หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 640 เพรียกหา!
ฟากฟ้ามืดสี แม้ศพอสูรขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องนภาจะส่องสว่างเหมือนกับดวงอาทิตย์ แต่ก็ไม่สามารถมอบแสงสว่างให้กับดินแดนแห่งนี้ได้ หวังเป่าเล่อเห็นทางเบื้องหน้าส่องแสนเลือนรางขณะที่เส้นทางอื่นๆ มืดสนิท
แต่ถ้าเป็นผู้ฝึกตนก็สามารถมองได้ชัดหากมีพลังวิญญาณไหลผ่านดวงตา ดงดอกปีศาจราเขียวที่กระจายอยู่ทั่วดินแดนก็ช่วยส่องทางให้อีกแรง เหล่าดอกไม้ส่องแสงสีแดงจางๆ ให้พื้นที่รอบตัวสว่างขึ้นมาหน่อย
ทัศนียภาพเบื้องหน้าคงจะต่างออกไปมากหากไม่มีศพมากมายนับไม่ถ้วนนอนกองอยู่ การมีอยู่ของมันทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นบุตรแห่งความมืด แต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับภาพความตายสักเท่าไหร่ สำนักแห่งความมืดนั้นมีอำนาจจัดการความตาย แต่หน้าที่ที่แท้จริงคือการนำทางเหล่าดวงวิญญาณ เหล่าศพบนโลกใบนี้ได้ตายไปนานโข ตัวตนของพวกมันจึงไม่ต่างกับหุ่นเชิดที่มีเลือดเนื้อ
พลังที่คอยควบคุมหุ่นเชิดเหล่านี้เป็นพลังที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก เขารู้สึกสับสน ขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเจอบนโลกใบนี้
“ตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นภัยคุกคามกับหลายจักรพิภพ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาเป็นตัวตนแกร่งกล้า เพราะเหตุนี้พวกนั้นเลยนึกทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ยอมฟังคำใคร!” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตนเอง เขาพุ่งแหวกท้องนภาต่อไปไม่หยุด ในมือถือเกสรตัวเมียของดอกปีศาจราเขียวแนบไว้กับอก เกสรของมันมีพลังประหลาดช่วยให้เขาไม่ตกเป็นเหยื่อนิมิตมายาระหว่างการเดินทาง
ฝูงดอกปีศาจไม่มีวี่แววจะบานออกกระทันหัน การเดินทางของหวังเป่าเล่อหลังออกจากหมอกสีแดงมาได้เป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากอันตรายใดๆ
แต่สิ่งที่พบระหว่างทางก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงพรึงเพริดยกใหญ่ ศพตามทางนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน
เขาเห็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีลำตัวเป็นสัตว์แต่ส่วนหัวเป็นมนุษย์ กองซากศพที่มีลักษณะเหมือนหิน ร่างยักษ์ที่มีหนามแหลมห่อหุ้ม และศพรูปลักษณ์แปลกประหลาดอีกมากมาย บางส่วนมีสองหัว บางตัวมีร่างกายเหมือนนิ้วมือทั้งห้าแต่ไม่มีลูกตา
นอกจากนี้ยังมีกองศพที่มีลักษณะเหมือนลูกบาศก์ขนาดยักษ์ดั่งว่าถูกนำมาวางต่อกัน ดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนเหล่านี้จะเคยมีชีวิตอยู่ในอดีต แต่ที่รู้ตอนนี้มีเพียงแค่พวกมันได้กลายเป็นซากศพไปแล้ว
ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เขาพบศพรูปร่างคุ้นเคยอีกมากมาย เช่น คนแคระตัวดำเท้าใหญ่จากดาวเคราะห์วายุทมิฬ
ยังมีพลังรัศมีน่าสะพรึงกลัวเปล่งออกกมาแม้เหล่าศพจะตายไปแล้ว สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่าไม่ควรย่างกรายเข้าไปใกล้ มิเช่นนั้นอาจเกิดแรงปะทะโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อสัมผัสกับพวกมัน!
