หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 626 หลุมฝังศพของศิษย์แห่งเต๋า!
บทที่ 626 หลุมฝังศพของศิษย์แห่งเต๋า!
การหลอมรวมนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก ทั้งรุนแรงและขลุกขลักยิ่งเพราะว่าไม่มีการบอกกล่าวหรือขออนุญาตใดๆ ก่อนทั้งสิ้น ช่างเป็นกระบวนการที่ยากลำบาก แต่ทว่าตามความเข้าใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่ออาวุธเวท ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ากว่าจะได้มาซึ่งการยอมรับจากอาวุธเวทนั้นยากยิ่ง แขนที่หักข้างนั้นก็คงจะไม่ต่างกัน
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่มีใครนอกจากเจ้านายแต่เดิมของมันเท่านั้นที่จะทำให้มันศิโรราบได้โดยง่าย หวังเป่าเล่อไม่ได้ต้องการให้แขนยอมแพ้ คิดเพียงแต่อยากจะนำมาใช้ให้ได้เท่านั้น
สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มคิดว่าจะเป็นปัญหาก็คือพลังงานและแรงสะท้อนกลับจากการใช้แขนข้างนั้นเท่านั้น เป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงเลือกที่จะนำแขนมาหลอมรวมกับเกราะจักรพรรดิลักอัคคี เพื่อให้แขนไปดูดกินพลังงานจากเกราะแทน แถมความเสียหายจากแรงสะท้อนกลับก็จะไปอยู่บนเกราะแทนอีกด้วย
หมายความว่า ไม่เพียงแต่หวังเป่าเล่อจะได้พลังของแขนมาใช้ แต่เขายังลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บลงไปได้มากโข เป้าหมายและแผนการในครั้งนี้ของหวังเป่าเล่อถือได้ว่าเสร็จสมบูรณ์
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการผสานรวมที่สมบูรณ์แบบ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพอใจกับผลที่ออกมาอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าจุดตันเถียนและเส้นใยสีขาวภายในเกราะจักรพรรดิลักอัคคีนั้นรีบเคลื่อนที่เข้าไปในแขนทันที ทำให้ดูราวกับว่าแขนเป็นส่วนหนึ่งของชุดเกราะไป ความข้องเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นนี้ทำให้ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่อยู่ในแขนที่หักข้างนั้น ที่อยู่ในสภาวะหลับลึก
เฉกเช่นเดียวกับวิญญาณวุธ เพราะเหตุใดไม่ทราบแน่ แต่มันก็ยังคงหลับใหล ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ถึงการล่วงล้ำของเกราะจักรพรรดิลักอัคคีแม้แต่น้อย
ตราบใดที่ดวงจิตนี้ยังคงอยู่ ข้าก็ไม่อาจจะเป็นเจ้าของและครอบครองแขนข้างนี้ได้โดยสมบูรณ์…แต่ข้าก็ไม่ได้รีบร้อนสักเท่าใด เมื่อใดที่ข้าบรรลุขั้นจุติวิญญาณค่อยมาลองขับไล่มันดูอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อคิด จากนั้นจึงก้มศีรษะลงมองแขนขวาที่ติดอยู่กับเกราะจักรพรรดิของเขาก่อนจะยิ้มออกมาได้
ชายหนุ่มสวมใส่ชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีอยู่ และมีเกราะกำบังเกิดขึ้นทั่วทั้งกาย ยกเว้นแต่บริเวณแขนขวา ที่ขณะนี้บวมเป่งจนน่าสะพรึงกลัว! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ใส่ใจกับต้นไม้ยักษ์ที่ยังคงตกตะลึงกับการผสานรวมกับแขนของเขา หวังเป่าเล่อเรียกใช้พลังปราณและเพิ่มพลังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นชุดเกราะก็ถูกอาบท่วมไปด้วยสีแสงสด
รัศมีแห่งความกระหายเลือดปะทุปกคลุมอากาศ คลื่นพลังงานที่รุนแรงยิ่งกว่าระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อถูกปลดปล่อยออกมา นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย ก่อนที่เขาจะนำเอาปราณวิญญาณทั้งหมดจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเข้ามาอยู่ในแขนขวา พลางพยายามหลบเลี่ยงดวงจิตที่หลับใหลอยู่ แขนขวาเริ่มจะสั่นไหวด้วยความช่วยเหลือจุดตันเถียนและเส้นใยสีขาว วินาทีถัดมา…หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้สึกว่าแขนขวาของเกราะนั้นกลายมาเป็นแขนของเขาเอง
มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ต้นไม้ยักษ์เฝ้ามองอย่างไม่เชื่อสายตาขณะที่เกราะจักรพรรดิลักอัคคีกำมือขวาเข้าเป็นกำปั้นอย่างยากเย็น!
