้นไม้ยักษ์เริ่มตื่นตระหนกและถอนใจหนักในเวลาเดียวกัน เขาเดินวนเวียนอยู่นานก่อนจะกัดฟันและตัดสินใจเดินมุ่งตรงไปยังวัง เขาผลักประตูเปิดออก ร่างของหวังเป่าเล่อที่หันหลังอยู่ปรากฏขึ้นบนคลองจักษุทันทีที่เขาเดินเข้าไป
“ต้นหอมหมื่นลี้แห่งดวงจันทร์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด!” ต้นไม้ยักษ์ค้อมศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อมพร้อมยกมือประสาน พลางถอนใจอยู่ภายใน
ห้องโถงใหญ่ของวังนั้นโออ่ายิ่งนัก นอกเหนือจากเก้าอี้ขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงปลายด้านหนึ่งแล้ว ทั้งสองข้างก็เรียงรายไปด้วยเก้าอี้เจ็ดถึงแปดตัว รูปปั้นเก้ารูปตั้งอยู่รอบๆ โถง พวกมันดูเหมือนกับยามและมีพลังของวงแหวนปราณไหลบ่าออกมา ต้นไม้ยักษ์หวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง
หวังเป่าเล่อยืนหันหลังให้ต้นไม้ยักษ์อยู่ ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่ปลายสุดของห้องโถง จ้องมองไปยังรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินคำทักทายของต้นไม้ยักษ์แต่อย่างด ราวกับว่ารูปปั้นตรงหน้านั้นมีความลับที่เขาต้องใช้สมาธิอย่างสูงเพื่อถอดรหัสก็ไม่ปาน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า และหวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมา ชายหนุ่มยังคงเฝ้ามองรูปปั้นอยู่เช่นนั้น ความเงียบสงัดนั้นทรมานใจต้นไม้ยักษ์อย่างยิ่ง เขาวิตกกังวลจนเหนื่อยใจ รัศมีของวังเข้าโอบล้อมกายเขาไว้ ความกังวลก็เพิ่มสูงขึ้นทุกทีขณะที่ยืนรออย่างขมขื่น
ทุกสิ่งทุกอย่างแย่ลงอีกเมื่อ…ฉากที่คุ้นเคยเริ่มก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขา…ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์ก็เรียกตัวเขาเข้าไปในห้องทำงาน จากนั้นจึงได้ทำเช่นเดียวกันนี้กับหวังเป่าเล่อ เพื่อเป็นการสอนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง
สิ่งนี้คือการแก้เผ็ดของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจจะหยุดเขาได้ ทำได้เพียงแค่รออย่างเงียบงัน ประตูวังค่อยๆ เลื่อนปิดลงช้าๆ ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ปราณวิญญาณที่หนักข้นในอากาศนั้นก่อตัวเป็นหมอกวิญญาณอยู่ในห้องโถง
ภายใต้หมอกนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อแผ่รัศมีของความเป็นปริศนา ต้นไม้ยักษ์ยังคงไม่สบายใจมากขึ้นทุกขณะ สิบห้านาทีผ่านไป ขณะที่ความกลัวและวิตกกังวลของต้นไม้ยักษ์พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังกังวานไปทั่วทั้งโถง
“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะที่พูด
“เราได้พบกันอีกแล้ว!”
คำพูดเหล่านั้นฟังดูคุ้นหู ต้นไม้ยักษ์เริ่มสำนึกเสียใจ ศีรษะเขายังคงก้มต่ำ เขาไม่รู้จะต้องพูดตอบว่าอย่างไร
“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ากลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ของสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อดูเหมือนว่ากำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ สายตาของชายหนุ่มจับจ้องมาทางต้นไม้ยักษ์ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ต้นไม้ยักษ์กลุ้มใจ ชายวัยกลางคนเข้าใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรกบนดาวอังคาร เขาเองก็ถามคำถามคล้ายๆ กันนี้ เขารู้ดีว่าหวังเป่าเล่อคงต้องการให้เขาเล่นด้วย ยังรู้อีกด้วยว่าตัวเขาเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธหวังเป่าเล่อได้ ต้นไม้ยักษ์จึงทำใจและตอบออกไปว่า
“ทำไม…
“ทำไม เจ้าถามข้าหรือว่าทำไม” แสงประหลาดสะท้อนอยู่บนดวงตาของหวังเป่าเล่อ และสายฟ้าก็ปะทุขึ้นมาจากกายของชายหนุ่ม เขาจ้องมองที่ต้นไม้ยักษ์ก่อนจะพูดช้าๆ
“ก็เพราะว่าข้าอยู่ห่างจากขั้นกำเนิดแก่นในเพียงก้าวเดียว เพียงก้าวเดียว ก้าวเดียวเท่านั้น! ด้วยระดับปราณและความสามารถในการต่อสู้ของข้า หากข้าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในในตอนนั้น ข้าก็คงจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วในตอนนี้ ข้าก็คงจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นแน่!”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง คำพูดของเขาสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง วังทั้งหลังสั่นไหว มีแรงกดดันประหลาดรายล้อมรอบกายต้นไม้ยักษ์เอาไว้ ทำให้เอาเขาแทบทรุดตัวลงคุกเข่า
