หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 635 แหวกม่านบดบัง!
บทที่ 635 แหวกม่านบดบัง!
ผู้ฝึกตนหลายคนในสำนักวังเต๋าไพศาลรีบวิ่งมาเมื่อเห็นเหตุจลาจล แม้จะอยู่ห่างออกไป แต่หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นอาการตื่นตะลึงที่ฉายชัดบนใบหน้า ได้ยินกระทั่งเสียงหายใจถี่หนักของพวกเขา
“เป่าเล่อ เจ้า…”
“หวังเป่าเล่อ เจ้าทำอะไรของเจ้า”
หวังเป่าเล่อไม่ได้หันไปมองทางฝูงชนที่กำลังส่งเสียงฮือฮาด้วยความตื่นตกใจ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของประมุขสำนักสวี เจ้าเยี่ยเหมิง และคนอื่นๆ สายตายังจับจ้องไปทางเฟิ่งชิวหรันที่กำลังอ่อนแรง ชายหนุ่มค่อยๆ หรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้อย่างรวดเร็ว ทันใดกระสุนลมก็พุ่งเจาะทะลุหน้าผากของเฟิ่งชิวหรันไป
เฟิ่งชิวหรันตัวแข็งทื่อ ดวงตาแฝงแววขมขื่นของนางเบิกกว้าง ความรู้สึกมากมายฉายชัดขึ้นในแววตา นางจ้องหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบก่อนจะสิ้นลมไป!
“คาถาคลายหรือยังนะ…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเองขณะจ้องมองศพตรงหน้า เขาหันไปมองเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่กำลังทำหน้าตื่นตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
“หวังเป่าเล่อ เจ้าบ้าไปแล้ว!”
“เป่าเล่อ!”
“เจ้านั่นฆ่าผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน!”
ฝูงชนระเบิดเสียงตื่นตกใจ บางคนนิ่งอึ้งไป บางคนสั่นกลัว อีกส่วนหนึ่งกำลังคลุ้มคลั่ง เหตุการณ์กำลังจะปะทุเดือดจนยากเกินควบคุม ทันใดนั้นประมุขสำนักสวีก็ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกับร้องคำรามขึ้น
“เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าปกป้องผู้อาวุโสหวังเป่าเล่อ พวกเราจะออกจากที่แห่งนี้กัน!”
เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่กำลังตื่นตกใจตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินเสียงคำสั่ง แม้ใบหน้าแสดงชัดเจนถึงอารมณ์สับสนปนเป แต่พวกเขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อล้อมเป็นวงคุ้มกันตามคำสั่งของประมุขสำนักสวี
ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทำเช่นนั้นได้ พวกเขารีบเข้าไปหยุดกลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ศึกระหว่างสองฝั่งพลันบังเกิด ความตายแผ่กระจายไปทั่วราวกับไฟลามป่า เสียงผู้คนปะทะกันดังก้องฟ้า ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนรีบทะยานเข้ามาเสริมทัพ นัยน์ตาของพวกเขาฉายแววกราดเกรี้ยว
“เป่าเล่อ ข้าเชื่อว่าเจ้ามีเหตุผลบางอย่างถึงทำเช่นนั้นไป แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดอะไรแล้ว รีบไปที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เขาต้องรีบออกจากที่นี่และกลับไปยังสหพันธรัฐ!” ประมุขสำนักสวีตะโกนใส่หวังเป่าเล่อด้วยความลนลาน เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าหน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปหาชายหนุ่ม
ทั้งสองพุ่งเข้าไปขนาบข้าง หิ้วปีกหวังเป่าเล่อที่กำลังจ้องศพเฟิ่งชิวหรันด้วยความงุนงงคนละฝั่ง จากนั้นก็ลากชายหนุ่มทะยานตรงไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย
สำนักวังเต๋าไพศาล ณ ตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงต่อสู้ เสียงร้องคำราม เสียงระเบิดรุนแรง และแสงคาถา หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบตลอดทางขณะเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าพาตัวไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ขณะที่กำลังจะถึง หวังเป่าเล่อก็หยุดยืนนิ่งและพูดพึมพำกับตนเอง
“ข้าเชื่อ…”
“พึมพำอะไรของเจ้า เป่าเล่อ เร็วเข้า รีบเข้าไปในวงแหวนเคลื่อนย้าย!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย รีบฉุดหวังเป่าเล่อเข้าไปในวงแหวนเคลื่อนย้าย แต่ชายหนุ่มกลับไม่ไหวติงแม้แต่นิด นางหันกลับมามอง ไม่ได้เห็นแววตางุนงงของชายหนุ่มเหมือนเมื่อครู่ เพราะบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า!