พลังอันน่าตื่นตะลึงปะทุออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นไปแปรเปลี่ยนท้องฟ้า สายลมพัดคะนองคลั่ง หมู่เมฆเลื่อนไหลหมุนวน และทะเลเพลิงที่รายล้อมพวกเขาอยู่ก็เริ่มขยับเป็นจังหวะเดียวกันกับพลังที่ไหลบ่าออกมา
พลังอันน่าตื่นตะลึงของรัศมีทำเอาหวังเป่าเล่อหายใจติดขัด พลังนั้นไม่ออกมาจากร่างของเขาแต่มาจากแขนขวาของเกราะ หวังเป่าเล่อสงบใจลงอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาเปล่งประกายด้วยความยินดี อาจจะโชคร้ายอยู่สักหน่อยที่เขาไม่อาจจะควบคุมแขนได้โดยสมบูรณ์ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก
ข้าไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ข้าสามารถใช้แขนได้ก็ถือว่าสำเร็จ อีกอย่าง ตอนนี้แขนก็อยู่ในการครอบครองของข้า มันจะหนีไปไหนเสียได้ หวังเป่าเล่อเฝ้ามองผลของพลังอันยิ่งใหญ่ที่แขนมีต่อสิ่งรอบข้างอย่างตื่นเต้น เขาสุดจะลิงโลดใจกับพลังมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาจากมือข้างขวา พลังนี้สามารถจะทลายทุกสิ่งที่ขวางทางได้เมื่อถูกปลดปล่อยออกมา!
หวังเป่าเล่อเต็มล้นไปด้วยความยินดี ชายหนุ่มเชื่อว่าหากเขามีโอกาสได้ต่อสู้กับซุนไห่อีกครั้ง เขาก็คงไม่ต้องออกแรงมากนัก เพียงแค่หมัดเบาๆ…อีกฝ่ายก็จะต้องย่อยยับและการต่อสู้ก็จะจบลงทันที!
หวังเป่าเล่อไม่ได้ทดสอบพลังของกำปั้นแต่อย่างใด แต่เพียงแค่การกำหมัดก็ยังปล่อยพลังมหาศาลที่เปลี่ยนแปลงท้องฟ้าและผืนแผ่นดินรอบกายเขา ต้นไม้ยักษ์ที่แม้จะยืนอยู่ห่างออกไประยะหนึ่งก็ยังตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ พลังปราณของเขาถูกสะกดเอาไว้ด้วยการแสดงพลังก่อนหน้า ศีรษะเขาตื้อตึง ดูราวกับว่าว่าหวังเป่าเล่อมีพลังจะทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาได้ด้วยการใช้หมัดขวาชกใส่เพียงครั้งเดียว
ต้นไม้ยักษ์รู้สึกหวาดกลัวหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะที่เขายืนตัวสั่นอยู่นั่นเอง นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายวาบขึ้นมา หวังเป่าเล่อหันมาทางต้นไม้ยักษ์และพูดขึ้นอย่างปุบปับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เอาของที่เจ้าหยิบมาจากหลุมฝังศพนั้นมาให้ข้าดูเสีย”
ต้นไม้ยักษ์รู้สึกว่าสมองตื้อชาหลังจากที่ได้ยินคำของหวังเป่าเล่อ เขาทั้งวิตกกังวลและไม่แน่ใจเพราะสัมผัสอันตรายเมื่อครู่ยังไม่จางหาย ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าคลังเก็บทุกใบออกมาอย่างไม่รีรอ ถึงกับยอมปลดเสื้อผ้าออกให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนเร้นสิ่งใดเอาไว้อีก ก่อนจะละล่ำละลักออกมาว่า
“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้กับตัวเลย กระเป๋าคลังเก็บทั้งหมดที่ข้ามีก็อยู่ตรงนี้แล้ว ท่านตรวจสอบดูได้ ท่านจะลงโทษข้าอย่างใดก็ได้หากท่านพบว่าข้าซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้อีก!”