ต้นไม้ยักษ์ยิ้มแหยๆ ตัวเขาเองคุ้นชินกันถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอย่างดี เขาใช้คำเหล่านี้ข่มขู่หวังเป่าเล่อมาก่อนในอดีต หากมีทางเลือก ต้นไม้ยักษ์คงจะขอออกจากวังนี้และกลับไปยังดาวอังคารทันที
กระบี่สำริดเขียวโบราณเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินกว่าที่เขาจะมาอยู่ได้
สัมผัสอันตรายและไม่สงบนั้นไม่ได้จางหายไป หวังเป่าเล่อที่มีใบหน้าโกรธจัดเดินลงไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ ก่อนจะจับต้องมาที่ต้นไม้ยักษ์ด้วยสายเย็นชาก่อนจะพูด
“ข้ามาคิดดูแล้ว หากข้าลองกินผลไม้หายากในตอนนี้ ข้าจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณหรือไม่นะ…เช่นครึ่งหนึ่งของผลไม้ที่เจ้ากลืนเข้าไปเมื่ออยู่บนดวงจันทร์”
ศีรษะของต้นไม้ยักษ์ส่งเสียงสนั่นอื้ออึงเมื่อได้ยินคำนั้น เขาเริ่มหอบหายใจก่อนจะซวนเซถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้ มีพลังมหาศาลปรากฏขึ้นรอบกายเขา พลางจับเขาไว้ให้ยืนนิ่งอยู่กับที่
ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นอย่างรุนแรงด้วยความกลัวที่พวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจ หวังเป่าเล่อต้องการให้ส่งตัวเขาขึ้นมาบนสำนักวังเต๋าไพศาลเพราะเหตุนี้นั่นเอง!
ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจจะยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจขัดขืน หวังเป่าเล่อไม่ใช่อย่างเดียวที่กดดันเขาอย่างหนัก แต่สถานะของชายหนุ่ม ณ ที่นี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์ไร้ทางต่อต้าน แต่ชายวัยกลางคนก็ยังไม่หมดเล่ห์กล แม้ว่าเขาจะกำลังตื่นตกใจ เขาก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นที่นี่ และหากหวังเป่าเล่อต้องการจะกินเขาทั้งเป็น ก็คงจะไม่เสียเวลาพูดมากมายเท่านี้ ความจริงข้อนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์เริ่มมีความหวัง
“ผู้อาวุโสหวัง…ข้า…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้ารู้ด้วยว่าเจ้าเองก็เข้าใจดีว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะกินเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ แต่สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้เอ๋ย จงหยุดวางแผนชั่วช้าและการคาดเดาเสีย และจงจำไว้อย่างหนึ่งว่า…เจ้าติดหนี้ผลไม้ข้าลูกหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อขัดคอต้นไม้ยักษ์และพูดอย่างใจเย็น มีแววตาที่ยากจะหยั่งถึงปรากฏอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มที่ทำเอาต้นไม้ยักษ์ตัวสั่น ชายวัยกลางคนเข้าใจในตอนนี้เองหลังจากความเงียบปกคลุมอยู่ยาวนาน
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ต้นไม้ยักษ์ก็เข้าใจได้ว่าชายหนุ่มต้องการความช่วยเหลือของเขาในสำนักวังเต๋าไพศาล ด้วยเหตุนี้เองจึงเรียกตัวเขามาที่นี่ ต้นไม้ยักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะโค้งคำนับอีกครับ
ครั้งนี้ เขาตั้งใจเป็นพิเศษที่จะแสดงความเคารพออกมาอย่างชัดเจน
“ข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยจะทำทุกทางเพื่อสนองปรารถนาของนายท่าน!”
หวังเป่าเล่อพยักหน้า ชายหนุ่มชอบพูดคุยกับคนฉลาด ต้นไม้ยักษ์มาอยู่ที่นี่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเหตุนี้ เขาไม่ได้เรียกต้นไม้ยักษ์มาเพราะผลไม้แต่อย่างใด ชายหนุ่มเรียกอีกฝ่ายมาก็เพราะ…หลุมฝังศพที่เขาพบในพื้นที่ต้องสาปใกล้กับตำหนักวังบูชาต่างหาก!
จากการวิเคราะห์ของเจ้าเยี่ยเหมิง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นไม้จะสามารถเดินทางเข้าไปยังหลุมฝังศพนั้นได้ หวังเป่าเล่อเริ่มคิดหาคนที่เหมาะสมทันที ในความคิดของเขาแล้ว หากต้นไม้ยักษ์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไป ก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเข้าไปได้อีก
สิ่งนี้เองที่ทำให้หวังเป่าเล่อขอให้พาตัวต้นไม้ยักษ์มาพร้อมกับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สาม
“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ ข้ามีบางอย่างจะเสนอ ท่านทำงานให้ข้าอย่างหนึ่งแล้วข้าจะไม่เพียงแต่ลืมเรื่องราวในอดีต แต่ยังจะให้โอกาสท่านได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณอีกด้วย!”
หวังเป่าเล่อพูดอย่างนุ่มนวลด้วยเสียงต่ำ เสียงของชายหนุ่มกังวานไปตามระแหวนปราณในวัง เสียงสะท้อนก้องนั้นพอที่จะสั่นไหวหัวใจทุกผู้คนที่ได้ยิน