หวังเป่าเล่อพุ่งผ่านกองศพของชาวดาวเคราะห์วายุทมิฬ ครึ่งชั่วโมงผ่านไปเขาก็หยุดอยู่กลางอากาศและก้มมองด้านล่าง เขาทำหน้าแปลกใจเมื่อมองไปเห็นศพตนหนึ่งที่กองอยู่เหลือศพตนอื่นๆ
ศพตนนั้นมีรูปร่างผอมบาง หูยื่นยาวเล็กน้อย ดูคล้ายคลึงกับมนุษย์ ความตายไม่สามารถพรากเอาความงดงามจากศพตนนี้ไปได้ ชายหนุ่มเคยพบกับชนเผ่านี้ในเกมเทพจุติ
“เกมนั่น…” เขาพึมพำ อาจจะเพราะจ้องอยู่นานเกินไปจึงเห็นนิ้วมือของศพร่างเพรียวงามที่กองอยู่บนภูเขาซากศพเริ่มขยับ หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก รีบพุ่งทะยานหนีไปอย่างไม่ลังเลใจ
เมื่อชายหนุ่มหายลับไปไกล นิ้วมือก็หยุดเคลื่อนไหว ดินแดนกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ข้าจะมัวอ้อยอิงไม่ได้ ทุกสิ่งอย่างในที่แห่งนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก หันมองรอบตัวขณะพุ่งไปด้านหน้า พยายามพิจารณาว่าจะเลือกไปทางใดดี เขารู้ว่าทางที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดที่จะระบุตำแหน่งแท่นสังเวยคือหาอสูรยักษ์ที่พบก่อนหน้าให้เจอ
จากนั้นจึงจะสามารถตามอสูรตนนั้นไปยังแท่นบูชาได้
เวลาผ่านไปหลายวัน ชายหนุ่มยังคงทะยานข้ามผ่านดินแดนซากศพไม่หยุดพัก ที่หาเจอมีเพียงแค่ซากศพ ตามหาอสูรยักษ์ไม่พบแม้แต่เงา วันหนึ่ง ขณะหวังเป่าเล่อท่องนภาด้วยความเป็นกังวล ทันใด ดวงตาเขาก็หรี่เล็กลง!
ความรู้สึกประหลาดคุกรุ่นอยู่ภายใน เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะพวยพุ่งออกมานอกร่างและแปรเปลี่ยนกลายเป็นเปลวเพลิงเย็นเยียบสีดำ!
“หืม” ดวงตาฉายหนุ่มฉายแสงวาบ สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างเข้ากระตุ้นตนเองและเปลวไฟสีดำที่อยู่ภายใน พลังดังกล่าวร้องสอดประสานกับเปลวไฟสีดำของเขา!
ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคย สิ่งนั้นคือ…พลังรัศมีของสำนักแห่งความมืด!
หรือจะมีคนของสำนักแห่งความมืดซ่อนกายอยู่แถวนี้ หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อย เขาขยายขอบเขตสัมผัสวิญญาณตรวจค้นทั่วบริเวณอย่างละเอียด ชายหนุ่มหันไปด้านขวา พลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดอันคุ้นเคยแผ่พุ่งมาจากทางนั้น!
เขาหยุดคิด จากนั้นก็หยิบเอาหน้าการของแม่นางน้อยออกมา แม้แม่นางน้อยจะไม่ขานตอบเขาเลยตั้งแต่เข้ามายังที่แห่งนี้ แต่หน้ากากก็ถือเป็นของสำคัญที่ทำให้ชายหนุ่มแยกความจริงและนิมิตมายาออกจากกันได้!
หน้ากากยังคงปรากฏชัดเจน หวังเป่าเล่อตรวจดูละอองตัวเมียในมือและมองไปรอบๆ รู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้เข้าไปติดอยู่ในนิมิตมายาอีกครั้ง เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าตรงไปทางที่สัมผัสพลังรัศมีของสำนักมืดได้!