หวังเป่าเล่อยกมือซ้ายขึ้นคว้าอากาศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บรรดากระเป๋าคลังเก็บก็พุ่งตัวเข้าไปหาเขาทันที ชายหนุ่มตรวจสอบกระเป๋าทีละใบจนแน่ใจว่าต้นไม้ยักษ์ไม่ได้ซ่อนสมบัติจากหลุมฝังศพเอาไว้ ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองต้นไม้ยักษ์เป็นเวลานาน ก่อนจะเรียกใช้พลังจากแขนขวาอีกครั้ง ต้นไม้ยักษ์กลัวจนตัวสั่น หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาอย่างเนิบช้าว่า “เล่าให้ข้าฟังเสียว่าเจ้าเห็นอะไรบ้างในหลุมฝังศพนั้น!”
ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นด้วยความกลัว ก่อนจะเริ่มเล่าอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด
“ผู้อาวุโสขอรับ ภายใต้หลุมฝังศพนั้นมีวังใต้ดินอยู่ หมอกสีเขียวเข้มข้นเกินไป ข้าไม่อาจเข้าใกล้ชั้นนั้นได้ ข้าเข้าไปลึกที่สุดตรงบริเวณที่พบแขนที่หักสะบั้นข้างนั้นและแขนนั้นก็เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่หยิบออกมาได้ ข้าไม่อาจจะล่วงรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในวังแห่งนั้นขอรับ”
“ข้าคิดจะแอบลอบเข้าไปในวังและบันทึกทุกสิ่งที่ข้าได้ยินด้วยแหวนสื่อสาร แต่ทว่าแหวนก็ไม่อาจจะใช้การได้…” ขณะนั้น ต้นไม้ยักษ์กังวลหนักว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เชื่อที่เขาพูด จึงรีบนึกย้อนกลับไปในความทรงจำ ณ ช่วงเวลานั้นอย่างเร่งรีบ ก่อนจะนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้และเริ่มเล่าต่อ
“มีอีกสิ่งหนึ่งขอรับ ข้าเห็นแผ่นหินข้างในนั้นเช่นกัน หมอกหนานัก ข้าจึงไม่อาจจะมองเห็นสิ่งที่สลักอยู่ได้ชัดเจน ข้าเห็นเพียงแค่สี่คำคือ ศิษย์แห่งเต๋าเฉิน… เหตุที่ข้าอ่านออกก็เพราะว่าพวกเราพันธุ์กล้ารุ่นที่สามนั้นต้องเรียนภาษาพูดและเขียนของสำนักวังเต๋าไพศาลก่อนจะออกเดินทาง” ต้นไม้ยักษ์อธิบายอย่างเร่งรีบ เขาพูดตามจริงและไม่ปิดบังสิ่งใดจากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย หลังจากที่พูดจบ เขาก็ยืนนิ่งจ้องมองหวังเป่าเล่อ ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล
หวังเป่าเล่อชะงักเมื่อได้ยินต้นไม้ยักษ์พูดถึง “ศิษย์แห่งเต๋าเฉิน” นัยน์ตาของเขากระตุกและศีรษะก็เริ่มเวียน ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน โชคยังดีที่ชายหนุ่มยังปลอดภัยอยู่ภายใต้เกราะจักรพรรดิ ซ่อนจากสายตาของต้นไม้ยักษ์ หาไม่แล้ว ต้นไม้ยักษ์ที่ฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อยคงจะต้องรู้สึกสงสัยเป็นแน่
ต้นไม้ยักษ์ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป ในขณะที่หวังเป่าเล่อนั้นตื่นตะลึงกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับมา ต้นไม้ยักษ์ไม่ระแคะระคายเกี่ยวกับคำไม่กี่คำที่ได้เห็นมานี้ แต่หวังเป่าเล่อคิดอะไรบางอย่างออกทันทีที่ได้ยิน
“ศิษย์แห่งเต๋าอู๋เฉิน…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเองอยู่เงียบๆ ชายหนุ่มก้มลงมองแขนขวาของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อตนเอง