“ข้าบอกว่าข้าเชื่อในตัวแม่นางน้อย ข้าเชื่อในการตัดสินใจและสัญชาตญาณของข้า!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา จากประสบการณ์ในมิติมืดทำให้เขารู้เรื่องมิติมายามากขึ้น หากตอนนี้ติดอยู่ในห้วงความฝันหรือมิติมายาจริง ที่เขาต้องทำก็คือตามหาและกำจัดต้นตอทิ้ง
เพียงตามหาและกำจัดต้นตอทิ้งก็จะสามารถทำลายมิติมายาลงได้ มิติมืดสอนให้เขารู้ว่าต้นตอมักจะซ่อนอยู่ในสิ่งมีชีวิต
คนแรกที่หวังเป่าเล่อนึกถึงคือเฟิ่งชิวหรัน นางเป็นคนที่คุ้นเคยกันดีและมีระดับการฝึกตนสูงจึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นต้นตอของมิติมายา แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหลังจากนางตาย
ข้าคิดถูก…เพียงแค่ยังหาต้นตอไม่เจอ! ทุกอย่างดูสมจริงมาก การจะสร้างให้สมจริงเช่นนี้ต้องอาศัย…ความทรงจำของทุกคนถึงจะสามารถกลบช่องโหว่ทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นตอนที่ข้าสนทนากับคนอื่นๆ!
เช่นนั้นแล้ว ความทรงจำของทุกคนรวมถึงตัวข้าคือรากฐานของมิติมายานี้ แต่…ก็มีเพียงแค่ความทรงจำ ไม่ใช่คนจริงๆ ถึงจะได้ความทรงจำมา แต่ก็ไม่มีทางสร้างหลักการให้เหตุผลและสัญชาตญาณของพวกเขาขึ้นได้ หวังเป่าเล่อหันมามองเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาเป็นกังวล
“เยี่ยเหมิง เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ช่วยข้าคำนวณที สมมติว่าต้องส่งผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลับจำนวนมาก หากนำความสามารถของผู้ฝึกตนแต่ละคนและโดยภาพรวม รวมถึงการที่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมุ่งมั่นหยุดเราไว้มาใช้เป็นตัวแปร จะต้องทำการเคลื่อนย้ายกี่ครั้งและต้องแบ่งผู้ฝึกตนออกเป็นกลุ่มละกี่คนถึงจะสามารถส่งผู้ฝึกตนกลับไปได้มากที่สุด มีทางไหนที่จะช่วยส่งผู้ฝึกตนกลับไปได้เพิ่มไหม แล้วจำนวนที่มากที่สุดที่เจ้าคาดการณ์ไว้คือเท่าไหร่”
เจ้าเยี่ยเหมิงงุนงงกับคำถามกะทันหันของหวังเป่าเล่อ ดวงตาของนางฉายแววเป็นกังวลขณะตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“นี่ไม่ใช่เวลามามัวพูดอะไรไร้สาระ เป่าเล่อ เจ้ามัวทำอะไรอยู่ รีบเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!”
“เยี่ยเหมิง ได้โปรดช่วยข้าคิดทีเถิด” หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมกับเอ่ยเว้าวอน
“เป่าเล่อ เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกลับ…” กงเต๋ารีบเสริมขึ้น ก่อนจะทันได้พูดจบ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ แววความหวาดหวั่นในสายตาของเจ้าเยี่ยเหมิงทำให้เขาได้คำตอบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นเทิ้มขณะรอยกรีดเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นบนลำคอ เลือดสดพลันพวยพุ่งออกมา นางจ้องหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสับสน ก่อนจะล้มลงพื้นไป
กงเต๋าตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เขาหายใจถี่รัวขณะเซถอยหลังไป ชายหนุ่มจ้องหวังเป่าเล่อด้วยแววตางุนงงสับสน ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า ไม่เคยรู้จักอยู่
“กงเต๋า ข้าเรียกเจ้าว่ากงเต๋าไปก่อนแล้วกัน เจ้าช่วยอะไรข้าได้ไหม ไปซุ่มโจมตีชายผู้นั้นที” หวังเป่าเล่อเอ่ยขอพร้อมกับชี้มือไปทางผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังต่อสู้อยู่ไกลออกไป
“ข้า…” กงเต๋าสะดุดถอยหลัง เริ่มหายใจติดขัด เขาอาจจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองกำลังฉายแววลนลาน หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง เขาถอนใจ ยกมือขวาขึ้นโบก พลันคมกระบี่ก็ฉายวาบขึ้น ทิ้งรอยโหว่ไว้ตรงทรวงอกของกงเต๋า ร่างไร้วิญญาณของคนตรงหน้าร่วงลงพื้น ชายหนุ่มพูดพึมพำขึ้น
“ยังไม่คลายอีกหรือ ต้นตอของมิติมายา…ไม่ใช่เฟิ่งชิวหรันหรือคนใกล้ชิดของข้า แล้ว…จะไปอยู่ที่ไหนกัน” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย รู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดเกินบรรยายและภัยอันตรายที่เข้าเกาะกุมหัวใจ เขารู้ว่าถ้าไม่ทำลายมิติมายาให้ได้โดยเร็ว ตนอาจจะ…ไม่มีโอกาสอีกต่อไป
ชายหนุ่มหันมองฝูงชนที่กำลังต่อสู้กัน เห็นจั่วอี้ฟาน หลี่อี้ และจินตั้วหมิง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดตรง…ต้นไฮยาซินที่อยู่บนยอดเขา!