เขามุ่งหน้าไปด้วยความเร็วตามปกติพร้อมกับคอยระวังสิ่งรอบตัว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป สัมผัสอันคุ้นเคยเริ่มเด่นชัดขึ้น เปลวไฟสีดำภายในลุกโชติช่วงในกายด้วยความหิวกระหาย หากมองดูจากไกลห่างจะมองไม่เห็นร่างของหวังเป่าเล่อ แต่จะเห็นเพียงแค่ลูกไฟสีดำ ทันใดนั้น…หวังเป่าเล่อก็มาถึงจุดกำเนิดพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืด!
ที่แห่งนี้คือ…เมืองที่ตั้งอยู่ตีนเขาแห่งหนึ่ง!
นี่เป็นเมืองแห่งแรกที่หวังเป่าเล่อพบบนโลกใบนี้ เมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ มีขนาดประมาณนครศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังเป็นทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจในดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยซากศพ
ตลอดทางเขาพบเจอเพียงแค่กองซากศพและดงดอกปีศาจ ไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เมืองแห่งนี้จึงเป็นดั่งสิ่งสุดแสนสำคัญ ชายหนุ่มเริ่มหายใจติดขัดเมื่อความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัว
หวังเป่าเล่อมั่นใจว่า…เมืองแห่งนี้เป็นตัวบ่งบอกว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่นี่!
ไม่สำคัญเลยว่าเมืองตรงหน้าจะเป็นแค่ซากปรักหักพัง สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในเมืองชำรุดทรุดโทรม บางส่วนพังทลายสิ้น ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ดวงตาเริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อยขณะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ เขาเหาะไปหยุดอยู่เหนือซากเมือง ในหัวอื้ออึงเมื่อก้มลงมอง เหมือนกับว่าเกิดการระเบิดขึ้นในหัว
ที่นี่มัน… หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าภายใน เปลวไฟสีดำนอกร่างลุกโชนดุดัน
จากจุดที่เขาอยู่…ไม่ได้มีเพียงแค่ซากเมืองมองเห็น…แต่ยังมีอย่างอื่นอยู่อีก!
เมืองแห่งนี้ไม่ได้สร้างอยู่บนผืนดิน แต่สร้างอยู่บนกะโหลกขนาดใหญ่ คงจะสามารถจินตนาการกันได้ว่าหัวกะโหลกนี้ใหญ่เพียงใด กะโหลกเบื้องล่างไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขา แต่เชื่อมติดกับแขนข้างหนึ่ง!
คงจะชัดเจนมากกว่าหากเรียกมันว่ากระดูกต้นแขนที่หักออกครึ่งหนึ่ง เหมือนดังว่าในอดีตมียักษาได้มานั่งสมาธิอยู่ จากนั้นก็โดนปาดเป็นแนวทะแยงจากหัวไหล่ด้านหนึ่งลงไป แบ่งร่างยักษาออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งได้กลายเป็นเถ้าธุลีไป เหลือทิ้งไว้เพียงอีกครึ่งที่เหลือ!
หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปขณะจ้องทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ เขาสัมผัสได้ถึงพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดที่เปล่งออกมาจากซากกระดูก มีคลื่นพลังคล้ายกันพวยพุ่งออกมาจากเมืองที่ตั้งอยู่บนซากกระดูกด้วยเช่นกัน
ภาพเบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ เขาค่อยๆ ร่อนตัวลงไปบนหัวกะโหลก ลงเหยียบในเมืองและหันมองไปรอบๆ พลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าหัว ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาติดไว่ก่อนหน้าที่ว่ามีใครได้สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้น
แท้จริงแล้ว…เมืองแห่งนี้คือส่วนหนึ่งของยักษา อาจจะตั้งอยู่บนหัวของมันตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิตอยู่!
สถาปัตยกรรมของเมืองแห่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงนิมิตมืด เขาคิดว่าน่าจะเป็นสถาปัตยกรรมช่วงเดียวกันกับที่พบในนิมิตมืด
“เหล่าผู้รอดชีวิตคนอื่นที่เหลือรอดหลังจากสำนักแห่งความมืดล่มสลายก็คงจะ…” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง อารมณ์มากมายฉายขึ้นในแววตา