บัดซบ…นี่ข้าไปรุกรานหลุมฝังศพของหลี่อู๋เฉินในชาติปางก่อนอย่างนั้นหรือ
ความคิดนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อร้อนรน ชายหนุ่มยังไม่อาจหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลยขณะที่นำตัวต้นไม้ยักษ์กลับออกไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล
แขนข้างนี้เป็นของหลี่อู๋เฉินในชาติปางก่อนอย่างนั้นหรือ ถ้าใช่ ในชีวิตก่อนหน้านี้นั้นเขาทรงพลังสักเพียงใดกัน…หวังเป่าเล่อคิดหนัก ดูเหมือนว่าเขาจะรนหาที่ตายเสียแล้ว ความบาดหมางก่อนหน้าระหว่างเขากับหลี่อู๋เฉินก็ยังไม่เสื่อมสลายไป เมื่อมารวมกับสิ่งนี้ ความแค้นระหว่างทั้งสองก็ดูเหมือนจะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ
แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจจะทิ้งขว้างแขนนั้นไปได้ง่ายๆ หวังเป่าเล่อคิดไม่ตก เพราะเขาไม่อาจจะสังหารหลี่อู๋เฉินได้ เหตุผลแรกเพราะเฟิ่งชิวหรันรู้ว่าหลี่อู๋เฉินเป็นใคร ข้อสอง สถานการณ์ยังไม่บีบบังคับให้เขาถึงกับต้องสังหารอีกฝ่าย อีกอย่างหนึ่ง หากพวกเขาเกิดจะต้องประมือกันขึ้นมาจริงๆ หลี่อู๋เฉินก็เป็นถึงศิษย์แห่งเต๋าในชาติปางก่อน หวังเป่าเล่อเชื่อว่าหลี่อู๋เฉินต้องมีกลเม็ดเด็ดพรายที่ซ่อนเอาไว้เพื่อใช้ในการเอาชีวิตรอดอยู่เป็นแน่
แม้ว่าตัวหลี่อู๋เฉินเองก็อาจจะไม่รู้ว่าเขามีวิชาซ่อนเร้นอยู่จนกว่าจะได้รับความทรงจำจากชีวิตที่แล้วกลับคืนมา แต่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้หลี่อู๋เฉินเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวทีเดียว
ช่างยุ่งยากเสียจริง ข้าต้องหาวิธีป้องกันตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้หลี่อู๋เฉินมาทำอะไรข้าได้ แม้ว่าเมื่อได้ความทรงจำคืนมาแล้วก็ตาม…
หวังเป่าเล่อได้แต่ลอบถอนใจ ชายหนุ่มไม่ได้มีอารมณ์จะไปตอแยกับต้นไม้ยักษ์อีก กลับกัน เขากลับนิ่งเงียบและคิดอยู่คนเดียวพลางเดินทางกลับไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ต้นไม้ยักษ์ตามหลังมา และลอบถอนใจเงียบๆ เขาเองก็มีความกังวลใจที่คล้ายคลึงกัน สำนักวังเต๋าไพศาลแห่งเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินไปสำหรับเขา ทำให้ต้องคิดหาทางทำให้มันปลอดภัยขึ้นให้ได้ แถมยังต้องสร้างคุณค่าไม่ให้ให้หวังเป่าเล่อสังหารเขาทิ้งทันทีที่หมดประโยชน์
ต้นไม้ยักษ์ครุ่นคิดอยู่เป็นนานก่อนจะนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องอื้อฉาวที่เขาเคยได้ยินเมื่อครั้งอยู่บนดาวอังคาร เกี่ยวกับหวังเป่าเล่อและลูกสาวหัวหน้าเสนาบดี หลี่หว่านเอ๋อร์ ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในใจ ต้นไม้ยักษ์เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ผู้อาวุโส ในช่วงสองปีที่ท่านอยู่บนสำนักวังเต๋าไพศาลมา ข้าได้รับอุปการะลูกบุญธรรมคนหนึ่ง นางนิยมชมชอบท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านจะช่วยเรียกนางมาพร้อมกับคนจากสหพันธรัฐรุ่นต่อไปได้หรือไม่ เพื่อที่นางจะได้ติดตามและดูแลท่านไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”