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มทันทีที่เห็นต้นไฮยาซิน เขาได้กลิ่นดอกไม้แปลกจมูกอีกครั้ง สัญชาตญาณภายในร้องบอก จริงๆ แล้วมีเสียงหนึ่งในใจพยายามตะโกนบอกว่าต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมด…คือต้นไม้ต้นนั้น!
เขาไม่ลังเลใจ รีบพุ่งตรงไปยังต้นไฮยาซิน ผู้คนรอบกาย ไม่ว่าจะเป็น ประมุขสำนักสวี จั่วอี้ฟาน กลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ หรือเล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลต่างหันไปจ้องชายหนุ่มตาไม่กะพริบ พวกเขารีบพุ่งตามไป พยายามจะหยุดเขาไว้!
แต่ก็สายเกินไป!
ชายหนุ่มปลดปล่อยเกราะจักรพรรดิลักอัคคี พลังปราณคุกรุ่นอยู่ภายในขณะพลังอาวุธเทพเข้าห้อมล้อมแขน พลังแกร่งกล้ากว่าครั้งไหนๆ พวยพุ่งขึ้นฟ้า หวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่กลางอากาศผสานกับอาวุธเทพได้สมบูรณ์ เป็นดั่งดาวหางพุ่งผ่าสรวงสวรรค์ตรงไปบดขยี้ต้นไฮยาซิน
หมัดดวงหางพุ่งปะทะเป้าหมาย เสียงกรีดร้องดังขึ้น ต้นไฮยาซินสั่นไหวรุนแรงก่อนจะโค่นตัวลง อัสนีบาทคำรามบนฟากฟ้า โลกทั้งใบพลันเปลี่ยนผัน เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลกลายเป็นเงาดำก่อนจะจางหายไป ทะเลเพลิงรอบสำนักวังเต๋าไพศาลปะทุเดือดก่อนจะยุบหาย ราวกับมีลมแรงพัดม่านบดบังทิ้งไป เผยให้เห็นศพนับไม่ถ้วนกองอยู่รอบตัวเขา!
ไกลออกไป สายโลหิตได้มารวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลหลากไปไกลสุดขอบฟ้า มองไม่เห็นปลายสาย เกาะรอบกายเผยตัวตนที่แท้จริงหลังจากม่านถูกเปิดออก!
แท้จริงแล้วคือซากศพมากมายมากองรวมเป็นภูเขา!
กองซากศพกระจัดกระจายไกลสุดลูกหูลูกตา มีดอกไม้สีแดงงอกอยู่บนศพเหล่านั้น บางดอกบานสะพรั่ง บางดอกยังตูมอยู่ ส่งกลิ่นคุ้นเคยลอยคลุ้งทั่วบริเวณ
ฟากฟ้าได้แปรเปลี่ยน บัดนี้ไม่ใช่ผืนนภาของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกต่อไป ดวงอาทิตย์ขนาดมหึมาฉายแสงอยู่กลางอากาศ หากมองดูให้ชัดจะเห็นว่าดวงอาทิตย์ดวงนี้แท้จริงแล้วคือศพอสูรขนาดยักษ์ แสงที่สาดส่องให้ความอบอุ่นอันแสนประหลาด ทันใดที่ต้องกับสิ่งเบื้องล่างก็กลายเป็นดวงแสงแห่งความตาย
ที่นี่ไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาล!
ที่นี่คือเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น!